วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

97. ท่ามกลางสึนามิมนุษย์สร้าง


Life Is Sacred
ชีวิตมีความศักดิ์สิทธิ์
by Chris Hedges
โดย คริส เฮดจ์ส

I retreat in the summer to the mountains and coasts of Maine and New Hampshire to sever myself from the intrusion of the industrial world. It is in the woods and along the rugged Atlantic coastline, the surf thundering into the jagged rocks, that I am reminded of our insignificance before the universe and the brevity of human life. The stars, thousands visible in the night canopy above me, mock human pretensions of grandeur. They whisper the biblical reminder that we are dust and to dust we shall return. Love now, they tell us urgently, protect what is sacred, while there is still time. But now I go there also to mourn. I mourn for our future, for the fading majesty of the natural world, for the folly of the human species. The planet is dying. And we will die with it.
ผมไปหลบพักร้อนที่เทือกเขาและชายทะเลของเมน และ นิวเฮมเชอร์ เพื่อตัดตัวเองจากการบุกรุกของโลกอุตสาหกรรม.   ท่ามกลางป่าและชายทะเลแอตแลนติก, คลื่นดังดั่งฟ้าผ่าที่กระทบหินขรุขระ, ที่ผมถูกเตือนให้ตระหนักถึงความไร้นัยสำคัญใดๆ ของพวกเราต่อหน้าจักรวาล และความสั้นของชีวิตมนุษย์.   ดวงดาว, ที่เห็นนับพันในร่มเงาของค่ำคืนเหนือผม, หัวเราะเยาะความอลังการอันเสแสร้งของมนุษย์.   พวกเขากระซิบกระซาบคำเตือนจากคัมภีร์ไบเบิลว่า พวกเราเป็นฝุ่นธุลี และผงธุลีเป็นที่ๆ เราจะหวนกลับไป.   จงรักตอนนี้, พวกเขาบอกพวกเราให้เร่งรีบ, คุ้มครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์, ในขณะที่ยังมีเวลาเหลืออยู่.   แต่ตอนนี้ ผมไปที่นั่นเพื่อไว้อาลัย.  ผมไว้อาลัยให้กับอนาคตของเรา, ให้กับความยิ่งใหญ่ของโลกธรรมชาติที่กำลังเลือนหายไป, ให้กับความงี่เง่าของสายพันธุ์มนุษย์.  โลกกำลังจะตาย.  และเราก็จะตายไปกับมัน.

 A village boy leads his goat past a parched pond on the outskirts of the eastern Indian city of Bhubaneswar. (AP/Biswaranjan Rout)

The giddy, money-drenched, choreographed carnival in Tampa and the one coming up in Charlotte divert us from the real world—the one steadily collapsing around us. The glitz and propaganda, the ridiculous obsessions imparted by our electronic hallucinations, and the spectacles that pass for political participation mask the deadly ecological assault by the corporate state. The worse it gets the more we retreat into self-delusion. We convince ourselves that global warming does not exist. Or we concede that it exists but insist that we can adapt. Both responses satisfy our mania for eternal optimism and our reckless pursuit of personal comfort. In America, when reality is distasteful we ignore it. But reality will soon descend like the Furies to shatter our complacency and finally our lives. We, as a species, may be doomed. And this is a bitter, bitter fact for a father to digest.
งานเฉลิมฉลองมวลชนจัดฉากอย่างดีที่น่าวิงเวียน, แฉะไปด้วยเม็ดเงิน, ในแทมปา และอีกงานที่กำลังจะมีขึ้นที่เมืองชาล็อตต์ เบี่ยงเบนพวกเราจากโลกแห่งความจริง—ที่กำลังพังทลายรอบๆ ตัวเรา.   ป้ายฉูดฉาด และโฆษณาชวนเชื่อ, ความหมกมุ่นไร้สาระที่สื่อโดยภาพหลอนอิเล็คตรอนิกของเรา, และความตื่นตาตื่นใจที่เคลื่อนผ่านไปแทนการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นหน้ากากบังการทำลายนิเวศโดยรัฐบรรษัท.   มันยิ่งแย่เท่าไร เราก็ยิ่งหลบถอนตัวเข้าไปสู่การหลอกตัวเองมากขึ้นเท่านั้น.   เราโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อว่า โลกร้อนไม่มีอยู่.   หรือ เรายอมรับว่ามันมี แต่ดึงดันว่า เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับมันได้.   ในอเมริกา, เมื่อความเป็นจริงไม่อร่อย เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้.   แต่ความเป็นจริงจะตกลงมา เหมือน ความเดือดดาลที่หล่นทุบความนิ่งดูดายของเราให้แตกกระจุย และในที่สุดก็รวมชีวิตของเราด้วย.  พวกเรา, ในฐานะที่เป็นสายพันธุ์หนึ่ง, อาจจะถูกพิพากษาแล้ว.   และนี่คือความขมขื่น, ข้อเท็จจริงที่ช่างขมขื่นสำหรับพ่อคนหนึ่งที่จะกล้ำกลืนได้.

My family and I hike along the desolate coastline of an island in Maine that is accessible only by boat. We stop in the afternoons on remote inlets and look out across the Atlantic Ocean or toward the shoreline and the faint outline of the Camden hills. My youngest son throws pebbles into the surf. My daughter toddles over the rounded beach stones holding her mother’s hand. The gray and white seagulls chatter loudly overhead. The scent of salt is carried by the wind. Life, the life of my family, the life around me, is exposed at once as fragile and sacred. And it is worth fighting to save.
ผมและครอบครัวได้เดินรอนแรมค้างคืนไปตามชายฝั่งที่อ้างว้างของเกาะหนึ่งในรัฐเมน ที่เข้าถึงได้ด้วยเรือเท่านั้น.  เราหยุดพักตอนบ่ายที่ปากน้ำห่างไกล และมองออกไปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก หรือไปทางเส้นชายฝั่งและเค้าโครงเลาๆ ของเขาแคมเดน.   ลูกชายคนเล็กสุดของผมโยนก้อนกรวดใส่คลื่น.  ลูกสาวของผมเดินเตาะแตะบนหินกลมๆ บนชายหาด เกาะมือแม่ของเธอ.   นกนางนวลสีขาวและสีเทาคุยกันเสียงดังเหนือศีรษะ.   กลิ่นเกลือโชยมากับสายลม.   ชีวิต, ชีวิตของครอบครัวของผม,  ชีวิตรอบๆ ตัวผม, ถูกเผยออกทันที ว่าเปราะบางและศักดิ์สิทธิ์.  และมันคุ้มค่าที่จะต่อสู้เพื่อพิทักษ์ไว้.

When I was a boy and came to this coast on duck hunting trips with my uncle, fishing communities were vibrant. The fleets caught haddock, cod, herring, hake, halibut, swordfish, pollock and flounder. All these fish have vanished from the area, victims of commercial fishing that saw huge trawlers rip up the seafloor and kill the corals, bryozoans, tubeworms and other species that nurtured new schools of fish. The trawlers left behind barren underwater wastelands of mud and debris. It is like this across the planet. Forests are cut down. Water is contaminated. Air is saturated with carbon emissions. Soil is depleted. Acidity levels in the oceans skyrocket. Atmospheric temperatures soar. And someone, somewhere, makes obscene sums of money from it. Corporations, indifferent to what is sacred, see the death of the planet as another investment opportunity. They are scurrying to mine the exposed polar waters for the last vestiges of oil, gas, minerals and fish. And since the corporations dictate our relationship to the ecosystem on which we depend for life, the chances of our survival look bleaker and bleaker. The final phase of 5,000 years of settled human activity ends with collective insanity.
เมื่อผมเป็นเด็ก และได้มาสู่ชายฝั่งนี้ในการล่าเป็ดกับลุงของผม, ชุมชนประมงยังมีชีวิตชีวา.   ชาวประมงจับปลาหลากชนิด.   ปลาทั้งหมดได้สาบสูญไปจากที่นี่, ตกเป็นเหยื่อของประมงพาณิชย์ ที่เข้ามาเป็นเรือลากอวนใหญ่ ที่ทำลายพื้นทะเล และฆ่าปะการัง, ฯลฯ และสายพันธุ์อื่นๆ ที่หล่อเลี้ยงฝูงปลารุ่นใหม่.   เรือลากอวนทิ้งไว้ข้างหลัง ผืนดินรกร้างใต้น้ำ ที่เป็นหมัน มีแต่ตมและขยะ.   มันเป็นเช่นนี้ทั่วพิภพ.   ป่าถูกโค่น.  น้ำถูกปนเปื้อน.  อากาศเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกมา.   ดินจืด.  ระดับกรดในมหาสมุทรพุ่งพรวดพราด.  อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น.  และบางคน, บางแห่ง, ทำเงินจำนวนน่าสะอิดสะเอียนจากมัน.   บรรษัท, ไม่ไยไพกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์, เห็นความตายของผืนพิภพ ว่าเป็นโอกาสของการลงทุนอีกแบบหนึ่ง.   พวกเขากำลังรีบเร่งขุดคุ้ยน่านน้ำขั้วโลกเหนือที่ละลายพังออกไป เพื่อล่าร่องรอยสุดท้ายของน้ำมัน, ก๊าซ, แร่ธาตุ และปลา.   และเพราะว่า บรรษัทเป็นผู้เผด็จการความสัมพันธ์ของเรากับระบบนิเวศ ที่เราพึ่งอาศัยเพื่อยังชีพ, โอกาสสำหรับการอยู่รอดของพวกเราดูเหมือนจะริบหรี่ ๆ ลง.   องก์สุดท้ายของกิจกรรมการตั้งรกรากของมนุษยชาติที่กินเวลา 5,000 ปี ต้องยุติลงด้วยความวิกลจริตหมู่.

“All my means are sane,” Captain Ahab says of his suicidal pursuit of Moby-Dick, “my motive and my object mad.”
“ความฝันทั้งหมดของผมล้วนมีเหตุผล เป็นปกติ”, กัปตัน อาฮับ กล่าวในการออกล่าโมบี-ดิกค์ ที่เป็นการฆ่าตัวตาย, “แรงจูงใจและเป้าประสงค์ของผมต่างหากที่บ้าคลั่ง”.

The ocean floor off the coast of Maine, which this summer has seen a staggering five-degree rise in water temperature, is now covered in crustaceans—lobsters and crabs—that no longer have any predators. The fish stocks have been killed for profit. This crustacean monoculture carries with it the fragility of all monocultures, a fragility that corn farmers in the Midwest also have experienced. Lobsters provide 80 percent of Maine’s seafood income. But how much longer will they last? When a diverse and intricately balanced biosystem is wiped out, what future is there? After you dismantle nature and throw away the parts, what happens when you desperately need to put them back together? And even if you can nurture back to life the fish stocks decimated by the commercial fleets, as valiant organizations such as Penobscot East Resource Center are attempting to do, what happens when sea temperatures and acidity levels continue to rise amid global warming, dooming most life in the oceans?
พื้นมหาสมุทรนอกฝั่งเมน, ซึ่งฤดูร้อนปีนี้ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 5 องศาในน้ำ, ตอนนี้เต็มไปด้วยสัตว์น้ำเปลือกแข็ง—กุ้งก้าม และ ปู—ที่ไม่มีผู้ล่าอีกต่อไป.   คลังปลาได้ถูกฆ่าเพื่อกำไร.   การเพาะเชิงเดี่ยวเจ้าสัตว์น้ำเปลือกแข็งเหล่านี้ ก็มีความเปราะบางติดตัวตามประสาการเพาะปลูกเชิงเดี่ยว, ความเปราะบางที่เกษตรกรข้าวโพดในมิดเวสต์ (ตะวันตกกลาง) ได้เคยประสบ.   กุ้งก้ามทะเล เป็นแหล่งรายได้อาหารทะเลของเมนถึง 80%.   แต่มันจะอยู่ได้นานสักแค่ไหน?   เมื่อระบบชีวภาพที่หลากหลาย และสมดุลอย่างลึกล้ำ ถูกทำลายสิ้นซาก, จะมีอนาคตอะไรเหลืออยู่?   หลังจากที่คุณรื้อถอนธรรมชาติ และโยนชิ้นส่วนต่างๆ ทิ้งไป, จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณจนตรอก จำเป็นต้องจับชิ้นส่วนต่างประกอบคืนให้เข้ากัน?   และแม้ว่าคุณจะสามารถหล่อเลี้ยงมันให้ฟื้นคืนมาได้, คลังปลาก็จะถูกทำลายยับเยินด้วยกองทัพเรือประมงพาณิชย์, ดังเช่น องค์กรกล้าหาญ เช่น ศูนย์ทรัพยากร พีนอบสก็อตอีสต์ กำลังพยายามทำ, เกิดอะไรขึ้นเมื่ออุณหภูมิทะเล และระดับความเป็นกรด ไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะโลกร้อน, ที่สร้างหายนะแก่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในมหาสมุทร?

The warmer water this year caused lobsters to shed six weeks earlier than usual. What happened to the sea further south is now happening off New England. Long Island Sound, two decades ago, had an abundance of lobsters. Then as the water heated up they disappeared. They fell prey to parasite infestations and shell disease, and the survivors migrated to colder water.
น้ำที่อุ่นขึ้นปีนี้ ได้ทำให้กุ้งก้ามออกมาเร็ว หกสัปดาห์ก่อนปกติ.  เกิดอะไรขึ้นกับทะเลที่ลงใต้ไกลกว่านี้ ที่กำลังเกิดขึ้นนอกนิวอิงแลนด์.   สองทศวรรษก่อนใน ลองไอแลนด์ซาวนด์ เคยอุดมไปด้วยกุ้งก้าม.  เมื่อน้ำร้อนขึ้น พวกมันก็หายไป.  มันตกเป็นเหยื่อของพยาธิ์ และโรคหอย, และพวกที่รอดตาย ก็ย้ายถิ่นไปหาน้ำที่เย็นกว่า.

All natural resources are being exploited until exhaustion. They will diminish and soon vanish. Droughts are affecting forests in the Northeast as well as the Northwest. The wintertime die-off of pine beetles and other pests—a reduction vital for the health of the forests—is no longer happening as the planet steadily warms. The traditional hardwoods of the northern forests and the great conifer trees are dying. They are being replaced by oak-hickory forests, dooming the biodiversity, eradicating the habitat of a variety of songbirds and other wildlife and ending the maple syrup industry. Maple syrup was produced a few decades ago in Connecticut and Massachusetts. As a child I would hike in snowshoes to the farmers’ sheds deep in the woods containing vats of boiling syrup. We would pour syrup on the blanket of snow outside to make brittle winter candy. But production in the southern New England states has been largely extinguished and shifted to northern Maine and Canada. These are the small natural indicators that something is terribly wrong.
ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดได้ถูกถลุงจนมันสิ้นซาก.   มันจะลดและในที่สุดก็หายสาบสูญ.   ความแห้งแล้งกำลังส่งผลกระทบต่อป่าไม้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พอๆ กันในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ.   การตายหมู่ในฤดูหนาวของแมลงต้นสนและแมลงศัตรูอื่นๆ—เป็นการลดลงที่มีผลต่อสุขภาพของป่า—จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ.   ไม้ยืนต้นเนื้อแข็งดั้งเดิมของป่าทางเหนือ และต้นสนที่ยิ่งใหญ่กำลังตายลง.   มันถูกแทนที่โดยป่าโอ๊ค-ฮิกคอรี, สร้างความฉิบหายแก่ความหลากหลายทางชีวภาพ, ขจัดถิ่นที่อาศัยของนกร้องเพลงและสัตว์ป่าประเภทต่างๆ  และไปจบลงที่อุตสาหกรรมน้ำเชื่อมเมเปิล.   น้ำเชื่อมเมเปิลผลิตขึ้นไม่กี่ทศวรรษก่อนในคอนเนคติกัต และแมสซาชูเซตต์.   ตอนที่เป็นเด็ก, ผมชอบเดินรอนแรมในรองเท้าหิมะไปยังกะท่อมชาวนา ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า ที่มีถังน้ำเชื่อมเดือดๆ.   เราจะเทน้ำเชื่อมลงบนหิมะข้างนอก เพื่อทำขนมหวาน.   แต่การผลิตในตอนใต้ของรัฐนิวอิงแลนด์ หมดไปแล้ว และได้เคลื่อนไปทางเหนือของเมน และแคนาดา.  สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวชี้วัดธรรมชาติเล็กๆว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง.

The daily loss of Arctic sea ice this summer is the most severe on record. The amount of sea ice has fallen by 40 percent since satellite tracking began in the late 1970s. The complete disappearance of summer Arctic sea ice may be no more than a decade or two away. And with the disappearance of the summer ice our planet’s weather patterns will become dominated by freakishly powerful and sudden storms and other violent natural disturbances. Droughts will devastate some parts of the Earth, and in others there will be unrelenting rainfall. It will be a world of extremes. Hurricanes. Tornadoes. Floods. Dust bowls. Fire and water.
การสูญเสียก้อนน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือทุกๆ วันในฤดูร้อนปีนี้ เป็นเรื่องรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์.   ปริมาณน้ำแข็งทะเลได้ลดลง 40% ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกด้วยดาวเทียมในปลายทศวรรษ 1970s.   การสูญหายอย่างสิ้นซากของน้ำแข็งทะเลขั้วโลกเหนือในฤดูร้อน อาจเกิดขึ้นไม่เกินกว่า หนึ่งหรือสองทศวรรษ.   และพร้อมกับการสูญหายของก่อนน้ำแข็งฤดูร้อน  แบบแผนของอากาศในโลกของเรา ก็จะถูกครอบงำโดยพายุกะทันหันที่ทรงพลัง และภัยพิบัติธรรมชาติที่รุนแรงอื่นๆ.   ความแห้งแล้งจะทำลายล้างบางส่วนของโลก, และในส่วนอื่น จะมีฝนตกไม่หยุด.   มันจะเป็นโลกของความสุดโต่ง.  เฮอริเคน.  ทอร์นาโด.  น้ำท่วม.  ทะเลทราย.  ไฟและน้ำ.

Our political leaders, Democrat and Republican, are complicit in our demise. Our political system, like that in the declining days of ancient Rome, is one of legalized bribery. Politicians, including Mitt Romney and Barack Obama, serve the demented ends of corporations that will, until the final flicker of life, attempt to profit from our death spiral. Civil disobedience, including the recent decision by Greenpeace activists to chain themselves to a Gazprom supply vessel and obstruct a Russian oil rig, is the only meaningful form of resistance. Voting is useless. But while I support these heroic acts of resistance I increasingly fear they may have little effect. This does not mean we should not resist. Resistance is a moral imperative. We cannot use the word “hope” if we do not fight back. But the corporations will employ deadly force to protect their drive to extract the last bit of profit from life. We can expect only mounting hostility from the corporate state. Its internal and external security apparatus, as the heedless exploitation and its fatal consequences become more apparent, will seek to silence and crush all dissidents. Corporations care nothing for democracy, the rule of law, human rights or the sanctity of life. They are determined to be the last predator standing. And then they too will be snuffed out. Unrestrained hubris always leads to self-immolation.
ผู้นำนักการเมืองของเรา, เดโมแครต และ รีพับลิกัน, กำลังสุมหัวให้พวกเราตาย.   ระบบการเมืองของเรา, เช่นกับวันแห่งการเสื่อมโทรมของอาณาจักรโรมัน, คือการติดสินบนที่ถูกกฎหมาย.    นักการเมือง, รวมทั้งมิตต์ รอมนีย์ และ บารัค โอบามา, ต่างรับใช้ผลบ้าคลั่งของบรรษัท ที่จะ, จนกระทั่งหยดสุดท้ายของชีวิต, พยายามโกยกำไรจากการตายแบบดิ่งพสุธาของพวกเรา.    การต่อต้านด้วยวิธีอหิงสา, รวมทั้งการตัดสินใจไม่นานมานี้ โดยนักกิจกรรมกรีนพีซ ที่ล่ามโซ่ตัวเองกับเรือเสบียง แก๊ซปรอม และขัดขวางการขุดน้ำมันของชาวรัสเซีย, เป็นรูปแบบเดียวของการคัดค้านที่มีความหมาย.   การลงคะแนนเลือกตั้งไร้ประโยชน์.   แต่ในขณะที่ผมสนับสนุนปฏิบัติการที่วีรกรรมของการต่อต้าน ผมรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นว่า มันจะมีผลกระทบน้อยมาก.    นี่ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรต่อต้าน.    การต่อต้าน เป็นความจำเป็นเชิงศีลธรรม.   เราไม่สามารถใช้คำว่า “หวัง” หากเราไม่สู้กลับ.   แต่บรรษัทจะใช้กำลังถึงตาย เพื่อปกป้องการขับเคลื่อนเพื่อบีบคั้น สกัด กำไรหยดสุดท้ายจากชีวิต.   เราคาดหวังได้เพียงความเกรี้ยวกราดจากรัฐบรรษัท.   กลไกรักษาความมั่นคงทั้งภายในและภายนอก, เมื่อการถลุงอย่างสะเพร่าและผลลัพธ์ถึงตายของพวกมัน เริ่มปรากฏชัดขึ้น, ก็จะออกมาทำให้เกิดความเงียบ และปราบปรามผู้คัดค้านทั้งหมด.   บรรษัทไม่สนใจอะไรกับประชาธิปไตย, นิติรัฐ, สิทธิมนุษยชน, หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต.   พวกเขามุ่งมั่นจะทำตัวเป็นผู้ล่า.  และแล้ว พวกเขาเองก็จะถูกเป่าให้ดับวูบ.   ดุมล้อที่ขาดการควบคุม ย่อมวิ่งไปสู่การทำลายตัวเองเสมอ.
© 2012 TruthDig.com

 Chris Hedges writes a regular column for Truthdig.com. Hedges graduated from Harvard Divinity School and was for nearly two decades a foreign correspondent for The New York Times. He is the author of many books, including: War Is A Force That Gives Us Meaning, What Every Person Should Know About War, and American Fascists: The Christian Right and the War on America.  His most recent book is Empire of Illusion: The End of Literacy and the Triumph of Spectacle.

Published on Monday, September 3, 2012 by TruthDig.com

Who owns the Earth? Hedges searingly recites, once again, a litany of plagues descending on oceans and forests - a coronor's inquest of mortal ecological injuries. Who did this?

Amongst the parasitic activities sucking the lifeblood from Gaia, the most severe blow is exhuming carbon from geologic reservoirs formed hundreds of millions of years ago, disgorging it into surface reservoirs - the atmosphere, oceans, and soil - where it will remain for thousands and thousands of years.

Who does this? McKibben calculates that fossil fuel reserves, those geologic reservoirs, are above-ground monetarily - on the books of extractive corporations to the tune of $27 trillion. The tune is a funeral dirge for a planet hospitable to Life.

By what depraved logic does the sea-floor belong to those who to tear it up, the forest to those who level it, the fossil carbon to those who poison the whole planet? The psychopaths claiming ownership are murdering everything in sight. They are insane tyrants, destroying the future even for their own as yet uncorrupted infants.

They do not own the Earth. We humans do not own the Earth. We living beings are robbed of everything that makes Life possible by an oligarchy of predators which urgently needs to be deposed. The taking will continue until nothing remains, unless humans get angry enough to take it back, and soon.
43 / 
Suspiria_de_profundis • 6 days ago • parent −
I hope you better understand my point made on grasslands and the animals that graze on them as an ecosystem that MUST be preserved rather then plowed under just because econmics dictates it more efficient as far as protein per acre goes to raise soy on it.

I read someplace of how the Natives of the Jungles in the Amazon would raise their fruits , vegetables and other plant type foods. They would observe the jungle and find where these foods would grow and the type of conditions they would need to grow.

Rather then try and transform the jungle into places then favorable for tthe same by cutting down the forests or plowing up the grasses, they would look IN the jungle for other places where these conditions existed and plant there.

Certainly they had to take down some trees and till some lands but the point was the Amazon was intact as an ecosystem prior to the arrival of man and is the most biodiverse area on Earth.

Now with 7 billion of us and growing and with all that modern technology is, there not way we can go back and live as they did BUT we can take their lesson.

The preservation of ecosystems and habitat is our most important priority. Life promotes life and the more biodiveristy we have the more life there will be. Anything else is the road to death.
12

the Amazon would raise their fruits , vegetables and other plant type foods. They would observe the jungle and find where these foods would grow and the type of conditions they would need to grow.

Which works only because there are so few of them. They manage their populations. In horrible brute-force ways, and not very well (Harris speculated that the constant wars of the Yanomami are a response to having too little protein available), but they do at least try to manage them. And so they can exploit the land less intensely that we can.
1 / 
Siouxrose • 6 days ago • parent
There is an Indigenous proverb that says something along the lines of "The Earth belongs to no one. We belong to the Earth."

Is it anger, or a shift of consciousness that would move like a tsunami across the human cognitive landscape that's necessary for drastically altering the metrics into those that regard life, and the wondrous living world, as Sacred... rather than as object suitable for use, abuse, and the manmade measure of market value?
12 / 
Aleph Null • 6 days ago • parent −
The shift of consciousness is of a piece with anger, not opposed to it. A shift toward identification with all Life necessarily involves just wrath toward the vampires draining Earth of its lifeblood. They have no right of ownership over what they've appropriated. They never did, but now the stakes grow insufferable. After they surrender the stolen goods we can talk about forgiveness.

In Kubler-Ross's famous model of grief, anger follows denial, then proceeds through bargaining and depression to acceptance. Denial and bargaining won't make any difference to debilitated ecosystems. To accept this death sentence for the planet would be insane. Grief is unavoidable for those who identify with Life, but it would comfort the predators for us to wallow in depression. That leaves anger as the only useful product of enlightened grief. Our only hope.

In 1967, Lynn White, Jr. wrote an angry, courageous essay which, along with Rachel Carson's eloquent outrage, laid the foundation of modern environmentalism:

"Our science and technology have grown out of Christian attitudes toward man's relation to nature which are almost universally held not only by Christians and neo-Christians but also by those who fondly regard themselves as post-Christians. Despite Copernicus, all the cosmos rotates around our little globe. Despite Darwin, we are not, in our hearts, part of the natural process. We are superior to nature, contemptuous of it, willing to use it for our slightest whim... To a Christian a tree can be no more than a physical fact. The whole concept of the sacred grove is alien to Christianity and to the ethos of the West. For nearly 2 millennia Christian missionaries have been chopping down sacred groves, which are idolatrous because they assume spirit in nature."

The Historical Roots of Our Ecological Crisis
18 /

I would add secular humanism, human fascism, human-centered extremism, to Judeo-Christian attitudes, especially in relation to sentient non-human beings who lack the power or forces of Nature to get us off their backs.
6 / 
Lyle H Hyde Jr • 18 hours ago • parent
It also clarifies the fact that the Christian doctrine of a Great Chain (or hierarchy) of Being, in which man has been granted stewardship authority over the earth and that he must use its resources wisely, has either failed in and of itself or that it has been disregarded or very badly abused. Many of the Federal Government's older agencies, such as the Forest Service, presumably use this model to make logging policy. With the passage of the environmental legislation in the early 70's, however, especially the Endangered Species Act, an "ecological" model of the natural world prevailed, meaning that there is no hierarchy but rather an infinitely complex web of being where the smallest and most seemingly insignificant of creatures can and do matter as much as such sexy species as bald eagles and grizzly bears. Remember the bitter fight over the snail darter and the Right's titanic outrage that so "trivial" a little fish could stand in the way of economic development? This ecological model found bureaucratic homes at the EPA and the US Fish and Wildlife Service, regardless of how successfully they may have honored it. But it also went to the heart of the capitalist's exploitation of nature, whereas the stewardship model did not, and has contributed to the antiregulatory backlash of the past generation and more. We are seeing the consequences now, and our grandchildren will pay.
1 / 
fake_french • 6 days ago • parent
European-style greed I'm coming to believe is a kind of virus. It's spread by advertising, by stories of ease and splendor and respect, fueled by greed, based upon acquisition. This virus has spread worldwide now and the whole species is --by and large-- caught up in the project of abusing the natural world in one way or another in pursuit of mammon.

I don't know how it is possible to counter this phenomenon other than for it to collapse and for any survivors to take away the right lesson: the world is a place to live, not a place to exploit.
7 / 
theinitiate • 5 days ago • parent
This is, sadly the only way we will get at least a chance......I think the it is all that is left..... how can we just sit by or try to "vote" our way into correcting our situation.... my feelings on this are evolving... I say to my self that we should not go that route... we just can't take that route.... what other method would truly make a difference..... Okay... if a phenomenal amount of people understood the trajectory we are on. ... that we have to make changes now, not "market changes: that will take who knows how long.... if more people were truly educated in this, we could take our selves off fossile fuels, off the monetary system and create new commuunites and not massive empires which need to do the vampire thing in order to survive....
0 / 
erisx • 6 days ago • parent
There is only one way to depose them. IGNORE THEM. Stop buying from them. Stop living in the manner that supports them. This requires an inner revolution, and there is no shortcut.

Otherwise it's just armchair philosophizing, which we are all guilty of, to some extent. Moving away from that and toward active change is what the lesson seems to be.

But what do I know? I'm a product of society just like you are.

(If you haven't, try watching Zeitgeist 2)
7 / 
twinkie_defense • 5 days ago • parent −
@glennk: And those millions of people and many more will die. We have our backs against a wall and continuing to allow corporations to despoil huge parts of the earth will soon kill the rest of us too.

You know this. You have read about the deadly ingredients in products sold to children by corporations. You know about Bhopal. Thalidomide. Corporations are destroying the planet that supports us and killing humans world wide.

If it is unrealistic to return to near Pre-Industrial Era level output of CO2 then soon we will face life threatening weather events leading to extinctions. If it is not already too late. There was an old TV ad that ended with "Its not nice to fool with mother nature".

If it is unrealistic for millions of people to make serious changes like living off the grid and doing more manual labor then we will probably burn every last drop of fossil fuels and go out in a blase of exhaust fumes and extra ordinarily severe weather events.

Life is Sacred. It is worth fighting for. Strange as it may sound changing our relationship to the planet and other bio systems will require participation of the majority of mostly first world people who are addicted to fossil fuels. A consensus to change and participation in change by the majority. Almost like democracy that some first world nations purport to enjoy.

Unrealistic?
0 / 
dkshaw • 6 days ago • parent −
"God it goes so damn fast.
.
It is such a lonely, powerless and mournful time to be alive."
.
Yesterday I was 22, and had just graduated from college. Today, I am 62, and based on family history I have maybe ten years left, approximately 5 minutes. Lonley, powereless and mournful doesn't begin to state how I feel. But for greed and fear, the two major defects of humanity, none of it had to be this way.
8 /
Can I ever relate to your statement. It is so strange how it all seems like yesterday. Both my parents used to warn of how quickly times passes as one grows older.

Isn't it bizarre how at twenty you look forward to having a lifetime to accomplish whatever it is you were called to do. Yet now, at 56 (almost), I'm terrified "OF" having a lifetime left. I don't want to be here. I have a hard time being here NOW.

Between the deterioration of our politics and the utter disregard the 1% has for the rest of us, AND, the deterioration of the natural world, which used to be my salve and my hope, I feel so fucking defeated.

You're not alone in how you feel, dkshaw. I say that to offer comfort, not to disregard your feelings.
7 / 
sLiM_mC_sHaDy • 5 days ago • parent
How true. Just the other day I commented to some 20somethings talking about how fast this year was speeding by; "Yes; I remember like yesterday after turning thirty how suddenly time seemed to speed up, then suddenly, somehow, I was fifty."
1 / 
Tom • 6 days ago • parent
Only this time, there beside your loved one, you are likewise doomed. In this way, we are in our march toward the ovens, clinging to hope while corporate soldiers point the way.
5 / 
natureschild3 • 6 days ago • parent
"My heart is also heavy with sadness"

not long ago i suggested retreating into small communes and you elizabeth replied that we do have a small cyber commune of the like minded to lift one another from utter depression. i so liked that you said that! i guess anyone who never feels sadness for this world just plain ole isn't paying attention. i know i dip in and out of depression, sleepless nights and such. the people in my neck of the woods seem so oblivious to any event that has no relevance to "my immediate superficial concerns" like a great sale at walmart or an all-you-can-eat buffet, often, long after going through the most gruesome experience, we can see in reflection that the horror provided a blessing in disguise. life, a gift; death a given, so let's not throw in the towel before we gotta. help, elizabeth, i need to feel your smile!
5 / 
Elizabeth Tjader • 6 days ago • parent
I haven't thrown in the towel. Just because I'm sad doesn't mean I'm inactive. I'm with you, natureschild3, in spirit and in action!
8 / 
gimlidwarf • 5 days ago • parent
I am very touched by the several sharings from the heart above. I see you all as old souls, and I am comforted by your being on this planet, at this time. Thank you.
1 / 
Suspiria_de_profundis • 6 days ago −
I was driving south on the Sea to Sky highway here in British Columbia and had just come out of Squamish whiek Vancouver bound. It had been a rainy day but the clouds had broekn so as to allow a blue patch of sky to allow sunlight .

In any case as I came around a curve that patch of sunlight struck the leaves in a very special way wherein the leaves, still wet with rain, seemed to shimmer and cast a light green glow against the sky above them. Just as I noticed this the mass of the granite wall called the Stawamis Chief loomed before me and it took up nearly my entire front window. Its rocks were mottled with all manner of colors due to that particular type of sunlight and looked like some impressionist painting as done by a Monet.

My heart was all but in my throat and then the cascading waters of Shannon falls came into view crashing down the mountainside against a sea of green.

The very next curve I could see Howe Sound. Where the sun struck the waters all blue and the rest a stormy gray. Against the backdrop of the sky snowclad mountains with dark grey clouds scudding through them.

This all took only a few seconds but it seemed to last an eternity. I came to my senses and recognized I was driving on one of the most dangerous highways in BC and pulled over to a viewpoint.

I am sure others have had this happen to them. It like that moment was placed just for your own eyes to see. I was glowing inside and on a natural high. It was all too beautiful. I had been driving alone and looked around to see if any others had noticed so as to share in that moment. The cars went whizzing by.

I sat there for some time watching seagulls and and a bald eagle fly over. The air was filled with birdsong and my for whatever reasons the sounds of traffic seemed to fade away. I sat there for some time before I came down then continued my journey into the City.

That is what I refer to when I mention "Spirituality" and far to many are blind to those moments in our lives. Nature remains the greatest show on this Earth.
19 /
Thank you for sharing that treasure.
I've had the opportunity to visit many nations, and I can tell you that no place is more magical (in my view) than the California coastal highway. Besides the portion between Big Sur and San Luis Obispo (where if you stop under the groups of pine situated at strategic vantage points, you can hear the seals bellowing below) is the point where you come through a mountain range to first see the Pacific. (I think it's near Gaviota.) Like you, I get supercharged with such a spiritual high just in being there, that it makes one wonder how a planet this incredible could ever be trashed with plastic isles of junk or a damning arsenal of all sorts of weapons.
It is a sin to abuse what's sacred.
12 / 
Yunzer • 5 days ago • parent
Yes, but both of you were driving cars - probably single-occupant cars at that, and are therefore part of the problem. Get out of the car, put on a backpack, and walk - find beauty in you own neighborhood. Or, at least take the Amtrak Coast Starlight, which traverses another pretty stretch of the california coast further south.
4 / 
Suspiria_de_profundis • 5 days ago • parent
Can not be done. I was at work doing a service call. I work in the Computer industry.

I work for a company that services mainframes and the like which no other firm will touch because they are too old. This stuff will eventually end in a landfill but as long as we can keep them running, not just yet. (This that planned obselence. After so many years the manufacturers no longer provide parts meaning we have to buy up old units other firms are getting rid of as they upgrade)

I can not carry parts needed, diagnostic manuals, tools and test equipment in a backpack and might well see 8 or 9 different sites in a single work day some of them two hours apart driving time.

When I am not working the car tends to stay parked. 90 percent of its mileage is work related.
0 / 
Psychedelic Chicken • 5 days ago • parent
Lovely recounting of that moment.

I can only afford to travel relatively short distances these days but on occasion I trek to the local mountains east of San Diego. My favorite place is in Laguna Mountain which part of the southern Pacific Crest Trail meanders through. On that trail, are vistas to the desert below, and from a few nearby peaks 360 panoramas that can seduce a glimpse of cosmic consciousness.

It is those moments that make me want to continue this life. I sometimes stay until after dark, and on a moonless night with a clear sky the milky way is the grandest show. I've practiced simply knowing what I'm looking at.

That the clear night sky is the time we can look out that cosmic window to see "this is where we are!" That window the open sky, shows us exactly where this beautiful planet is slowly moving around its traveling star.
5 / 
theoldgoat • 5 days ago • parent
I believe that these aren't just experiences that "seem" like they last an eternity - but are direct experiences of eternity manifest in the physical.
2 / 
Andreatu • 5 days ago • parent
Suspiria_de_profundis: That was a beautiful post.

If I interpret your meaning of "spirituality" correctly, you should enjoy this selection of music. Do take it into the third and a half minutes of the song; there is to my senses an aural resonance (sound-scape) that is in tune with the natural high you attempted to articulate. Nothing else remains to be said.

"world of wonders...
there's a rainbow shining in a bead of spittle
falling diamonds in rattling rain
light flexed on moving muscle
i stand here dazzled with my heart in flames (at this...)
world of wonders...
moment of peace like brief arctic bloom
red/gold ripple of the sun going down
line of black hills makes my bed
sky full of love pulled over my head
of this world of wonders... "

http://www.youtube.com/watch?v...
2 / 
speakup2day • 5 days ago • parent
British Columbia...what a special and beautiful province. I try to add those moments of "spirituality" daily into my life with the simple things. Often, it may be as simple as sitting down, closing my eyes and listening to the rustle of leaves and birds chirping in the background. Thank you for the reminder that life and every living creature and plant on this planet can be sacred if we just allow it.
2 / 
dogsface • 6 days ago • parent −
Suspiria_de_profundis ".....and far to many are blind to those moments in our lives"
Oh...I do not think so Suspiria.
Even in my lowly backyard at sunset watching chickens going about their business I have had moments of wonderment.
How green and graceful the trees, how wide-blue the sky, and the contented, joyful sounds of the wee garden birds around me. As for the chickens, in their innocents it is all they know, and they revel in it. It is theirs forever to keep.
It is a special moment when I appeal to whatever holds the universe together that I may have more time on this planet.
It is a moment of awareness that I am communicating with something that I cannot explain. It is real, and as tangible as my next breath.
Then I hear the likes of the of the !@#$%^&*^%$#@! Who are supposed to believe in a god of good and mercy, and still they broadcast a message of hate, of domination, pillage and obliteration to those who oppose them.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น