249.
When State Contracts Digital Firms to Control Its Citizens
Uncle
Sam and Corporate Tech: Domestic Partners Raising Digital Big Brother
ลุงแซม และ บรรษัทเทค: หุ้นส่วนในประเทศ เลี้ยงดู พี่เบิ้มดิจิตอล
-นอร์แมน โซโลมอน
ดรุณี
ตันติวิรมานนท์ แปล
A terrible formula has taken
hold: warfare state + corporate
digital power = surveillance state.
สูตรสยองขวัญได้เข้าประจำการแล้ว
นั่นคือ รัฐนักการสงคราม + อำนาจบรรษัทดิจิตอล = รัฐตรวจตรากวาดควบคุมมหาชน.
“National security” agencies
and major tech sectors have teamed up to make Big Brother a reality. “Of the
estimated $80 billion the government will spend on intelligence this year, most
is spent on private contractors,” the New York Times noted. The synergy is great for war-crazed snoops in
Washington and profit-crazed moguls in Silicon Valley, but poisonous for civil
liberties and democracy.
หน่วยงาน
“ความมั่นคงแห่งชาติ” และ ภาคเทค(โนโลยี)หลัก ได้รวมหัวเป็นทีมเพื่อทำให้
พี่เบิ้มดิจิตอล กลายเป็นความจริง.
“ในก้อนเงินโดยประเมิน $80 พันล้าน
ที่รัฐบาลจะใช้เพื่อการกรองข่าวในปีนี้,
ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการทำสัญญากับ(ธุรกิจ)ภาคเอกชน”, นิวยอร์กไทมส์ เขียน. การประสานงานนี้ดียิ่งสำหรับพวกนักสอดแนมคลั่งสงครามในกรุงวอชิงตัน
และ พวกมหาเศรษฐีคลั่งกำไรในซิลิคอนแวลลีย์,
แต่เป็นพิษสำหรับเสรีภาพพลเมืองและประชาธิปไตย.
“Much of the coverage of the
NSA spying scandal has underplayed crucial context: The capacity of the
government to engage in constant surreptitious monitoring of all civilians has
been greatly enhanced by the commercialization of the Internet,” media
analyst Robert McChesney pointed out this week.
“ข่าวเปิดโปงข่าวฉาวโฉ่เรื่องการสอดแนมของ
NSA ได้เผยร่องรอยบริบทที่สำคัญ: สมรรถนะของรัฐบาลในการมีส่วนในการติดตามพลเมืองทั้งหมดอย่างลับๆ ล่อๆ
อย่างสม่ำเสมอ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยการพาณิชย์ของอินเตอร์เน็ต”,
นักวิเคราะห์สื่อ โรเบิร์ต แมคเชสนีย์ ชี้ให้เห็นในสัปดาห์นี้.
The Booz Allen Hamilton Holding Corp office building is seen in
McLean, Virginia June 11, 2013 (Reuters/Kevin Lamarque)
Overall, he said, “the
commercialized Internet, far from producing competition, has generated the
greatest wave of monopoly in the history of capitalism.” And the concentration
of online digital power is, to put it mildly, user-friendly for the
surveillance state.
ในภาพรวม,
เขากล่าว, “อินเตอร์เน็ตพาณิชย์, ที่ห่างไกลจากการทำให้เกิดการแข่งขัน,
ได้ทำให้เกิดคลื่นการผูกขาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทุนนิยม”. และการกระจุกตัวของอำนาจดิจิตอลออนไลน์,
หากพูดอย่างสุภาพ, เป็นมิตรกับผู้ใช้สำหรับรัฐควบคุมตรวจตรามหาชน.
It’s a truly odious and
destructive mix -- a government bent on perpetual war and a digital tech
industry dominated by a few huge firms with an insatiable drive to maximize
profits. Those companies have a lot to offer the government, and vice versa.
มันเป็นส่วนผสมที่น่ารังเกียจและทำลายล้างอย่างแท้จริง—รัฐบาลที่ค่อนไปทางการทำสงครามอย่างถาวร
และ อุตสาหกรรมดิจิตอลเทค ที่บริษัทยักษ์ไม่กี่แห่งครอบงำ
ด้วยความหื่นกระหายทำกำไรสูงสุดอย่างไม่มีทางถมเต็ม. บริษัทเหล่านี้ มีหลายอย่างที่จะเสนอให้รัฐบาล,
และ ก็เช่นกันในทางกลับกัน.
“The giant monopolistic firms
that rule the Internet -- Google, Facebook, Apple, Amazon, Version, AT&T,
Comcast, Microsoft -- all have tremendous incentive to collect information on
people,” McChesney said. “There is a great deal of profit for these firms and
others to work closely with the national security apparatus, and almost no
incentive to refuse to participate. In short, there is a military-digital
complex deeply embedded into the political economy and outside any credible
review process by elected representatives, not to mention the public.”
บริษัทผูกขาดยักษ์ที่ปกครองอินเตอร์เน็ต
เช่น Google,
Facebook, Apple, Amazon, Version, AT&T, Comcast, Microsoft, ทั้งหมดล้วนมีแรงจูงใจมหาศาลที่จะเก็บข้อมูลของประชาชน”,
แมคเชสนีย์ กล่าว. “มีกำไรมหาศาล
สำหรับบริษัทเหล่านี้ และ อื่นๆ ให้ทำงานใกล้ชิดกับอุปกรณ์ความมั่นคงแห่งชาติ,
และเกือบไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะปฏิเสธไม่เข้าร่วม. พูดสั้นๆ,
มีการเกี่ยวโยงอย่างซับซ้อนระหว่างการทหาร-ดิจิตอล
ฝังตัวอยู่ภายในระบบเศรษฐกิจการเมือง และ
อยู่นอกเหนือกระบวนการทบทวนตรวจตราที่น่าเชื่อถือใดๆ โดยผู้แทนจากการเลือกตั้ง,
ไม่ต้องพูดถึงสาธารณะ”.
Central pieces of the puzzle
-- routinely left out of mainline media coverage -- have to do with key forces
at work. Why such resolve in Washington’s highest places for the vast
surveillance that’s integral to the warfare state?
ปริศนาชิ้นหัวใจ—ซึ่งถูกกันออกเป็นประจำจากข่าวกระแสหลัก—เกี่ยวกับพลังหลักที่ทำงานอยู่. เหตุใดการตัดสินใจนี้จึงเกิดขึ้นในที่สูงสุดของกรุงวอชิงตัน
ให้มีการควบคุมตรวจตราขนานใหญ่ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของรัฐการสงคราม?
What has not changed is the
profusion of corporations making a killing from the warfare state in tandem
with Washington’s quest for geopolitical positioning, access to fossil fuels
and other raw materials -- and access to markets for U.S.-based industries
ranging from financial services to fast food.
สิ่งที่ไม่เปลี่ยน
คือ ความสุรุ่ยสุร่ายของบรรษัทที่หารายได้ในการพิฆาตจากรัฐการสงคราม เคียงคู่ไปกับ
การแสวงหาของกรุงวอชิงตัน เพื่อธำรงตำแหน่งในภูมิศาสตร์การเมือง,
เข้าถึงแหล่งเชื้อเพลิงและวัตถุดิบต่างๆ—และเข้าถึงตลาดสำหรับอุตสาหกรรมที่มีฐานในสหรัฐฯ
ตั้งแต่ การบริการทางการเงิน จนถึง อาหารด่วน.
Let’s give credit to New York Times columnist Thomas
Friedman for candor as he wrote approvingly in his book The Lexus and the Olive Tree: “The hidden hand of the
market will never work without a hidden fist. McDonald’s cannot flourish
without McDonnell Douglas, the designer of the U.S. Air Force F-15. And the
hidden fist that keeps the world safe for Silicon Valley’s technologies to
flourish is called the U.S. Army, Air Force, Navy and Marine Corps.”
ขอให้พวกเรายกเครดิตให้
โธมัส ฟรีดแมน นักเขียนคอลัมน์ของนิวยอร์กไทมส์ ที่เขียนอย่างตรงไปตรงมา
ในหนังสือของเขา The Lexus and the Olive Tree: “มือที่ซ่อนเร้นอยู่ของตลาด
จะไม่ทำงานได้โดยปราศจากหมัดที่ซ่อนเร้น.
ความรุ่งเรืองของแมคโดนัลด์ ย่อมเป็นไปไม่ได้โดยปราศจาก แมคดอนแนล ดักลาส,
นักออกแบบเครื่องบินขับไล่กองทัพอากาศสหรัฐฯ F-15. และหมัดที่ซ่อนเร้นที่ทำให้โลกเป็นที่ปลอดภัยสำหรับ
เทคโนโลยีของซิลิคอนแวลลีย์ ให้เจริญรุ่งเรืองนั้น เรียกว่า กองทัพบก,
กองทัพอากาศ, กองทัพเรือ และ นาวิกโยธินของสหรัฐฯ”.
On Wednesday, I had a brief on-air exchange with
Friedman, live on KQED Radio in San Francisco.
ในวันพุธ,
ผมได้มีการแลกเปลี่ยนสั้นๆ ในระหว่างออกอากาศกับฟรีดแมน, รายการสดในสถานีวิทยุ KQED ในซานฟรานซิสโก.
Solomon: “I think it’s unfortunate the
sensibility that Thomas Friedman, who’s a very smart guy, has brought to bear
in so many realms. For instance, we heard a few minutes ago, asked about Iraq
and the lessons to be drawn -- quote, ‘We overpaid for it.’ ‘We overpaid for it.’ Which is sort of what
you might call jingo-narcissism, to coin a term. Just the dire shortage of
remorse, particularly given Thomas Friedman’s very large role in cheering on,
with his usual caveats, but cheering on the invasion of Iraq before it took
place. Full disclosure, this is Norman Solomon, I chronicled his critique in my
book War Made Easy, his critique of foreign
policy, and he did cheerlead -- in his sort of
kind of erudite glib way, he did cheerlead the invasion of Iraq before it took
place. Just as, as I chronicle in the book, he was gleeful in his columns about
the bombing of Serbia, including Belgrade, civilian areas, just chortled and
very very gleeful about that bombing. One other point I’d like to make. His
recent column about NSA surveillance is absolutely a formula for throwing away
the First Amendment gradually in stages. The idea that somehow we should
relinquish the sacred Fourth Amendment, a little bit at a time, maybe not a
little bit at a time, because if there’s terrorism that takes places in a big
way again in this country then hold onto your hats -- I mean, that is formulaic
as an excuse, may I say a bit of a craven way, to accept this attack on our
civil liberties.”
โซโลมอน: “ผมคิดว่า มันโชคร้ายที่ปฏิภาณของโธมัส ฟรีดแมน,
ซึ่งเป็นคนฉลาดมาก, ไปปรากฏอยู่ในภพภูมิต่างๆ.
เช่น, เราได้ยินเมื่อไม่กี่เดือนก่อน, เมื่อถูกถามเกี่ยวกับอิรัค และ
บทเรียนที่ได้—ผมขอยกคำพูดมา, ‘เราจ่ายให้มันมากเกินไป’. ‘เราจ่ายให้มันมากเกินไป’. นี่เป็นอะไรที่คุณอาจเรียกว่า
ความรักชาติแบบหลงใหลตัวเอง. เป็นการขาดแคลนความสำนึกผิดอย่างเลวร้าย,
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทใหญ่โตในการเชียร์ของ โธมัส ฟรีดแมน,
ด้วยคำเตือนตามปกติของเขาเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดภายหลัง,
มีแต่เชียร์การบุกรุกอิรัคก่อนที่มันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ. นี่เป็นการเปิดโปงเต็มที่, ผม นอร์แมน โซโลมอน
ได้ลำดับเหตุการณ์การวิพากษ์ของเขาในหนังสือของผม War Made Easy, คำวิพากษ์ของเขาต่อนโยบายต่างประเทศ, และเขาก็ ได้ เชียร์นำ—ด้วยความคล่องแคล่วแบบผู้รู้ดี,
เขาได้เชียร์นำการบุกรุกอิรัคก่อนที่มันจะเกิดขึ้น. ในขณะที่ผมรวบรวมลำดับเหตุการณ์ในหนังสือของผม,
เขาเต็มไปด้วยความร่าเริงในคอลัมน์ของเขา กับการทิ้งระเบิดในเซอร์เบีย, รวมทั้ง
เบลเกรด, พื้นที่พลเรือน, เพียงแค่หัวเราะร่า และ ก็รื่นเริงมากๆ
กับการทิ้งระเบิด.
อีกจุดหนึ่งที่ผมต้องการจะพูด.
คอลัมน์เมื่อเร็วๆ นี้ของเขาเกี่ยวกับ การควบคุมตรวจตรา NSA
เป็นสูตรเบ็ดเสร็จ เพื่อปลิดทิ้ง บัญญัติข้อที่หนึ่ง (สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก)
ทีละขั้นๆ. ความคิดที่ว่า บางที
เราควรจะยกเลิก
บัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ข้อที่สี่, ทีละน้อยแต่ละครั้ง,
อจจะไม่ใช่ทีละน้อยแต่ละครั้ง, เพราะหากมีการก่อการร้ายที่มีอยู่อีกครั้งในประเทศนี้
แล้วก็จงจับหมวกให้มั่น—ผมหมายถึง, นั่นเป็นสูตรของการแก้ตัว,
ผมขอพูดอย่างคนขี้ขลาด, ให้ยอมรับการจู่โจมต่อเสรีภาพพลเรือนของพวกเรา.”
Host: “Norman, let me thank you for the
call and get a response from Tom Friedman.”
เจ้าภาพ/พิธีกร: “นอร์แมน, ผมขอขอบคุณที่คุณโทรเข้ามา และ
ผมขอให้ ทอม ฟรีดแมนตอบครับ”.
Friedman: “Well first of all, I would invite,
I wrote a book called Longitudes and Attitudes that has all my columns leading up to the
Iraq War. And what you’ll find if you read those columns is someone agonizing
over a very very difficult decision. To call it cheerleading is just stupid and obnoxious. Okay. Number one. And on
the question of the Fourth Amendment, as has been pointed out, there actually
has been no case of abuse that has been reported so far with this program.
Believe me, if there were one, two, ten or twenty, then I think we’d be having
a very different debate. And so to simply -- he says I’m dismissing the Fourth
Amendment, which is ludicrous, I’m terribly agonized over this whole business
-- but to simply blithely say, ‘Oh, you’re just trying to use the threat of
another terrorist attack,’ as if that isn’t a live possibility, as if we
haven’t had three or four real examples of people trying to do things that had
they gotten through I think would have led to even worse restrictions on
privacy and civil liberties.”
ฟรีดแมน: “ประการแรก, ผมขอเชิญ, ผมได้เขียนหนังสือ ชื่อ Longitudes and Attitudes
ที่บันทึกคอลัมน์ทั้งหมดของผมจนกระทั่งสงครามปะทุขึ้นในอิรัค. และสิ่งที่คุณจะได้พบ
หากคุณอ่านคอลัมน์เหล่านั้น จะเห็นว่า
เจ็บปวดกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง.
การเรียกว่า นั่นเป็นการเชียร์นำ เป็น ความโง่ และ
น่าสะอิดสะเอียน. โอเค. ข้อแรก.
และในคำถามเรื่องบัญญัติข้อที่สี่, ดังที่ได้ชี้ให้เห็น,
ยังไม่มีการรายงานกรณีละเมิดใดๆ ด้วยโปรแกมนี้.
เชื่อผมเถอะ, หากมีหนึ่ง, สอง, สิบ หรือ ยี่สิบ, ผมคิดว่า
เราจะมีการโต้เถียงที่ต่างจากนี้มาก.
และที่พูดง่ายๆ –เขาบอกว่า ผมได้ปัดทิ้ง บัญญัติข้อที่สี่,
ซึ่งเป็นน่าไร้สาระ, ผมรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งในเรื่องทั้งหมดนี้—แต่เพียงแค่พูดอย่างแช่มชื่นว่า,
‘โอ,
คุณเพียงแต่กำลังใช้การข่มขู่ว่ามีการจู่โจมของผู้ก่อการร้ายอีกราย’, ประหนึ่งว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจังได้, ประหนึ่งว่า
เราไม่มีตัวอย่างจริงของการจู่โจมโดยผู้ก่อการร้าย สอง หรือ สามครั้ง
ที่มีคนพยายามกระทำ ซึ่งหากสำเร็จ ผมคิดว่า
จะนำไปสู่การจำกัดสิทธิเสรีภาพความเป็นส่วนตัวและพลเรือนที่แย่กว่านี้”.
Well, that’s Thomas Friedman,
in sync with the downward spiral of fear, threats, militarism and corporate
consolidation. What a contrast with the clarity from Robert McChesney.
เอาล่ะ,
นั่นเป็น โธมัส ฟรีดแมน, ล่องไปกับการดิ่งควงสว่านด้วยความกลัว, การข่มขู่,
การทหาร และ การผลึกรวมบรรษัท. ช่างแตกต่างกับความชัดเจนจาก
โรเบิร์ต แมคเชสนีย์.
A week before the Guardian began breaking stories about NSA
surveillance, McChesney appeared on FAIR’s “CounterSpin” radio program to talk
about the findings in his new book Digital Disconnect. He warned that we “have an economy dominated
by a handful of monopolistic giants working hand in hand with a national
security state that’s completely off-limits to public review, to monitor the
population.” And he said: “It’s not a tenable situation for a free society.”
หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่
เดอะการ์เดียน จะเริ่มลงข่าวเกี่ยวกับการควบคุมกวาดตรวจตรา NSA, แมคเชสนีย์
ได้ปรากฏตัวในรายการวิทยุ “CounterSpin” ของ FAIR เพื่อพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ค้นพบในหนังสือเล่มใหม่ของเขา Digital Disconnect. เขาได้เตือนว่า เรา “มีระบบเศรษฐกิจที่ครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ผูกขาดเพียงหยิบมือ
ที่ทำงานเกาะมือกันกับรัฐที่ยึดมั่นในความมั่นคงแห่งชาติ
ที่อยู่นอกขอบเขตของการติดตามทบทวนของสาธารณชน,
ให้ทำหน้าที่ติดตามตรวจตราประชากรทั้งหมด”.
และเขาบอกว่า, “มันไม่ใช่สถานการณ์ที่เชื่อถือได้สำหรับสังคมเสรี”.
Norman Solomon is co-founder of RootsAction.org and founding director of the Institute for Public Accuracy. His books
include “War Made Easy: How Presidents and Pundits Keep Spinning Us to Death”
and "Made Love, Got War: Close Encounters with America's Warfare State".
นอร์แมน โซโลแมน
เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง RootsAction.org
และ เป็น ผอ ผู้ก่อตั้งของ Institute for
Public Accuracy. หนังสือของเขา มี “War Made Easy: How Presidents and Pundits Keep Spinning Us to Death”
และ "Made Love, Got War: Close Encounters with America's Warfare State".
Published on Thursday, June 20, 2013 by Common Dreams
Former NSA official William Binney told James Bamford writing in
Wired, March 15, 2012, as he held his thumb and forefinger barely apart that
"We are that far from a turnkey totalitarian state." This assessment
coming from Binney, a long time NSA insider, should send chills through all us
all while spurring us to rouse our friends and fellow citizens to action. With
the Constitutional system of checks and balances between executive,
congressional and judicial branches now it the iron grip of the
corporate/government tyranny, it seems the people will have to start from scratch.
So what ideas do CD readers have for where we go from here and where to start?
Norman: Great job dealing with the inflated ego of Thomas
Friedman.
" Thomas Friedman, who’s a very smart guy, has brought to
bear in so many realms. For instance, we heard a few minutes ago, asked about
Iraq and the lessons to be drawn -- quote, ‘We overpaid for it.’ ‘We overpaid
for it." Norman Solomon
If you are talking about only your worthless money that was
OVERPAID for it?
You are not being truthful enough!
What Americans have lost, and what those who engineered this calamity have lost, amounts to much greater price then gold.
What Americans have lost, and what those who engineered this calamity have lost, amounts to much greater price then gold.
For the innocent Americans there is the shame they face everyday
they wake to find more vicious deeds done in their names.
The good Americans have lost a future of honor, justice freedom and most of all the peace that all good humans long for!
The good Americans have lost a future of honor, justice freedom and most of all the peace that all good humans long for!
Lastly the loss of the perpetrators will not only be physical
loss, but it will result in the demise of their souls--damned forever in their
crimes and sins!
(I do not see Tom F as anything than a shill!) CJ
"the loss of the perpetrators will not only be physical
loss, but it will result in the demise of their souls--damned forever in their
crimes and sins"
The 'perpetrators' constitute a social continuum based on
'scarcity'. Those who exercise the power (all too often in secret) casting a
massive net to restrict the exercise of mutual support beyond
"identity" marketed, commodified and sold by the corporate
nation-state. The voids in that net that have enabled it to minimize resistance
has been the closeting of very specific elements of our history and forcing
"our" history to exclude the knots of the history that has been
hidden.
Those knots do not go away. They seem uncountable and appear to
be unsolvable from the point of view imposed by the systemic demands of the
scarcity/debt/acquisition economic models engaging the practices. The apparent
'unsolvable' marginalization is just that - an appearance that is inextricably
tied to the practices. I am reminded that the etymology of 'sin' is 'off the
mark'.
Extractive capitalism as a form of narcissism, noted by Solomon,
could also be called solipsism, it practices self-referential exclusivity. It
has no room for the diversity necessary to life. From disregarding the
integrated and diverse nature of life and treating the earth like a thing to
just keep throwing trash into and to extract from, to the slandering and
marginalization of any whose vision and experience are of the destruction.
There is an adrenal toxicity and fatigue with the unending
war/terrorism/market focus construct. This is observable by researching the
numbers of desertions and conscientious objector applications in the military,
to suicides by vets. Unspoken is a trickle-down projection of scorn of those
experiencing that fatigue and abuse. From there, any of a spectrum of
slanderous defamations are used against those who exhibit anything but gung-ho.
So that toxicity is social/spiritual as well. It can corrode family
relationships, communities and community efforts.
Real long way around to say - I agree, and our survival depends
on admitting, talking about and respecting and loving those who admit that the
spiritual/social extraction is no longer tenable. It creates disability in
every dimension. That needs to be reversed - and it begins when we really take
the time to look in each others eyes and see through the mind of the heart. In
the reversal is simple living abundance and disconnecting the scarcity
vampires.
What Marshall McLuhan said back in the 1960s has proved so true
'Computers are the universal gossip column." That's what he predicted and
said even then was the case. Oh to have someone with his wisdom and courage of
a Snowden or Manning in the White House with a vice president of same ideology
to keep the national security apparatus from taking themselves to seriously as
some contend they did in November 1963.
Free Bradley Manning. Close Gitmo. Stop Big Brother
"O", The Drone King.
The NSA is actually part of a much larger global surveillance
network; the UKUSA intelligence community:
* the Government Communications Headquarters of the United
Kingdom,
* the National Security Agency of the United States,
* the Communications Security Establishment of Canada,
* the Defence Signals Directorate of Australia, and
* the Government Communications Security Bureau of New Zealand.
* the National SIGINT Organisation (NSO) of The Netherlands
Together operating the 'Echelon' program:
>>" ECHELON is a name used in global media and in
popular culture to describe a signals intelligence (SIGINT) collection and
analysis network operated on behalf of the five signatory states to the UKUSA
Security Agreement[1] (Australia, Canada, New Zealand, the United Kingdom, and
the United States, referred to by a number of abbreviations, including
AUSCANNZUKUS[1] and Five Eyes).[2][3] It has also been described as the only
software system which controls the download and dissemination of the intercept
of commercial satellite trunk communications.[4]"<<
>>"The report to the European Parliament of 2001
states: "If UKUSA states operate listening stations in the relevant
regions of the earth, in principle they can intercept all telephone, fax and
data traffic transmitted via such satellites."[5]"<<
These global surveillance capabilities have elevated industrial
and political spying to a whole new level... essentially having the means to
take technology from anyone and develop it/them wherever they see fit. Coupled
with other policing apparatuses and banking/economic controls... the ability to
control who is in and who is out is pretty much unlimited. Totalitarianism is a
fact.
But, surveillance is only the beginning of behavior control. A
vast armada of processes and technologies are also being used to interrupt and
redirect human activities, moods, perceptions and thought.
It's good that somebody drew the connection between the
government's cyber spook spying system and the private online "service and
content providers" who are busily compiling databases on everyone who
hooks up electronically for any reason on any "device." The NSA may
be spending gazillions building their own "metadata" gathering
system, but I refuse to believe that they don't also have the capacity to hack
into the servers and databases of all these companies: Google, Facebook, Apple,
Amazon, Verizon, AT&T, Comcast, Microsoft, etc., etc. Would anyone know if
some spook techie were to download and inspect anyone's entire Internet
history? Or put together a profiling algorhythm to separate out the identity
and present location of everyone who has politically impure thoughts (such as
some of what some of us have posted here on CommonDreams)?
People who go online profess to know that anything that goes on
the net is there forevermore, but the expectation of privacy is a hard mental
block to rid onesself of completely. I always am amazed by the politicians who
get in trouble by texting lascivious words and pictures or leave voicemail
messages which ― surprise! ― go publicly viral.
That should alert anyone who is paying attention what an open book our
electronic lives are.
Time to watch "THX 1138". Sort of a training film for
our near future.
Can anyone direct me to a specific Constitutional Amendment or
law giving corporations the same rights as afforded to individuals?I see some
attempt s made in the 14th amendment,but with no real clarification or
definition.How did these multinational companies get so much power and
protection" legally"?
·
Whatever make capitalism work.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น