194. Remember Victims
of Iron Lady’s Wars for Development Policies
Why Would Anyone Celebrate the Death of Margaret
Thatcher? Ask a Chilean
by Dave Zirin
ทำไมใครๆ
จะฉลองความตายของมาร์กาเร็ต แทตเชอร์?
ถามชาวชิลี
โดย เดฟ ซิริน
Never have I witnessed a gap between the mainstream media
and the public, quite like the last 24 hours since the death of Margaret
Thatcher. While both the press and President Obama were uttering tearful
remembrances, thousands took to the streets of the UK and beyond to celebrate.
Immediately this drew strong condemnation of what were
called "death parties", described as “tasteless”, “horrible”, and
“beneath all human decency.” Yet if the same media praising Thatcher and
appalled by the popular response would bother to ask one of the people
celebrating, they might get a story that doesn't fit into their narrative,
which is probably why they aren't asking at all.
ผมไม่เคยเห็นช่องว่างระหว่างสื่อกระแสหลักกับสื่อสาธารณะ,
เหมือนเมื่อ 24 ชั่วโมงหลังจากการตายของมาร์กาเร็ต
แทตเชอร์.
ในขณะที่ทั้งสื่อและประธานาธิบดีโอบามาต่างนองน้ำตากล่าวคำรำลึก,
หลายพันคนกรูเดินเต็มถนนของสหราชอาณาจักรและโพ้นกว่านั้นเพื่อเฉลิมฉลอง. ทันทีทันใด ก็มีเสียงดุด่าสิ่งที่ถูกเรียกว่า
“งานปาร์ตี้ความตาย”, ถูกบรรยายว่า “ไร้รสนิยม”, “สยองขวัญ”, และ
“ต่ำต้อยไม่ถูกกาลเทศะมนุษย์”.
แต่หากสื่อเดียวกันที่ยกยอแทตเชอร์ และ ตกใจกลัวกับการตอบสนองของปวงประชา
หากสนใจถามคนที่กำลังเฉลิมฉลอง, พวกเขาก็จะได้ฟังเรื่องราวที่ไม่เข้ากับบทบรรยายของพวกเขา,
ซึ่งก็คงเป็นเหตุผล ทำไมพวกเขาจะไม่ถามเสียเลยดีกว่า.
Thousands have taken to the streets
to celebrate the death of Margaret Thatcher. หลายล้านคนออกมาเต็มถนน
เพื่อฉลองความตายของมาร์กาเร็ต แทตเชอร์.
I received a note this morning from the friend of a friend.
She lives in the UK, although her family didn't arrive there by choice. They
had to flee Chile, like thousands of others, when it was under the thumb of
General Augusto Pinochet. If you don't know the details about Pinochet's
blood-soaked two-decade reign, you should read about them but take care not to
eat beforehand. He was a merciless overseer of torture, rapes, and thousands of
political executions. He had the hands and wrists of the country's greatest
folk singer Victor Jara broken in front of a crowd of prisoners before killing
him. He had democratically elected Socialist President Salvador Allende shot
dead at his desk. His specialty was torturing people in front of their
families.
ผมได้รับโน้ตเช้านี้จากเพื่อนของเพื่อนคนหนึ่ง.
เธออาศัยอยู่ในอังกฤษ, แม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่ได้มาที่นี่เพราะเลือก. พวกเขาต้องหลบลี้หนีจากชิลี,
เหมือนอีกหลายพันคน, เมื่อมันอยู่หัวแม่มือของนายพลออกัสโต ปิโนเชต์.
หากคุณไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการครองราชย์สองทศวรรษชุ่มเลือดของปิโนเชต์,
คุณควรหาอ่าน แต่ระวังไม่กินมันเสียก่อน.
เขาเป็นคนไร้ความปราณีที่บงการทารุณกรรม, ข่มขืน,
และสังหารการเมืองหลายพันราย.
เขาสั่งให้หักมือและข้อมือของนักร้องลูกทุ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ
วิคเตอร์ ฮารา ต่อหน้าฝูงนักโทษก่อนที่จะฆ่าเขา. เขาได้สั่งให้ยิงประธานาธิบดีสังคมนิยม
ที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ซัลวาดอร์ อัลเลนเด
ตายที่โต๊ะทำงานของเขา.
ความสามารถพิเศษของเขาคือ ทารุณผู้คนต่อหน้าครอบครัวของพวกเขา.
As Naomi Klein has written so expertly, he then used this
period of shock and slaughter to install a nationwide laboratory for neoliberal
economics. If Pinochet's friend Milton Friedman had a theory about cutting food
subsidies, privatizing social security, slashing wages, or outlawing unions,
Pinochet would apply it. The results of these experiments became political
ammunition for neoliberal economists throughout the world. Seeing Chile-applied
economic theory in textbooks always boggles my mind. It would be like if the
American Medical Association published a textbook on the results of Dr. Josef Mengele's
work in the concentration camps, without any moral judgment about how he
accrued his patients.
ดังที่ นาโอมิ
ไคลน์ ได้เขียนอย่างยอดเยี่ยม,
แล้วเขาก็ใช้ช่างเวลาแห่งการช๊อคและสังหารอย่างเหี้ยมโหดนี้
สถาปนาห้องปฏิบัติการทั่วประเทศสำหรับเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่. หาก มิลตัน ฟรีดแมน เพื่อนของปิโนเชต์
ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการตัดเงินอุดหนุนทางอาหาร, แปลงประกันสังคมให้เป็นบริษัทเอกชน,
ตัดค่าแรง, หรือ ทำให้สหภาพกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย, ปิโนเชต์ จะนำมาประยุกต์ใช้. ผลของการทดลองเหล่านี้
กลายเป็นยุทธภัณฑ์สำหรับนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ทั่วโลก.
การได้เห็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ชิลีประยุกต์ใช้ในตำราเรียนทำให้ผมสับสนเสมอ. มันคงเหมือนกับหาก สมาคมแพทยศาสตร์อเมริกัน
ลงพิมพ์ในตำราเรียนถึงผลงานของ ดร.โจเซฟ เมนเจล ในค่ายกักกัน,
โดยปราศจากคำพิพากษาเชิงศีลธรรมถึงสิ่งที่เขาได้ทำต่อคนไข้ของเขา.
Pinochet was the General in charge of this human rights
catastrophe. He also was someone who Margaret Thatcher called a friend. She
stood by the General even when he was exile, attempting to escape justice for
his crimes. As she said to Pinochet, "[Thank you] for bringing democracy
to Chile."
ปิโนเชต์
เป็นนายพลผู้บัญชาการให้เกิดหายนะสิทธิมนุษยชนนี้. เขายังเป็นคนหนึ่งที่มาร์กาเร็ต
แทตเชอร์เรียกว่าเพื่อน.
เธอยืนเคียงข้างนายพลแม้ในยามที่เขาถูกเนรเทศ,
พยายามหนีกระบวนการยุติธรรมสำหรับอาชญากรรมของเขา. ดังที่เธอกล่าวต่อปิโนเชต์,
“ขอบคุณที่นำประชาธิปไตยมาสู่ชิลี”.
Therefore, if I want to know why someone would celebrate the
death of Baroness Thatcher, I think asking a Chilean in exile would be a great
place to start. My friend of a friend took to the streets of the UK when she
heard that the Iron Lady had left her mortal coil. Here is why:
ดังนั้น,
หากผมต้องการรู้ว่า ทำไมบางคนถึงเฉลิมฉลองการตายของคุณหญิงแทตเชอร์, ผมคิดว่า
ควรถามคนชิลีที่เนรเทศอยู่ต่างแดน จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก. เพื่อนของเพื่อนของผม ออกไปฉลองบนถนนในอังกฤษ
เมื่อเธอได้ยินข่าวหญิงเหล็กได้ถึงจุดจบ. นี่เป็นเหตุผล:
"I'm telling [my daughter] all about the Thatcher
legacy through her mother's experience, not the media's; especially how the
Thatcher government directly supported Pinochet's murderous regime,
financially, via military support, even military training (which we know now,
took place in Dundee University). Thousands of my people (and members of my
family) were tortured and murdered under Pinochet's regime- the fascist beast who
was one of Thatcher's closest allies and friend. So all you apologists/those
offended [by my celebration] -you can take your moral high ground & shove
it.
“ฉันบอกลูกสาวของฉันทุกอย่างเกี่ยวกับตำนานของแทตเชอร์
ผ่านประสบการณ์ของแม่ของเธอ, ไม่ใช่ผ่านข้อมูลของสื่อ; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
รัฐบาลแทตเชอร์ ได้สนับสนุนระบอบฆาตกรรมของ ปิโนเชต์ อย่างไร, ทางการเงิน,
ผ่านการสนับสนุนการทหาร, แม้แต่การฝึกกองทัพ (ซึ่งตอนนี้เรารู้แล้ว,
เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยดันดี).
คนของฉันหลายพันคน (รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของฉัน)
ถูกทารุณและสังหารภายใต้ระบอบปิโนเชต์—สัตว์ร้ายอำนาจนิยม
ผู้เป็นพันธมิตรและเพื่อนใกล้ชิดที่สุดของ แทตเชอร์. ดังนั้น คุณพวกนักขอโทษ/พวกที่ขุ่นเคือง
(เพราะการเฉลิมฉลองของฉัน)—ขอให้คุณยืนบนแท่นศีลธรรมอันสูงส่ง และ ผลักมันด้วย.
YOU are the ones who don't understand. Those of us
celebrating are the ones who suffered deeply under her dictatorship and WE are
the ones who cared. We are the ones who protested. We are the humanitarians who
bothered to lift a finger to help all those who suffered under her regime. I am
lifting a glass of champagne to mourn, to remember and to honour all the
victims of her brutal regime, here AND abroad. And to all those heroes who gave
a shit enough to try to do something about it."
คุณนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ.
พวกเราที่เฉลิมฉลองเป็นพวกที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างลึกล้ำภายใต้เผด็จการของเธอ และ พวกเรานั่นแหละ
เป็นพวกที่มีความห่วงใย.
พวกเราเป็นพวกที่ได้ประท้วง.
พวกเราเป็นผู้มีมนุษยธรรม ผู้แส่หาเรื่องที่จะยกนิ้วเพื่อช่วยเหลือพวกที่ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้การปกครองของเธอ. ฉันกำลังชูแก้วแชมเปญเพื่อไว้อาลัย,
เพื่อรำลึกและให้เกียรติแด่เหยื่อทั้งหลายของระบอบการปกครองที่เหี้ยมโหดของเธอ,
ที่นี่ และ ในต่างประเทศ.
และแด่วีรชนทั้งปวงที่ดึงดันดั้นด้นพอที่จะพยายามทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน”.
I should add here that I lived in Chile in 1995, when
Pinochet had been deposed but was still in charge of the armed forces. I became
friends with those who were tortured or had their families disappeared so
Thatcher's connection to Chile strikes a personal note with me. I also
understand however, that similar explanations for "why people are
celebrating" could be made by those with connections to Argentina,
apartheid South Africa, Indonesia, Belfast, Gaza, or Baghdad. The case could
also be made by those in the UK affected by Thatcher's Pinochet-tested economic
dictates who choose not to mourn.
ผมควรจะเสริมตรงนี้ว่า
ผมอาศัยอยู่ในชิลีในปี 1995 (๒๕๓๘), เมื่อปิโนเชต์ถูกโค่น
แต่ก็ยังสั่งการในกองทัพ.
ผมได้กลายเป็นเพื่อนกับคนที่ได้ถูกทรมาน หรือ ครอบครัวหายสาบสูญไป ดังนั้น
ความเชื่อมโยงของ แทตเชอร์ กับ ชิลี กระทบความรู้สึกส่วนตัวของผม. แต่ผมก็เข้าใจด้วยว่า คำอธิบายคล้ายๆ กันที่ว่า
“ทำไมประชาชนจึงเฉลิมฉลอง” จะมาจากพวกที่เชื่อมโยงกับอาร์เจนตินา,
การแบ่งแยกในอาฟริกาใต้, อินโดนีเซีย, เบลฟาสต์, กาซา, หรือ แบกแดด.
กรณีนี้ก็คงเช่นเดียวกับคนในอังกฤษที่ถูกกระทบโดย
เผด็จการเศรษฐกิจที่ผ่านการทดสอบของปิโนเชต์ ภายใต้แทตเชอร์
ผู้เลือกที่จะไม่ร้องไห้อาลัย.
It also matters because the 48 hours after a powerful public
figure dies is when the halo becomes permanently affixed to their head. When
Ronald Reagan passed away, a massive right wing machine went into machine aimed
at removing him from all criticism. The Democrats certainly didn't challenge
this interpretation of history and now according to polls, people under 25
would elect Reagan over President Obama, even though Reagan's ideas remain
deeply unpopular. To put it crudely, the political battle over someone's memory
is a political battle over policy. In Thatcher's case, if we gloss over her
history of supporting tyrants, we are doomed to repeat them.
มันเป็นไร
เพราะหลังจาก 48 ชั่วโมงที่บุคคลสาธารณะที่ทรงอำนาจตายลง
ก็เป็นเวลาเดียวกับที่วงรัศมีทรงกลด จะสวมติดหัวของคนพวกนี้อย่างถาวร. เมื่อโรนัลด์ เรแกนตาย,
เครื่องจักรฝ่ายขวามหึมาได้กลายเป็นเครื่องกลมุ่งหมายที่จะขจัดคำวิจารณ์ทั้งหลายจากเขา. แน่นอน
พรรคเดโมแครตไม่ท้าทายการตีความของประวัติศาสตร์ และ ตอนนี้
จากการสุ่มสำรวจความเห็น, ประชาชนอายุต่ำกว่า 25 จะเลือกเรแกน
มากกว่า ประธานาธิบดีโอบามา, แม้ว่า ความคิดของเรแกนยังคงไม่เป็นที่นิยมมากเช่นเดิม. พูดลวกๆ,
สงครามการเมืองเกี่ยวกับความทรงจำของบางคน
เป็นสงครามการเมืองเกี่ยวกับนโยบาย.
ในกรณีของแทตเชอร์,
หากเราเคลือบเงาใส่ประวัติศาสตร์ของเธอที่สนับสนุนทรราชย์, เราก็กำหนดชะตาให้ซ้ำรอยนั้นอีก.
As Glenn Greenwald wrote so expertly in the Guardian,
"There is absolutely nothing wrong with loathing Margaret Thatcher or any
other person with political influence and power based upon perceived bad acts,
and that doesn't change simply because they die. If anything, it becomes more
compelling to commemorate those bad acts upon death as the only antidote
against a society erecting a false and jingoistically self-serving
history."
ดังที่ เกลนน์
กรีนวอลอ์ ได้เขียนได้เยี่ยมในการ์เดียน,
“มันไม่มีอะไรผิดเลยที่จะชิงชังมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ หรือ
คนหนึ่งคนใดที่ทรงอิทธิพลและอำนาจทางการเมืองที่ตั้งอยู่ในการกระทำที่เลว,
และนั่นก็ไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ เพียงเพราะพวกเขาตายไป.
มันกลายเป็นเรื่องยิ่งน่าทำที่จะบรรยายรำลึกถึงการกระทำเลวๆ
เหล่านั้นเมื่อคนเหล่านั้นตายลง เพื่อให้เป็นยาถอนพิษ สังคมที่สถาปนาอยู่บนประวัติศาสตร์หลอกลวงและหลงเชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น”.
Or to put it even more simply, in the words, of David
Wearing, "People praising Thatcher's legacy should show some respect for
her victims." That would be nice, wouldn't it? Let's please show some
respect for Margaret Thatcher's victims. Let's respect those who mourn everyday
because of her policies, but choose this one day to wipe away the tears. Then
let's organize to make sure that the history she authored does not repeat.
หรือพูดให้ฟังง่ายยิ่งขึ้น,
ในคำพูดของ เดวิด เวริ่ง, “คนที่ยกยอตำนานแทตเชอร์
ควรแสดงความเคารพบ้างต่อเหยื่อของเธอ”.
นั่นน่าจะดี, ใช่ไหมครับ?
โปรดแสดงความเคารพต่อเหยื่อของมาร์กาเร็ต แทตเชอร์.
ขอให้เราแสดงความเคารพต่อผู้ที่เศร้าโศกอาลัยทุกวัน เพราะนโยบายของเธอ,
แต่เลือกวันนี้หนึ่งวันที่จะปาดน้ำตาให้แห้ง. แล้วขอให้พวกเราจัดกระบวนเพื่อให้แน่ใจว่า
ประวัติศาสตร์ที่เธอเขียนขึ้น จะไม่ซ้ำรอยเดิม.
© 2013 The Nation
Dave Zirin is the author of Welcome
to the Terrordome: the Pain Politics and Promise of Sports (Haymarket) and the
newly published A People's History of Sports in the United States (The New
Press). and his writing has appeared in the Los Angeles Times, Sports
Illustrated.com, New York Newsday and The Progressive. He is the host of XM
Radio's Edge of Sports Radio. Contact him at edgeofsports@gmail.com
เดฟ ซิริน
เป็นผู้เขียน “ขอต้อนับสู่โดมสยองขวัญ: การเมืองแห่งความเจ็บปวด
และ สัญญาของกีฬา” (Haymarket) และหนังสือ ที่เพิ่งออกจำหน่าย
“ประวัติศาสตร์ของการกีฬาในสหรัฐฯ ฉบับประชาชน” (The New Press). งานเขียนของเขาปรากฏอยู่ใน ลอวแองเจิลเลสไทมส์,
Sports Illustrated.com, New York Newsday และ The
Progressive. เขาจัดรายการวิทยุ XM Radio's Edge of Sports Radio.
Published on Tuesday, April 9, 2013 by The Nation
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น