247. Corruption : Hunger Amidst Abundance
Corruption Eats Into India’s Food Distribution System
คอรัปชั่นกินระบบการกระจายอาหารของอินเดีย
-รันชิต เทวราช
ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล
India is home to 25 percent
of the World’s Hungry. Credit: Manipadma Jena/IPS
NEW DELHI, Jun 17 2013
(IPS) - As
India’s Parliament prepares to pass a bill to provide heavily subsidised food
to 810 million people, there are misgivings over its implementation through a
notoriously corrupt public distribution system (PDS).
The National Food Security
Bill will be debated and passed at a specially convened session of parliament,
ahead of the regular monsoon session that begins mid-July.
ในขณะที่รัฐสภาอินเดียเตรียมการเพื่อออกกฎหมายให้การอุดหนุนทางการเงินอย่างหนักหน่วงแก่ประชาชน
810 ล้านคน,
มีความคลางแคลงใจต่อการดำเนินการผ่านระบบการกระจายสาธารณะที่มีชื่อเสียในด้านคอรัปชั่น
(PDS). ร่างกฎหมายความมั่นคงทางอาหารแห่งชาติ
จะถูกอภิปรายและผ่านออกมา ในวาระพิเศษของรัฐสภา, ก่อนวาระช่วงมรสุมตามปกติ
ที่เริ่มในกลางกรกฎาคม.
"Villages (are) building community
grain banks and becoming food secure. All that the government has to do is
support and foster local self-help groups and replicate this model." -- Devinder
Sharma
Opposition legislators will not stop the bill’s
passage, but they are already criticising its high cost – estimated at 23
billion dollars annually – as an attempt to win cheap popularity for the
Congress-led United Progressive Alliance in an election year.
Critics of the bill include
members of the right-wing Bharatiya Janata Party as well as India’s communist
parties in the Left Front, with the latter demanding that all of India’s 1.2
billion people be covered under a revamped ‘universal PDS’.
สส ฝ่านค้าน
จะไม่ยับยั้งการผ่านร่างกฎหมาย, แต่พวกเขาได้วิจารณ์ว่าต้นทุนสูง—ประเมิน 23 พันล้านเหรียญต่อปี—ในฐานะที่เป็นความพยายามที่จะชนะด้วยประชานิยมราคาถูก
สำหรับ United
Progressive Alliance ที่นำโดยพรรคคองเกรส ในปีการเลือกตั้ง. นักวิพากษ์ต่อร่างกฎหมาย รวมทั้ง
สมาชิกของฝ่ายขวา Bharatiya
Janata Party
และพรรคคอมมิวนิสต์ของอินเดีย ในฝ่ายซ้าย, โดยฝ่ายหลังเรียกร้องให้
ประชาชนอินเดียทั้งหมด 1.2 พันล้านคน ให้ครอบคลุมภายใต้ ‘PDS สากล’ ที่ปรับปรุงใหม่.
“We want amendments to the
bill to ensure that there are no leakages through the creation of bogus
categories of people such as those living below the poverty line and those
living above it,” D. Raja, national secretary of the Communist Party of
India (CPI), told IPS.
“เราต้องการให้แก้ไขร่างกฎหมายเพื่อประกันว่า
ไม่มีการรั่วไหลผ่านการสร้างประเภทจอมปลอมของประชาชน เช่น
พวกที่อยู่ใต้ขีดความยากจน และ พวกที่อยู่เหนือขีดนั้น”, ดี.ราชา,
เลขาธิการแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ของอินเดีย (CPI), กล่าว.
According to Raja, while
India certainly needs a food security law, implementing it through the existing
PDS will only provide more opportunities for corrupt traders and officials to
siphon out money from a dysfunctional system.
ตามความเห็นของ
ราชา, ในขณะที่อินเดียจำเป็นต้องมีกฎหมายความมั่นคงทางอาหารแน่นอน,
การดำเนินการผ่าน PDS ที่มีอยู่
จะรังแต่ให้โอกาสมากขึ้นกับนักค้าและเจ้าหน้าที่ทุจริต ให้ทำกาลักน้ำดูดเงินออกจากระบบที่ไม่พิกลพิการ.
Government reports have shown
that at least 50 percent of the grain channeled through the PDS – consisting
essentially of a network of 50,000 fair price shops – is cornered by
traders who then either sell the same grain in the open market at high profits,
or export it.
รายงานรัฐบาลได้แสดงให้เห็นว่า
อย่างน้อย ธัญพืช 50% ที่ผ่องถ่ายผ่าน PDS—ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายร้ายขายราคาเป็นธรรม 50,000 ราย—ถูกกักโดยผู้ค้าที่ขายธัญพืชเดียวกันนั้นในตลาดเปิดแล้วโกยกำไรสูง,
หรือส่งออก.
Traders have even been caught
selling subsidised grain right back to the government’s procurement agents in
connivance with corrupt officials of the state-run Food Corporation of India.
พ่อค้าได้เคยถูกจับกุมโทษฐานขายธัญพืชที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ
กลับคืนสู่หน่วยงานรัฐที่ทำการรับซื้อ
ด้วยสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ทุจริตของบริษัทอาหารแห่งอินเดีย
ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ.
“What is needed is a
strengthening of the existing PDS which has become notorious for leakages that
have been working to deny poor people access to food, defeating the purpose for
which it was created,” Raja said.
“สิ่งที่ต้องทำคือ
สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบ PDS
ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ารั่วไหล ที่ทำงานด้วยการปฏิเสธการเข้าถึงอาหารของคนยากจน,
เป็นการทำลายเจตจำนงที่มันถูกสร้างขึ้นมา”, ราชา กล่าว.
That India needs to overhaul
its PDS is painfully obvious from the fact that each year its granaries
overflow with bumper harvests of wheat and rice, which are allowed to rot in
the rain while large numbers of people go hungry.
เรื่องที่ว่า
อินเดียจำเป็นต้องยกเครื่องระบบ PDS
นั้นชัดเจนมาก จากความจริงที่ว่า ทุกปี ยุ้งฉางจะล้นหลามด้วยข้าวและข้าวสาลี
ที่เก็บเกี่ยวได้, ซึ่งถูกปล่อยให้เน่าเสียท่ามกลางฝน
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่หิวโหย.
Over the last decade, the
average food grain surplus every year has been around 60 million tonnes. In
2012, the surplus stood at 82.3 million tonnes and this year, with a favourable
monsoon underway, a 90 million-tonne surplus is predicted.
ในทศวรรษที่ผ่านมา,
ปริมาณธัญญาหารส่วนเกินโดยเฉลี่ยมีประมาณ 60 ล้านตัน. ในปี 2012, ธัญญาหารเกินมีถึง 82.3 ล้านตัน และในปีนี้,
ด้วยฤดูมรสุมที่เข้าข้างกำลังมาถึง, พยากรณ์ว่า ปริมาณส่วนเกินจะมีถึง 90 ล้านตัน.
The government deals with the
surpluses by allowing exports – about 10 million tonnes each of wheat and rice
were exported last year – a practice that left-wing politicians and food
security experts criticise as unconscionable when thousands of Indians go
hungry.
รัฐบาลจัดการกับส่วนเกินด้วยการอนุญาตให้ส่งออก—เกือบ
10 ล้านตันสำหรับข้าวสาลี และ
สำหรับข้าว แยกกัน ได้ถูกส่งออกปีที่แล้ว—เป็นการปฏิบัติที่นักการเมืองฝ่ายซ้าย
และ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหาร พากันวิจารณ์ว่า
เป็นเรื่องไร้จิตสำนึกในเมื่อชาวอินเดียหลายพันคนยังหิวโหยอยู่.
Resolving the paradox of starvation amidst plenty
has become a priority, what with India finding itself castigated by the World
Food Programme of the United Nations for being home to 25 percent of the
world’s hungry.
เพื่อแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างความอดอยากท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์
ได้กลายเป็นเรื่องในลำดับต้นๆ,
เป็นสิ่งที่อินเดียพบว่า ตนเองถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจาก โปรแกมอาหารโลก
ของยูเอ็น ว่า เป็นบ้านของประชากรโลก 25% ที่หิวโหย.
According to a 2012 report by
the Washington-based International Food Policy Research Institute, India has
lagged in improving its Global Hunger Index (GHI) rating despite strong
economic growth.
ตามรายงานปี 2012 โดยสถาบันนโยบายอาหารสากล ที่มีฐานในวอชิงตัน,
อินเดียรั้งท้ายในการปรับปรุงดัชนีความหิวโหยโลก (GHI) ทั้งๆ
ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง.
In India, 43.5 percent of children
under five are underweight, giving it an unenviable GHI ranking of 65 among 79
countries surveyed. From 2005 to 2010, India ranked below Ethiopia, Niger,
Nepal, and Bangladesh.
ในอินเดีย,
เด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ 43.5% มีน้ำหนักต่ำเกิน, ทำให้มี GHI ตกอยู่ที่ 65 ในบรรดา
79 ประเทศที่สำรวจ.
จากปี 2005 – 2010, อินเดียอยู่ในลำดับต่ำกว่า
เอธิโอเปีย, ไนเกอร์, เนปาล และ บังคลาเทศ.
The new bill aims to rectify
that situation by distributing some 50 million tonnes of grain to 360 million
people, categorised as living below the poverty line, at about 10 percent of
prices prevailing in the open market.
ร่างกฎหมายใหม่
มุ่งที่แก้ไขสถานการณ์นั้น โดยการกระจายธัญพืช 50
ล้านตัน แก่ประชาชน 360 ล้านคน,
ที่ถูกจัดประเภทเป็นพวกที่อาศัยอยู่ใต้ขีดความยากจน, ในราคาประมาณ 10% ของราคาในตลาดเปิด.
According to the World Bank,
32.7 percent of Indians live below the international poverty line of 1.25
dollars per day while another 68.7 percent live on less than two dollars per
day.
ตามรายงานของธนาคารโลก,
ชาวอินเดีย 32.7% อาศัยอยู่ใต้ขีดความยากจนสากล ของ 1.25 เหรียญต่อวัน
ในขณะที่ อีก 68.7% ดำรงชีพด้วยเงินน้อยกว่าสองเหรียญต่อวัน.
But India’s Planning
Commission places the poverty line far lower than the international level and
calculates it at a pitiable 28.65 rupees (about five cents) worth of daily
consumption per head in the cities and 22.42 rupees (four cents) in the rural
areas.
แต่กรรมาธิการวางแผนของอินเดีย
ได้ขีดเส้นยากจนอยู่ต่ำกว่าระดับสากลมากๆ และ
คำนวณว่าพวกเขาบริโภคในมูลค่าที่น่าสงสารเพียง 28.65
รูปี (ประมาณ ห้าเซ็นต์) ในแต่ละวันต่อหัว ในเมือง และ 22.42
รูปี (สี่เซ็นต์) ในชนบท.
“People at such a low level
of consumption are not just poor they are in need of emergency food aid,” says
Devinder Sharma, one of India’s best-known food security experts and leader of
the respected Forum for Biotechnology and Food Security.
“ประชาชนที่อยู่ในระดับบริโภคต่ำขนาดนั้น
ไม่เพียงแต่ยากจน พวกเขายังอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือทางอาหาร”,
เทวินทร ชาร์มา,
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารที่รู้จักกันดีที่สุดคนหนึ่งในอินเดีย และ
เป็นผู้นำในเวทีที่ได้รับความเคารพ
ว่าด้วยเทคโนโลยีทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร.
Sharma told IPS that it would
be impossible to sustain the massive feeding programme envisaged in the bill
for more than a few years. “It really does look as if the new policy is designed
with a view to win votes in general elections due in May 2014.”
ชาร์มา
กล่าวว่า มันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะธำรงโปรแกมเลี้ยงคนมหาศาล
ดังที่วาดไว้ในร่างกฎหมาย มากกว่าไม่กี่ปี.
“ดูเหมือนนโยบายใหม่นี้
จะถูกออกแบบด้วยมุมมองที่จะให้ได้คะแนนเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเดือน
พค. 2014”.
Sharma blames the phenomenon
of hunger in India on colossal mismanagement and consistently poor policies.
“How else can you explain the paradox of hunger existing for years alongside
exports and rotting grain?”
ชาร์มา
โทษปรากฏการณ์ของความหิวโหยในอินเดียว่าเป็นเพราะการจัดการผิดๆ มหึมา และ
นโยบายแย่เสมอมา.
“คุณจะอธิบายเป็นอื่นได้อย่างไร
ถึงความผิดปกติของความหิวโหยที่เป็นอยู่หลายปี เคียงคู่กับการส่งออก และ
การเน่าเปื่อยของธัญญาหาร?”
According to Sharma, the
government should be addressing hunger through a community approach that builds
capacities to become self-reliant rather than depending on doles and subsidies
from the government.
ตามความเห็นของชาร์มา,
รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาความหิวโหยผ่านแนวชุมชน ที่สร้างสมรรถนะ ให้กลายเป็นพึ่งตนเองได้
แทนที่จะต้องพึ่งพาการบริจาคหรือเงินอุดหนุนจากรัฐบาล.
“There are many examples of
villages building community grain banks and becoming food secure. All that
the government has to do is support and foster local self-help groups and
replicate this model,” Sharma said.
“มีตัวอย่างมากมายในหมู่บ้านที่สร้างธนาคารธัญพืชชุมชน
และ กลายเป็นมีความมั่นคงทางอาหาร.
สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ คือ ให้การสนับสนุน และ อุปถัมภ์ให้เกิดกลุ่มช่วยตัวเองในท้องถิ่น
แล้วขยายโมเดลนี้ซ้ำๆ ออกไป”, ชาร์มา กล่าว.
India should be focusing its
efforts on rejuvenating agriculture through a programme aimed at restoring soil
fertility, reviving groundwater levels, and stopping the destruction of rich
natural resources through unsustainable farming practices.
อินเดียควรเน้นที่ความพยายามในการฟื้นคืนเกษตรด้วยโปรแกมที่มุ่งไปที่การคืนความอุดมสมบูรณ์ของดิน,
ฟื้นฟูระดับน้ำบาดาล, และ
หยุดทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติที่มั่งคั่งด้วยเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืน.
Most importantly, farmers
need to be assured a monthly income. “Since farmers generate wealth in the form
of agricultural commodities they should be adequately compensated rather than
driven to suicide in droves.”
ที่สำคัญที่สุด,
เกษตรกรจำเป็นต้องมีรายได้แน่นอนทุกเดือน.
“ในเมื่อเกษตรกรสร้างความมั่งคั่งในลักษณะสินค้าเกษตร
พวกเขาก็ควรได้รับการชดเชยอย่างเพียงพอ
แทนที่จะถูกบีบคั้นให้ต้องฆ่าตัวตายเป็นฝูง”.
Sharma believes that India’s
farmers have suffered as a result of agricultural imports under World Trade
Organisation rules and free trade agreements. “For example, it is senseless to
flood the country with duty-free imported edible oils when Indian farmers are
capable of meeting the country’s needs.”
ชาร์มา
เชื่อว่า เกษตรกรของอินเดียได้รับความทุกข์ทรมาน อันเป็นผลจากการสั่งเข้าสินค้าเกษตร
ภายใต้ข้อบังคับของ องค์การค้าโลก และ ข้อตกลงการค้าเสรี. “ยกตัวอย่าง, มันไร้สาระที่จะทำให้ตลาดในประเทศล้นหลามไปด้วยน้ำมันบริโภคสั่งเข้าปลอดภาษี
ในเมื่อ เกษตรกรอินเดียสามารถผลิตสนองความต้องการในประเทศได้”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น