Why Your Health Is Bigger
Than Your Body
New findings explain how politics, economics, and ecology
can help or hurt our bodies.
ทำไมสุขภาพของคุณจึงใหญ่กว่าร่างกายของคุณ
ผลการศึกษาใหม่อธิบายว่า การเมือง, เศรษฐกิจ, และนิเวศ สามารถช่วย
หรือ ทำร้าย ร่างกายของเรา.
by Claudia Rowe
โดย คลอเดีย โรว
Talking with Dr. Ted Schettler is probably unlike any
conversation you have had with your physician. Raise the topic of breast cancer
or diabetes or dementia, and Schettler starts talking about income disparities,
industrial farming, and campaign finance reform.
การได้คุยกับ ดร. เท็ด เช็ตเตลอร์
คงไม่เหมือนกับการสนทนาทั่วไปที่คุณเคยมีกับแพทย์ของคุณ. พอยกหัวข้อมะเร็งเต้านม หรือ เบาหวาน หรือ
จิตเสื่อม, เช็ตเตลอร์ ก็จะเริ่มพูดถึงความไม่เท่าเทียมของรายได้, เกษตรอุตสาหกรรม,
และการรณรงค์ปฏิรูปการเงิน.
The Harvard-educated physician, frustrated by the
limitations of science in combating disease, believes that finding answers to
the most persistent medical challenges of our time—conditions that now threaten
to overwhelm our health care system—depends on understanding the human body as
a system nested within a series of other, larger systems: one’s family and
community, environment, culture, and socioeconomic class, all of which affect
each other.
หมอจบจากฮาร์วาร์ด, รู้สึกอึดอัดกับข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ในการต่อสู้กับเชื้อโรค,
เชื่อว่า การค้นหาคำตอบต่อสิ่งท้าทายที่ดื้อดึงที่สุดทางการแพทย์ในยุคของเรา—สภาวะที่กำลังคุกคามเพื่อเอาชนะระบบสาธารณสุขของเรา—ขึ้นกับความเข้าใจถึงร่างกายมนุษย์
ในฐานะที่เป็นระบบที่ฝังตัวถักทอภายในชุดระบบอื่นๆ ที่ใหญ่กว่า: ครอบครัว, ชุมชน, สิ่งแวดล้อม, วัฒนธรรม,
และชนชั้นทางสังคมเศรษฐกิจของตน, ทั้งหมดนี้ ส่งผลต่อกันและกัน.
It is a complex, even daunting view—where does one begin
when trying to solve problems this way?
มันเป็นมุมมองที่ซับซ้อน, แม้กระทั่งน่าเกรงขาม—จะเริ่มต้นที่ไหน
เมื่อพยายามแก้ปัญหาเช่นนี้?
Schettler is an exceedingly logical thinker, and his vision
for a more evolved kind of health care came from the down-to-earth experience
of helping to clean clam flats along the St. George River in Maine during the
1980s. “I was living and practicing on the coast there, and working with a
local organization to clean up the river because we had these rich clam flats
that had been closed for years because of periodic spikes of E. coli. If anyone
ate the clams they would get very sick.”
เช็ตเตลอร์ เป็นนักคิดเชิงตรรกะอย่างยิ่ง,
และวิสัยทัศน์ของเขาต่อการบริการสุขภาพที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น มาจากประสบการณ์ติดดินในการช่วยทำความสะอาดแผงหอย
บนแม่น้ำเซนต์ยอร์จ ในมลรัฐเมน ระหว่างทศวรรษ 1980s.
“ผมอาศัยและให้บริการอยู่ที่ชายฝั่งที่นั่น,
และทำงานกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อทำความสะอาดแม่น้ำ
เพราะเราเคยมีแผงหอยที่อุดมสมบูรณ์ ที่ถูกปิดมาหลายปี
เพราะการระบาดเป็นครั้งคราวของเชื้อ E.coli.
หากใครกินหอยเหล่านี้ ก็จะป่วยหนัก”.
Meanwhile, paper mills were dumping dioxins into other
rivers nearby, and Schettler learned that fish from those rivers sometimes had
even higher chemical levels than fish caught in urban harbors. But factory
bosses claimed that regulating waste from the pulp mills would cost community
jobs, which prompted dozens of young factory workers to protest. Schettler,
despite being steeped in traditional medicine, was unable to ignore these
interrelationships: a degraded natural environment, a precarious local economy,
and perennially sick people. “These things—the effect of the environment on
peoples’ health—were never discussed at the medical conferences,” he said. “So
it caused in me a major re-examination.”
ในขณะเดียวกัน, โรงงานกระดาษก็ทิ้งสารเคมี ไดอ๊อกซิน
ลงในแม่น้ำใกล้เคียงสายอื่น, และเช็ตเตลอร์ได้เรียนรู้ว่า ปลาจากแม่น้ำเหล่านั้น
บางทีมีระดับสารเคมีสูงกว่าปลาที่จับได้ในท่าเรือของเมือง. แต่เจ้านายของโรงงาน อ้างว่า
การจำกัดของเสียจากโรงงานเยื่อกระดาษ จะทำให้ชุมชนเสียงาน,
ซึ่งกระตุ้นให้คนงานหนุ่มสาวในโรงงานหลายสิบคนออกมาประท้วง. เช็ตเตลอร์, แม้ว่าจะยึดมั่นในแพทย์ศาสตร์,
ก็ไม่สามารถเพิกเฉยกับความสัมพันธ์เชื่อมโยงของประเด็นเหล่านี้: ธรรมชาติแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง,
ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ไม่มั่นคง, และคนป่วยตลอดปีตลอดชาติ. “สิ่งเหล่านี้—ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพของประชาชน—ไม่เคยถูกอภิปรายในที่ประชุมวิชาการทางการแพทย์เลย”,
เขากล่าว. “ดังนั้น, มันได้ทำให้ผมต้องทบทวนอย่างหนัก”.
Schettler went back to school, earned a master’s degree in
public health, and began applying a scientist’s rigor to his wide-ranging pool
of interests. Since then, he has researched connections between poverty, iron
deficiency, and lead poisoning; insecticide use, Parkinson’s, and Alzheimer’s
disease; income disparities and asthma.
เช็ตเตลอร์กลับไปเข้าเรียนใหม่, ได้รับปริญญาโทสาธารณสุข,
และเริ่มประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าในหัวข้อที่เขาสนใจมากมาย.
ตั้งแต่นั้นมา, เขาได้ทำวิจัยความเชื่อมโยงระหว่างความยากจน, การขาดแร่เหล็ก,
และตะกั่วเป็นพิษ; การใช้ยาฆ่าแมลง, โรคพากินสัน
(อาการกระตุกสั่นตลอดเวลา), และอัลไซเมอร์ (ความจำเสื่อม); ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโรคหืดหอบ.
He calls this new approach to medicine “the ecological
paradigm of health.”
เขาเรียกแนวทางใหม่ทางแพทย์นี้ว่า “กระบวนทัศน์นิเวศของสุขภาพ”.
“It sounds like tree-huggers or something,” Schettler said
in an interview. “But I mean ‘ecological’ in the sense that there are these
multiple systems, one within the other—a family within a community, within a
society, within a culture—and that’s the way ecologists tend to talk about
ecosystems. It’s accepting up front that humans do not stand apart from the
environment. We’re a major species, along with the mosquitoes and fish and
trees and bacteria. And there are all of these wonderful interrelationships.”
“มันฟังเหมือนการกอดต้นไม้ หรืออะไรทำนองนั้น”, เช็ตเตลอร์
กล่าวในการให้สัมภาษณ์. “แต่ผมหมายถึง ‘นิเวศ’ ในแง่ที่ว่า มีระบบทวีคูณมากมาย,
อันหนึ่งซ้อนอยู่ในอันอื่น—ครอบครัวภายในชุมชน, ภายในสังคม, ภายในวัฒนธรรม—และ
นั่นเป็นวิธีการที่นักนิเวศวิทยาพูดเกี่ยวกับระบบนิเวศ. มันยอมรับซึ่งหน้าเลยว่า
มนุษย์ไม่ได้ยืนแยกจากสิ่งแวดล้อม.
เราเป็นสายพันธุ์หลักชนิดหนึ่ง, พอๆ
กับยุงและปลาและต้นไม้และแบคทีเรีย.
และก็มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่น่ามหัศจรรย์เหล่านี้”.
Our Health and Ecosystem Health
สุขภาพของเรา และสุขภาพของระบบนิเวศ
Currently getting over a case of Lyme disease, Schettler
notes that the condition wasn’t even on the radar three decades ago. Likewise,
West Nile Virus. And dengue fever, first identified in the late 18th century,
has soared since the 1960s, now infecting up to 100 million people worldwide
each year.
หลังจากเพิ่งจบกรณีศึกษาโรคไลม์เร็วๆ นี้, เช็ตเตลอร์ กล่าวว่า
สภาวะนั้นไม่ได้แม้แต่อยู่ในจดเรดาร์เมื่อสามทศวรรษก่อนหน้านั้น. เช่นเดียวกัน, ไวรัสเวสต์ไนล์. และไข้เลือดออก, ถูกพบครั้งแรกตอนปลายศตวรรษที่
18, ได้พุ่งสูงตั้งแต่ทศวรรษ 1960s, ตอนนี้แพร่ระบาดในประชากรโลก 100 ล้านคนทุกปี”.
“Can there be any doubt that human health is enormously
dependent on ecological systems that we are having a major influence on?”
Schettler says. “It’s all one world. Our tendency to describe the natural world
as something without humans is part of the problem.”
“มีข้อสงสัยอะไรไหมที่ว่า สุขภาพมนุษย์
ต้องพึ่งพาระบบนิเวศอย่างหนักหน่วง
ระบบนิเวศที่เรามีอิทธิพลเหนือมันมากๆ?”
“มันเป็นโลกเดียวกัน. เรามีแนวโน้มที่จะบรรยายโลกธรรมชาติประหนึ่งของบางอย่างที่
คนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา”.
Such a holistic approach to human health is often received
as heresy within traditional medicine, but Schettler is hardly a Don Quixote
tilting at windmills. He has testified before the U.S. Senate about links
between Parkinson’s and pesticide use. He has been interviewed on public radio
and co-authored two oft-quoted books, Generations at Risk: Reproductive Health
and the Environment and In Harm’s Way: Toxic Threats to Child Development. Both
explore Schettler’s belief about the environmental underpinnings of a host of
disorders, from learning disabilities to cancer. And both lay out the
limitations of Western medicine in coming up with clear causes and effective
treatment.
แนวทางแบบองค์รวมเช่นนี้ ต่อสุขภาพคน
มักถูกรับฟังประหนึ่งความคิดนอกรีต ภายในแพทยศาสตร์ตามจารีต, แต่เช็ตเตลอร์ ไม่ใช่
ดอน ควิซ็อก ที่โจมตีกังหันลม.
เขาได้ให้การต่อหน้าวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างโรคพากินสัน
กับการใช้ยาฆ่าแมลง. เขาได้ให้สัมภาษณ์ในวิทยุสาธารณะ
และร่วมประพันธ์ หนังสือที่ถูกอ้างอิงบ่อยๆ สองเล่ม, “รุ่นคนที่สุ่มเสี่ยง: สุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ และ สิ่งแวดล้อม” และ “วิถีอันตราย: ภัยพิษคุกคามต่อการพัฒนาของเด็ก”. ทั้งสองเล่มสำรวจความเชื่อของเช็ตเตลอร์
เกี่ยวกับ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่อยู่เบื้องหลังอาการผิดปกติมากมาย,
ตั้งแต่พิการในการเรียนรู้ ถึง มะเร็ง.
ทั้งสองเล่ม ได้ชี้แจงถึงความจำกัดของการแพทย์แผนตะวันตก
ในการอธิบายสาเหตุได้อย่างชัดเจน และค้นพบวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ.
Breast cancer is a prime example. Dissatisfied with research
into the origins of the disease, Schettler began to wonder whether chemicals
found in cancerous breast tissue actually encouraged tumor growth. He found
that a girl’s exposure to DDT before the age of 14 corresponded to a greatly
increased risk for breast cancer later in life. “If we’re looking only at
adults, we’re missing this important window of susceptibility,” Schettler says.
“But in medicine we weren’t going there. We were responding only to the
illness. I was interested in its origins.”
มะเร็งเต้านมเป็นตัวอย่างปฐม.
ด้วยความไม่สะใจกับงานวิจัยถึงต้นตอของโรค, เช็ตเตลอร์ ได้เริ่มสงสัยว่า
สารเคมีที่พบในเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านม ที่แท้กระตุ้นให้เนื้องอกเติบโต. เขาพบว่า เด็กหญิงที่สัมผัสดีดีที ก่อนอายุ 14 ปี สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากที่จะเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุมากขึ้น. “หากเราดูแค่ผู้ใหญ่,
เราจะมองข้ามหน้าต่างสำคัญของความอ่อนไหว”, เช็ตเตลอร์กล่าว. “แต่ในการแพทย์ เราไม่ได้ไปที่นั่น. เราเพียงแต่ตอบสนองอาการป่วย. ผมสนใจในต้นตอ”.
Food is another favorite “wedge issue,” a way of examining
diseases like diabetes in relation to agricultural policies. Schettler, noting
America’s current epidemic of childhood obesity and diabetes, began examining
not only blood sugar levels in children but also the neighborhoods in which
they lived. He found that many did not have a single market selling fruits and
vegetables.
อาหารเป็น “ประเด็นลิ่ม” ที่เขาชอบอีกเรื่อง,
วิธีการที่จะตรวจสอบโรคภัย เช่น เบาหวาน ที่เกี่ยวโยงกับนโยบายเกษตร. เช็ตเตลอร์, สังเกตเห็น
โรคระบาดขณะนี้ของอเมริกา—โรคอ้วนฉุในเด็ก และ เบาหวาน, ได้เริ่มตรวจสอบไม่เพียงระดับน้ำตาลในเลือด
แต่ยังดูถึงย่านเพื่อนบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่.
เขาพบว่า หลายๆ ราย ไม่มีตลาดที่ขายผักและผลไม้ แม้แต่แห่งเดียว.
That led his musings a step further, to inquiry into the
agricultural policies guiding food into stores. Which flowed naturally into an
examination of conditions for agricultural workers who, it turned out, had high
rates of cancer.
นั่นนำให้เข้าก้าวไปอีกขั้น, ไปค้นหานโยบายเกษตร
ที่นำทางให้อาหารเข้าร้าน.
ซึ่งไหลไปตามธรรมชาติให้ตรวจสอบสภาวะของคนงานเกษตร และพบว่า
พวกเขามีอัตราการเป็นมะเร็งสูง.
In Schettler’s analysis, each of these factors—the mass
production of processed food, the lack of easily accessible fruits and
vegetables, the health condition of farm workers—is fused with the others:
“It’s fine to give people dietary advice, and advise them to exercise—in this
country we have a long history of telling people how to change their own
lives,” he says. “But it’s not just a matter of an individual making a poor
choice. It’s what our system has provided to them, so it needs to be changed at
the systems level. Diabetes and obesity are big-ticket items with huge
implications for the federal budget.”
ในการวิเคราะห์ของเช็ตเตลอร์, แต่ละปัจจัย—การผลิตมวลของอาหารแปรรูป,
การเข้าไม่ถึงผลไม้และผัก, สภาวะสุขภาพของคนงานเกษตร—หลอมรวมกับสิ่งอื่นๆ: “ดีแล้วที่ให้คำแนะนำโภชนการกับประชาชน, และแนะนำให้พวกเขาออกกำลังกาย—ในประเทศนี้
เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการบอกให้ประชาชนเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา”,
เขากล่าว. “แต่มันไม่เพียงเป็นเรื่องของการที่ปัจเจกตัดสินใจพลาด. มันเป็นเรื่องที่ว่า
ระบบของเราได้จัดไว้ให้พวกเขา, ดังนั้น มันจำเป็นต้องเปลี่ยนในระดับของระบบ. เบาหวานและอ้วนฉุ เป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งหมายถึงงบประมาณก้อนใหญ่ของสหพันธรัฐ”.
Thinking that way, it’s no stretch for the physician to
segue into a discussion of federal farm subsidies for chemically produced
foods. Or, on a more personal level, to question colleagues in health care
about their failure to advocate for changes to the food served in schools.
ด้วยความคิดเช่นนั้น,
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหมอที่จะติดตามเข้าไปในการอภิปรายเรื่องการให้เงินอุดหนุนเกษตรเพื่ออาหารที่ผลิตด้วยสารเคมี. หรือ, ในระดับส่วนบุคคล,
ได้ไต่ถามเพื่อนร่วมงานในการให้บริการสุขภาพ
เกี่ยวับความล้มเหลวในการผลักดันให้เปลี่ยนอาหารที่เสิร์ฟในโรงเรียน.
Schettler’s approach touches everyone: He asks school
districts that cut physical education programs as soon as budgets get tight,
“What’s the message we’re giving to kids? This is really troubling. We’re
facing an obesity and diabetes epidemic that’s going to overwhelm our health
care system. And if there’s one thing that we should be doing it’s stressing
the importance of diet and exercise for young people.”
แนวทางของเช็ตเตลอร์ แตะต้องทุกคน:
เขาได้ถามหน่วยงานควบคุมโรงเรียนระดับเขตที่ให้ตัดโปรแกมพลศึกษาทันทีที่งบประมาณหด,
“เราส่งสัญญาณอะไรให้กับเด็กของเรา?
นี่เป็นเรื่องแย่มาก.
เรากำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคอ้วนฉุ และเบาหวาน
ที่กำลังจะท่วมท้นระบบบริการสุขภาพของเรา.
และหากมีเรื่องหนึ่งที่เราควรทำ ก็คือเน้นถึงความสำคัญของโภชนาการ
และการออกกำลังกายในคนหนุ่มสาวของเรา”.
You might think that a physician like Schettler—unafraid of
skewering sacred cows wherever he finds them—would be a lightning rod for criticism.
And indeed, the American Council on Science and Health issued a sharp rebuke in
1999 after Schettler attacked a report issued by the organization (and
co-authored by former Surgeon General C. Everett Koop) for its stand on
phthalates: “The American Council on Science and Health is disappointed, but
not surprised, by activists’ continued attempts to discredit a panel of
well-respected, nationally and internationally recognized scientific and
medical professionals,” the statement said. “Once again, there has been an
attempt to shift attention from sound science to misrepresentations and
half-truths.”
คุณอาจคิดว่า หมอเช่นเช็ตเตลอร์—ไม่กลัวเสียบวัวศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะพบที่ไหน—จะเป็นเหมือนสายล่อฟ้าในการวิจารณ์. และจริงเช่นนั้น, สภาวิทยาศาสตร์และสุขภาพอเมริกัน
ได้แถลงการณ์ดุด่าอย่างแรงในปี 1999 หลังจากที่เช็ตเตลอร์โจมตี
รายงานหนึ่งที่เผยแพร่โดย องค์กร (และร่วมเขียนโดยอดีตแพทย์ผ่าตัด General C. Everett Koop) เรื่อง phthalates (วัณโรค?): “สภาวิทยาศาสตร์และสุขภาพอเมริกัน
รู้สึกผิดหวัง, แต่ไม่ประหลาดใจ, ในความพยายามอย่างต่อเนื่องของนักกิจกรรมที่ต้องการใส่ร้ายคณะกรรมการทรงเกียรติ,
เป็นที่รู้จักระดับชาติและนานาชาติว่าเป็นมืออาชีพทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์”, แถลงการณ์กล่าว. “อีกครั้งหนึ่ง,
มีความพยายามที่จะขยับความสนใจจากวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง ไปสู่การตีความผิดๆ และความจริงครึ่งใบ”.
Other than this, there is virtually no public criticism of
Schettler’s work. And even that fracas left him singularly unperturbed.
นอกเหนือจากนี้,
ไม่มีการวิจารณ์สาธารณะอื่นใดต่องานของเช็ตเตลอร์. แม้กระนั้น เสียงคึกโครมนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว.
“Some of these chemical groups might label me an ‘enviro’
but that’s about it,” he said. “Still, this is an area of great debate—whether
our job is merely to identify and treat disease or whether it is also to be
advocates in public policy.”
“บางกลุ่มสารเคมีเหล่านี้ อาจติดป้ายให้ผมว่าเป็น ‘enviro’ (พวกหัวแวดล้อม) แต่ก็เท่านั้นเอง”, เขากล่าว.
“แต่ก็ยังมีอักเรื่องหนึ่งที่ถูกถกเถียงกันอย่างหนักหน่วง—ว่างานของเรา
เป็นเพียงระบุ และ รักษาโรค หรือว่า รวมการรณรงค์ในนโยบายสาธารณะด้วย”.
Clearly, Schettler has made his decision. “You really do get
into down-and-dirty politics here. That’s where this all plays out.”
ชัดเจนอยู่แล้วว่า เช็ตเตลอร์ได้ตัดสินใจแล้ว.
“คุณจะต้องลงไปลุยในการเมืองสกปรกที่นี่ด้วยจริงๆ. นั่นเป็นที่ๆ เกมทุกอย่างเล่นกัน”.
Inequality Makes Us Sick
ความไม่เท่าเทียมปกปิดความเจ็บป่วย
Wherever Schettler turns his focus, drilling down to the
root causes of illness inevitably means confronting social problems, foremost
among them economic inequality.
ไม่ว่าที่ไหนที่เช็ตเตลอร์หันไปสนใจ,
การขุดเจาะลึกลงไปถึงรากเหง้าของความเจ็บป่วย เลี่ยงไม่ได้ ที่จะหมายถึง
การเผชิญหน้ากับปัญหาสังคม, สิ่งแรกในบรรดาหลายๆ เรื่อง คือ
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ.
Take lead poisoning: Poor diet leaves children from
lower-income families more likely to suffer iron deficiencies. And an
iron-deficient diet allows more lead to be absorbed in the intestinal tract,
transporting more of the damaging metal to the brain and leading to increased
neurological impairment among kids whose families are least able to counter
those effects.
เอาเรื่องสารตะกั่วพิษ: โภชนาการที่แย่
ทำให้เด็กจากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ มีโอกาสขาดธาตุเหล็กได้มากกว่า. และโภชนาการที่ขาดธาตุเหล็ก
ยอมให้ลำไส้ดูดซึมตะกั่วได้มากกว่า, ลำเลียงโลหะที่อันตรายมากกว่าไปยังสมอง
และนำไปสู่ความบกพร่องในระบบประสาท ในเด็กๆ จากครอบครัวที่มีความสามารถตอบโต้ได้น้อยที่สุด.
“If you just address the lead itself, without looking at
diet and social circumstances, you don’t get very far,” Schettler says. “So
yes, it’s important to make sure that kids aren’t being exposed to excessive
amounts of lead and neurotoxins, and we need to keep doing that work. But we
also need to be looking at housing, income disparities, the food system, energy
production—things that are likely to have a bigger impact on a larger set of
conditions and diseases.”
“หากคุณแค่สนใจตัวตะกั่ว, ไม่ได้ดูที่โภชนากรและบริบททางสังคม,
คุณก็ไปไม่ได้ไกลเท่าไร”, เช็ตเตลอร์ กล่าว.
“ดังนั้น ใช่, เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้แน่ใจว่า เด็กๆ
จะไม่สัมผัสกับตะกั่ว และสารพิษต่อระบบประสาม มากเกินไป, และเราจำเป็นต้องทำงานนั้นต่อไป. แต่เราก็จำเป็นต้องดูที่ ที่อยู่อาศัย,
ความไม่เท่าเทียมทางรายได้, ระบบอาหาร, การผลิตพลังงาน—สิ่งที่น่าจะมีผลกระทบใหญ่กว่า
ต่อชุดสภาวะและโรคภัยที่ใหญ่กว่า”.
In short, poverty leads to increased exposure, which is
exacerbated by heightened vulnerability (in this case, the iron-deficient diet)
and an impaired ability to respond—“a toxic triad,” Schettler calls it.
พูดสั้นๆ, ความยากจนนำไปสู่โอกาสสัมผัสมากขึ้น,
ซึ่งถูกทำให้แย่ลงด้วยความเปราะบาง (ในกรณีนี้, โภชนาการที่ขาดธาตุเหล็ก) และ
ความผิดปกติ/บกพร่อง ในการตอบสนอง—“พิษสามเส้า”, เช็ตเตลอร์ ตั้งชื่อให้.
The link between socioeconomic status and poor health is
widely acknowledged. But perhaps less obvious is the finding that income
disparities within a community also appear to have a deleterious effect, making
one family susceptible to illnesses that another living in the same area—but at
a higher income level—might escape.
จุดเชื่อมระหว่างสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจ และ สุขภาพเสื่อมโทรม
ได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วแล้ว.
แต่สิ่งที่อาจไม่ชัดเจน คือ การค้นพบว่า ความไม่เท่าเทียมทางรายได้
ภายในชุมชนหนึ่งๆ ก็มีผลร้ายเช่นกัน, ทำให้ครอบครัวหนึ่งๆ เจ็บป่วยได้ง่าย
กว่าครอบครัวอื่นๆ ที่อาศัยในบริเวณเดียวกัน—แต่มีระดับรายได้สูงกว่า—อาจหนีพ้นได้.
As proof, Schettler cites research on asthma that found
poorer kids—even when symptom-free—had higher levels of inflammatory markers in
their blood than youths from wealthier families in the same neighborhood.
Meaning that it took fewer irritants to push the poorer children over the
threshold into a full-blown attack. Once sick, they were also less resilient—that
is, less able to quickly recuperate—than wealthier children, either because
they lacked treatment at home or were unable to get to a doctor.
เพื่อพิสูจน์, เช็ตเตลอร์ได้อ้างงานวิจัยเรื่องหืดหอบ ที่พบว่า
เด็กที่ยากจนกว่า—แม้ว่าจะไม่มีอาการใดๆ—มีระดับอาการอักเสบปรากฏในเลือดมากกว่าเยาวชนจากครอบครัวร่ำรวยกว่า
ในละแวกเดียวกัน. หมายความว่า
สารระคายเคืองไม่กี่อย่าง ก็สามารถดันให้เด็กที่ยากจนกว่าแสดงอาการขาดลมหายใจได้. พอล้มป่วย, พวกเขาก็ขาดความยืดหยุ่น—นั่นคือ, จะฟื้นคืนปกติยากกว่า—เด็กที่ร่ำรวยกว่า,
อาจเพราะขาดการดูแลรักษาที่บ้าน หรือไม่สามารถไปหาหมอ.
“Higher income is protective—even in the same community,”
Schettler says. “That’s why it’s so concerning to see this income gap in
America now. We know it’s setting the stage for adverse health outcomes for
people. Is that class warfare? Well, yes. When economic inequality gets this
wide it has an adverse effect on people’s health. That’s what the literature
tells us. We shouldn’t shy from saying it.”
“คนที่มีรายได้สูงกว่า
จะกระฉับกระเฉงกว่า—แม้จะอยู่ในชุมชนเดียวกัน”, เช็ตเตลอร์ กล่าว. “นั่นคือเหตุผลว่า
ทำไมจึงเป็นเรื่องน่าห่วงใยที่เห็นช่องว่างนี้ในอเมริกาขณะนี้. เรารู้ว่า
มันกำลังเตรียมเวทีให้เกิดผลพวงอันตรายต่อสุขภาพสำหรับประชาชน. นั่นเป็นสงครามชนชั้นไหม? เออ, ใช่.
เมื่อความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจถ่างกว้างขนาดนี้
มันจะมีผลร้ายต่อสุขภาพของประชาชน.
นั่นเป็นสิ่งที่งานวิจัยต่างๆ ได้บอกเรา.
เราไม่ควรจะอาย หรือบ่ายเบี่ยงจากการพูดถึงมัน”.
Show Me the Progress
แสดงความก้าวหน้าให้ฉันดู
After spending 30 years as an emergency medicine physician,
Schettler now serves as science director for two organizations, the Science and
Environmental Health Network and the Collaborative on Health and the
Environment. The latter is a partnership of some 4,000 health practitioners and
scientists committed to promoting discussion of the connections between the
environment and learning disorders, birth defects, infertility, childhood
leukemia, endometriosis, and various cancers.
หลังจากใช้เวลา 30 ปีในฐานะแพทย์แกเฉิน, เช็ตเตลอร์
ตอนนี้ เป็นผู้อำนวยการวิทยาศาสตร์ของสององค์กร,
เครือข่ายวิทยาศาสตร์และสุขภาพสิ่งแวดล้อม และ
ความร่วมมือสุขภาพและสิ่งแวดล้อม.
องค์กรหลัง เป็นภาคีกับนักการสุขภาพและนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 คน
ที่มุ่งมั่นส่งเสริมการอภิปรายถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมและความผิดปกติในการเรียนรู้,
ความผิดปกติโดยกำเนิด, หมัน, มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กเล็ก, endometriosis, และมะเร็งชนิดต่างๆ.
Admittedly, it’s a pretty bleak vision, this tangled web of
social, medical, and political problems. And looking at it, you might expect
Schettler to be wracked with hopelessness. Yet he is not.
ต้องยอมรับว่า, มันเป็นวิสัยทัศน์ที่น่าหวาดเสียว,
โยงใยที่สับสนของปัญหาสังคม, การแพทย์, และการเมืองนี้. และมองดูแล้ว, คุณอาจคาดหวังให้ เช็ตเตลอร์
ร้าวรานในความสิ้นหวัง. แต่เขาไม่เป็นเช่นนั้น.
“I actually think it’s a very important time in the world
now,” he says. “There’s something here for everyone to do.”
“อันที่จริง ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากในโลกปัจจุบัน”,
เขากล่าว. “มีบางอย่างที่นี่
เพื่อให้ทุกคนทำ”.
He points to examples of significant change already underway
within the health care industry itself, where the incineration of hospital
waste has long been a leading source of dioxin emission. Hospital food,
too—traditionally a fatty rotation of grilled cheese, burgers, French fries,
and milkshakes—has been little more than “a joke,” Schettler says.
เขาชี้ไปที่ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ
ที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมบริการสุขภาพเอง, ที่ๆ การเผาขยะโรงพยาบาล
เป็นแหล่งแนวหน้าของการปล่อยก๊าซไดอ๊อกซิน มาเนิ่นนานแล้ว. อาหารโรงพยาบาลด้วย—เดิมจะเป็นการหมุนเวียนของอาหารไขมันสูง เนยแข็งย่าง, เบอร์เกอร์, มันฝรั่งทอด,
และนมปั่น—ได้เป็นเรื่อง “ขบขัน”, เช็ตเตลอร์ กล่าว.
But since its founding in 1996, the international collective
Health Care Without Harm has steadily been chipping away at these problems, and
has now seen the closure of thousands of medical waste incinerators. It has
initiated a Green Building program geared toward creating energy-efficient
medical centers; and it has begun to change the way hospitals, with their enormous
purchasing power, buy food to promote more locally grown and sustainable
agriculture practices.
แต่ตั้งแต่การค้นพบในปี 1996, กลุ่มนานาชาติ บริการสุขภาพที่ปราศจากอันตราย
ได้ขัดเกลาปัญหาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง, และตอนนี้ ก็ได้เห็นการปิดเตาเผาขยะโรงพยาบาลไปหลายแห่ง. มันได้ริเริ่ม โปรแกม อาคารสีเขียว
ที่ออกแบบให้เป็นศูนย์การแพทย์ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ; และได้เริ่มเปลี่ยนวิธีการของโรงพยาบาล,
ด้วยกำลังซื้อมหาศาลของพวกเขา, ให้ซื้ออาหารเพื่อส่งเสริมผลิตผลที่ปลูกในท้องถิ่น
และด้วยวิธีที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น.
“The medical industry itself has been a great place to look
at cleaning up,” says Schettler, who advises Health Care Without Harm.
“Particularly as health care is almost 20 percent of the GDP.”
“ตัวอุตสาหกรรมการแพทย์เอง เป็นที่ใหญ่โตมโหฬาร ที่จะต้องดูแลให้ทำความสะอาด”,
เช็ตเตลอร์ กล่าว, ผู้เป็นที่ปรึกษาของ บริการสุขภาพที่ปราศจากอันตราย. “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริการสุขภาพ
คิดเป็นเกือบ 20% ของจีดีพี”.
Even as a high school student in 1950s Ohio, the seemingly
mild young man showed a talent for leadership. (“Ted’s ability to organize his
pals has made him a leader in the senior class,” notes his yearbook. “His
sincere, fun-loving personality will draw friends to him.”) These days,
Schettler puts those skills to work before crowds of students, researchers, and
policy makers. Yet nearly every conversation circles back to same question: How
is anyone to make a difference when confronted with Schettler’s vision?
แม้แต่ตอนเป็นนักเรียนมัธยมในทศวรรษ 1950s ในรัฐโอไฮโอ, เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนโยน
ได้แสดงความสามารถพิเศษของภาวะผู้นำ.
(“ความสามารถของเท็ด ในการจัดกระบวนเพื่อนฝูง
ได้ทำให้เขาเป็นผู้นำในมัธยมปลายปีสุดท้าย”, เขียนในหนังสือประจำปี. “ความจริงใจ, บุคลิกรักสนุก
ดึงดูดเพื่อนให้ชอบเขา”.) ทุกวันนี้,
เช็ตเตลอร์ ได้ใช้ทักษะเหล่านั้น มาใช้กับกลุ่มนักเรียน, นักวิจัย,
และผู้วางนโยบาย. แต่ในทุกๆ วงการสนทนา
ก็จะหวนกลับไปคำถามเดิม: จะทำให้เกิดความแตกต่างได้อย่างไร
เมื่อเผชิญหน้ากับวิสัยทัศน์ของ เช็ตเตลอร์?”
“I encourage people to recognize that they’re working in
common cause with others,” he says. “Many people are carrying a common message,
just coming at it from different angles.”
“ผมสนับสนุนให้คนตระหนักว่า
พวกเขากำลังทำงานที่มีรากเหง้าร่วมกับคนอื่นๆ”, เขากล่าว. “หลายคนกำลังสื่อสารเรื่องร่วมกัน,
เพียงแต่เดินมาจากมุมต่างกัน”.
By way of example, he cites Detroit, long a metaphor for
urban blight, ingrained misery and societal failure. Though there is not a
single major-chain supermarket within the city limits, Schettler focuses
instead on a crop of urban gardens now dotting the broken blacktop. “People are
starting to grow their own food, healthy food!” he exclaims. “There are wonderful
things going on.”
ด้วยการยกตัวอย่าง, เขาได้อ้างดีทรอยท์, ซึ่งเป็นอุปมาอุปมัยของเมืองเสื่อมโทรม,
ความทุกข์ยากที่ฝังลึก และความล้มเหลวทางสังคม. แม้ว่าจะไม่มีซุปเปอร์มาเก็ตสายโซ่หลักๆ
แม้แต่แห่งเดียว ในขอบเขตเมือง, เช็ตเตลอร์ มุ่งเน้นที่การเพาะปลูกในสวนเมือง
ที่ผุดเป็นจุดๆ บนพื้นที่สีดำ ที่ขาดวิ่น. “คนกำลังเริ่มปลูกอาหารของตัวเอง,
อาหารที่ทำให้สุขภาพดี!” เขาอุทาน. “มีสิ่งน่าอัศจรรย์กำลังเกิดขึ้น”.
Claudia Rowe wrote this article for It's Your Body, the Fall
2012 issue of YES! Magazine.
Claudia Rowe has been an
award-winning social issues journalist for more than 20 years. Her work has
appeared in Mother Jones, The New York Times, The Seattle Times, and The
Seattle Post-Intelligencer.
คลอเดีย โรว ได้รับรางวัล นักวารสารด้านประเด็นสังคมมากว่า 20 ปี.
ผลงานของเธอได้ปรากฏใน “Mother Jones”,
“The New York Times”, “The Seattle Times”, และ “The Seattle Post-Intelligencer”.
Published on Saturday, September 15, 2012 by YES! Magazine
siouxrose
It's always great to read about fine minds capable of
looking at mutliple causative agencies, and then bringing their broader
findings to bear on a world too often locked into conventional
one-size-fits-all purported answers and status quo applications.
Although I have no tools with which to prove it, there's no
question in my mind that rising Cancer rates are directly related to the
combination of: food additives, pesticide residues, insecticide residues,
contaminants from prior nuclear tests, contaminants in the runoff water of
industrial factories, added to the drug cocktails flushed down toilets that now
have become part of the community water system. We are all being poisoned, but
some possess stronger immune systems than others.
14 /
Tom Carberry • 2 days ago
Thanks, Dr. Schettler for your hard work. And no thanks to the
millions of polluters and oppressors who have created the extremely polluted
world we live in today.
In the USA we have the death penalty for individuals who
kill a single other person, but when millionaires and billionaires and giant
corporations kill millions slowly and painfully, we call that business.
13 /
jessia • a day ago • parent
Smartmeters and chemtrails are 2 stealth attacks on our
health.
4 /
natureschild3 • 2 days ago
“Can there be any doubt that human health is enormously
dependent on ecological systems that we are having a major influence on?”
Schettler says. “It’s all one world. Our tendency to describe the natural world
as something without humans is part of the problem.”
great article from claudia rowe! thanks for introducing us
to dr. schettler, his humor and his comprehensive analysis. a sick-o corrupted
political system, a sick-o corrupted, out of balance, economic system leading
to a sick-o environment creates an inharmonious society, a danger to physical
and mental health. it's psycho!
9 /
erroll • a day ago
The article notes that Dr. Schettler "has testified
before the U.S. Senate about links between Parkinson’s and pesticide use."
This finding by the good doctor may have confirmed the suspicion by my wife
that she may have gotten Parkinson's Disease when the urban town that she was
living in during the 1950s and 1960s back east was spraying pesticide during
the summer months which may have then acted in a deleterious way upon her
nervous system.
6 /
natureschild3 • a day ago • parent
oh gosh, that's rough, erroll. brings up memories of a dear,
brave man who although dying of leukemia arrived every saturday to support our
kids baseball league. one day he told us bleacher warmers that as a kid he
liked the fun of chasing the mosquito spay trucks down the street. then a look
of recognition spread across his face, "whoa! maybe that's why i'm so sick
today!"
6 /
ubrew12 • a day ago • parent
I read recently that the mysterious deaths of tourists in SE
Asia may be due to a pesticide some hotels treat bedsheets with to prevent bed
bug infestations. Thats an uningested problem that occurs literally overnight.
But especially neurological problems can take many years and decades to
develop, the nerves are so sensitive
2 /
Solid State Max • a day ago
It's only a matter of time when our currently unsustainable
health care system crumbles for good. As much as much of the American people
badmouth and ridicule alternative medicine and practitioners, they're mentally
afraid to face the fact that trying to stick to reacting to the symptoms while
ignoring the problems at the source is unsustainable. Sooner or later, the
worst case scenario becomes inevitable. This is where I see single payer
suffering the same fate as natural medicine in this country. Talk to the PPACA
supporters and they'll try to spin it as "quick relief" when much of
it hasn't even started and the worst of it is yet to come. They seem to like it
that they delusionally believe that they'll recieve affordable care when all
they'll get is maybe a few discounts on faulty diagnosis and maybe a 10%
discount on pharmaceuticals after the drug companies do their usual retail
trick of raising the prices 30-50% before suddenly giving an insignificantly
small "discount". I've talked to plenty of them and they'll lie that
it's a step towards single payer with some of them badmouthing natural medicine
and practitioners as "rightwing quackers" ! Tell them that it isn't
and they'll panic about "suddenly dying" if PPACA is repealed and
that single payer isn't viable. Hell, they'll even throw childish tantrums and
throw verbal chairs and death threats as if this were the Jerry Springer Show.
What hurts them the most is the fact that great doctors such as Schettler and
Flowers are great role models for well being for all. Life won't get boring
once health care gets solved at the root. Sure, money won't control health care
and we won't be seeing sleazy and misleading advertisements in favor of
dangerous pharmaceuticals but that would be real progress. I don't know what
more to say but I'll keep doing my part to help others look up to doctors just
like Schettler who put caring over profits and hope others do the same if we're
to defeat the currently unsustainable profit-not-health care system before it
finishes us all off mentally, financially, and physically.
5 /
Skeptimist • 13 hours ago • parent
You rightly refer to health conditions as
"unsustainable". What is ultimately unsustainable is human population
growth. More bandaids will not fix it.
2 /
Solid State Max • 9 hours ago • parent
Population is one problem but that issue will be best taken
care of by putting more emphasis on the population being healthy and not so
much on the numbers. Tolerance for childless couples and single adults will
have to be forthcoming.
1 /
rtdrury • a day ago
This article appears to progress past konventional wizdom
but it's actually a red herring in large part. The article is full of the
fundamentally bankrupt konventional wizdom that values ivy-league pedigrees and
authorship of books. In fact, these institutions, the university system, and
the book publishing industry play key roles in keeping the people
unenlightened. To a huge extent, both the quantity and quality of information
the people need to share has been decreed a commodity available only to the
highest bidder, through a perverted "intellectual propertee" regime,
pioneered, and pushed on the people, by elites. There is a huge number of
health issues that are unaddressed. The general approach to healthcare has to
be integrated with the health of the biosphere but there remains a huge
unrealized potential in the compilation and delivery of high quality,
functional information and training that can and should benefit the people
greatly. We need enlightenment about how our world works, in regard to the
risks of diseases, how to treat them, and how to take care of ourselves. Das
kapital cannot help us. We have to help ourselves. And we are learning, now, to
use our boot, on the neck of das kapital. This is the big news of the day.
Exciting times for the people. The progress is driven by our own internal
wellsprings of wisdom.
4 /
theoldgoat • a day ago
“I encourage people to recognize that they’re working in
common cause with others,” he says. “Many people are carrying a common message,
just coming at it from different angles.”
Bring out the love police http://www.youtube.com/watch?f...
3 /
Paul_Klinkman_two • a day ago
Perhaps we could start a big public charity with a big
annual telethon and a cute poster kid, to find the cure for industrial
manslaughter. Instead of having profit-driven soulless cogs killing off cute
little kids like flies, we could "race for the cure" if that slogan
isn't already taken.
Cynics would say that all we need to do is throw the felons
in jail and presto, the disease would go away just like that. However, this
simplistic approach isn't working because nobody is throwing even one of them
in jail, except the government of India has a standing arrest warrant out for
the president of Union Carbide for his role in 8,000 Bhopal killings.
So, we need to hire the best medical doctors money can buy
to find the medical cure for this mystery. Instead of them saying, "this
little girl is dying because of the poison chemicals she drank," they
could say, "our new treatment could make this little girl more tolerant of
those poison chemicals, giving her a 10% better chance of living."
So, is your fraternity holding a marathon something-or-other
to raise money for "the cure"?
0 /
Dave McLane • a day ago
Curious, but it sounds like Schettler hasn't had a look at
the I-Ching where there is no root cause, everything is in motion and
everything is related to everything else.
2 /
ca_ssandra • 12 hours ago • parent
Are you saying that addressing "ecological"
problems, as Dr. Schettler sees them, is a non-productive effort in terms of
achieving a healthier population?
1 /
Jag_Levak • a day ago • parent
And let me guess, you can tell this because if he had read
it, that would have caused him to act differently.
2 /
Dave McLane • a day ago • parent
Yes, I think he would. For example he might have said that
social problems are related to health problems but not one of the "root
causes" (most basic reasons).
The problem with root causes is that from another viewpoint
they them selves are affected by other factors, not necessarily deeper but in
other directions as well.
1 /
Jag_Levak • 7 hours ago • parent −
"Root" causes are merely concentrations or
confluences of threads of causality. They are critical nodes wherein small
changes can have large effects on an entire class of outcomes. The notion of a
root cause is not a denial of inter-relatedness, but is one part of an
organizing system for making sense of networks of relatedness. If your
interpretation of the I-Ching is correct. and root causes do not exist in any
meaningful way, then such an organizing system will ultimately prove fruitless,
and it will fail. But it seems to me *that* should be the test of a model, not
the extent of its conformity to a given interpretation of an old book.
2 /
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น