วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

173. การขุดเหมืองถ่านหินแบบตัดยอดเขา ทำให้ชาวบ้านเป็นมะเร็งมากขึ้นถึงสองเท่า!!!


Breaking: New Study Links Mountaintop Removal to 60,000 Additional Cancer Cases
by Jeff Biggers
ข่าวใหญ่: งานศึกษาใหม่เชื่อมโยงการทำลายยอดเขากับผู้ป่วยเป็นมะเร็งเพิ่ม 60,000 ราย
โดย เจฟฟ์ บิกเกอร์ส

Among the 1.2 million American citizens living in mountaintop removal mining counties in central Appalachia, an additional 60,000 cases of cancer are directly linked to the federally sanctioned strip-mining practice.
ในบรรดาพลเมืองอเมริกัน 1.2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองที่มีเหมืองที่ทำลายยอดเขา ในเทือกเขาอัปปาลาเชียกลาง, จำนวนผู้ป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 60,000 ราย ล้วนเกี่ยวโยงโดยตรงกับปฏิบัติการทำเหมืองชนิดปราบพื้นที่ราบเป็นหน้ากลองที่รัฐบาลกลางอนุมัติ
"Abolish Mountaintop Removal"
That is the damning conclusion in a breakthrough study, released last night in the peer-reviewed Journal of Community Health: The Publication for Health Promotion and Disease Prevention. Led by West Virginia University researcher Dr. Michael Hendryx, among others, the study entitled “Self-Reported Cancer Rates in Two Rural Areas of West Virginia with and Without Mountaintop Coal Mining” drew from a groundbreaking community-based participatory research survey conducted in Boone County, West Virginia in the spring of 2011, which gathered person-level health data from communities directly impacted by mountaintop mining, and compared to communities without mining.
นั่นเป็นบทสรุปสาปแช่งใน การศึกษาค้นพบที่ยิ่งใหญ่, ออกเผยแพร่เมื่อคืนนี้ในวารสารที่ผ่านการทบทวนในแวดวง วารสารสุขภาพชุมชน: เอกสารเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค.   นำโดยนักวิจัยของ มหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ดร.ไมเคิล เฮนดริกส์, ในบรรดาคนอื่นๆ, งานวิจัยชื่อ “อัตราการป่วยเป็นมะเร็งที่รายงานด้วยตนเองในชนบทสองพื้นที่ในเวสต์เวอร์จิเนีย ที่มี และ ไม่มี การขุดถ่านหินบนยอดเขา” ได้เก็บข้อมูลจากการสำรวจเชิงวิจัยแบบใหม่ที่ชุมชนมีส่วนร่วม ในเขตการปกครองบูน, มลรัฐเวอร์จิเนียตะวันตก ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2011, ซึ่งเก็บข้อมูลสุขภาพในระดับบุคคล จากชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทำเหมืองแบบตัดทิ้งยอดเขา, และเปรียบเทียบกับชุมชนที่ไม่มีการทำเหมือง.
“A door to door survey of 769 adults found that the cancer rate was twice as high in a community exposed to mountaintop removal mining compared to a non-mining control community,” said Hendryx, Associate Professor at the Department of Community Medicine and Director of West Virginia Rural Health Research Center at West Virginia University. “This significantly higher risk was found after control for age, sex, smoking, occupational exposure and family cancer history. The study adds to the growing evidence that mountaintop mining environments are harmful to human health.”
“การเดินสำรวจจากประตูหนึ่งไปอีกประตูหนึ่งถามผู้ใหญ่ 769 คน พบว่า อัตราการป่วยเป็นมะเร็งสูงถึงสองเท่าในชุมชนที่สัมผัสกับการทำเหมืองชิดตัดยอดเขา เมื่อเทียบกับ ชุมชนในควบคุมที่ไม่มีการทำเหมือง”, เฮนดริกส์กล่าว, เขาเป็นรองศาสตราจารย์ที่ภาควิชาการแพทย์ชุมชน และ ผู้อำนวยการของศูนย์การวิจัยสุขภาพชนบทเวสต์เวอร์จิเนีย ที่มหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย.  “ความเสี่ยงที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญนี้ พบหลังจากจัดเรียง/แยกข้อมูลตาม อายุ, เพศ, การสูบบุหรี่, การสัมผัส/เสี่ยงในอาชีพ และประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัว.  งานศึกษาเป็นการเพิ่มหลักฐานที่ขยายมากขึ้นที่ว่า สภาพสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแบบตัดยอดเขา เป็นอัตรายต่อสุขภาพของมนุษย์”.
Bottom line: Far from simply being an environmental issue, mountaintop removal is killing American residents.
เส้นท้าย: ไกลโพ้นกว่าแค่เป็นประเด็นสิ่งแวดล้อม, การตัดยอดเขา เป็นการฆ่าชาวบ้านอเมริกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น.
“This research in the Coal River Valley, along with the recent birth defects research in Appalachia and other peer reviewed science, is providing evidence of the long term effects of human exposure to mountaintop removal,” said Coal River Valley resident and coalfield leader Bo Webb, who participated in the study. “Again, I urgently call upon the United States government to intervene and address this health crisis, place an immediate moratorium on mountaintop removal and stop this needless killing of our citizens.”
“งานวิจัยนี้ในหุบแม่น้ำถ่านหิน, คู่ขนานกับงานวิจัยเรื่องความพิการแต่กำเนิด เมื่อไม่นานมานี้ ในอัปปาลาเชีย และ งานศึกษาในวารสารวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการทบทวนในแวดวง, เป็นหลักฐานของผลกระทบระยะยาวของการที่มนุษย์ต้องสัมผัสกับการตัดยอดเขา”, ชาวบ้านในหุบแม่น้ำถ่านหิน และ หัวหน้าทุ่งถ่านหิน โบ เว็บบ์, ผู้เข้าร่วมในการศึกษานี้.  “อีกครั้ง, ผมขอร้องเรียนอย่างเร่งด่วนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ให้แทรกแซงและแก้ไขวิกฤตสุขภาพนี้, สั่งให้ระงับการตัดยอดเขา และ ยุติการฆ่าที่ไร้ความจำเป็นต่อพลเมืองของเรา”.
As a tree-sit protest in the Coal River Valley enters a new week to stop the strip mining operations at a former Massey Energy and current Alpha Natural Resources site, the New York Times is reporting today that West Virginia Sen. Joe Manchin, a key supporter of absentee coal companies and lobbies, reported “operating income of $1,363,916 from a coal brokerage firm.
ในขณะที่ การนั่งประท้วงบนต้นไม้ ในหุบแม่น้ำถ่านหิน เข้าสู่สัปดาห์ใหม่ เพื่อหยุดปฏิบัติการทำเหมืองแบบเปลื้องเปลือย ที่บริเวณ พลังงานมาสซีย์ในอดีต และ ทรัพยากรธรรมชาติอัลฟา ในปัจจุบัน, นิวยอร์กไทมส์ ได้รายงานวันนี้ ว่า สว เวสต์เวอร์จิเนีย โจ แมนชิน, ผู้สนับสนุนตัวโยง ของบริษัทถ่านหินล่องหน และ นักล็อบบี้, ได้รายงาน “รายได้การทำงาน $1,363,916 จากบริษัทนายหน้าค้าถ่านหินแห่งหนึ่ง.
Last month, delivering a new study on the link between birth defects and mountaintop removal mining, Appalachian leaders went to Washington, DC to call on President Obama, EPA administrator Lisa Jackson, Department of Health and Human Services chief Kathleen Sebelius and Attorney General Eric Holder to enact an immediate moratorium on all mountaintop removal mining operations in West Virginia, Kentucky, Tennessee and Virginia until the Center for Disease Control and/or other federal regulatory agencies make a complete assessment of the spiraling health and human rights crisis related to mountaintop removal mining.
เดือนก่อน, เพื่อส่งมอบรายงานการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่างการพิการแต่กำเนิด และ การทำเหมืองแบบตัดยอดเขา, ผู้นำอัปปาลาเชียน ได้เดินทางไป วอชิงตัน ดีซี เพื่อร้องเรียนต่อประธานาธิบดี โอมาบา, ผู้บริหาร องค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อม ลิซา แจ๊คสัน, กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ หัวหน้า แคธลีน เซเบลิอุซ และ อัยการใหญ่ อีริค โฮลเดอร์ ให้ออกคำสั่งระงับทันทีต่อปฏิบัติการทำเหมืองแบบตัดยอดเขา ในมลรัฐ เวสต์เวอร์จิเนีย, เคนทักกี้, เทนเนสซี และ เวอร์จิเนีย จนกว่า ศูนย์ควบคุมโรค และ/หรือ องค์กรควบคุมของรัฐบาลกลาง จะได้ทำการประเมินศึกษาเสร็จสมบูรณ์ถึงวิกฤตสุขภาพและสิทธิมนุษยชนชนิดควงสว่านดิ่งลง ที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแบบตัดยอดเขา.
According to the new study: “The odds for reporting cancer were twice as high in the mountaintop mining environment compared to the non mining environment in ways not explained by age, sex, smoking, occupational exposure, or family cancer history.” The study found:
ตามการศึกษาใหม่: “เป็นโอกาสรายงานการเป็นมะเร็งสูงกว่าถึงสองเท่าในสภาพแวดล้อมของการทำเหมืองแบบตัดยอด เทียบกับ สภาพแวดล้อมที่ไม่มีการทำเหมือง ในลักษณะที่ไม่สามารถอธิบายได้โดย อายุ, เพศ, การสูบบุหรี่, ความเสี่ยงในอาชีพ, หรือประวัติครอบครัวด้านมะเร็ง”.  การศึกษา พบว่า:
Surface water and ground water around MTM activity are characterized by elevated sulfates, iron, manganese, arsenic, selenium, hydrogen sulde, lead, magnesium, calcium and aluminum; contaminates severely damage local aquatic stream life and can persist for decades after mining at a particular site ceases [18, 20]. In addition, elevated levels of airborne particulate matter around surface mining operations include ammonium nitrate, silica, sulfur compounds, metals, benzene, carbon monoxide, polycyclic aromatic hydrocarbons, and nitrogen dioxide [21, 22].
น้ำบนผิวพื้นและใต้ดินรอบๆ บริเวณทำเหมืองตัดยอดเขา (MTM) มีลักษณะคล้ายกัน คือ ปริมาณ ซัลเฟต, เหล็ก, แมงกานีส, อาร์ซนิก, เซเลเนียม, ไฮโดรเจนซัลไฟด์, ตะกั่ว, แมกเนเซียม, แคลเซียม และ อลูมินัม สูงขึ้น; มลภาวะปนเปื้อนที่บ่อนทำลายอย่างรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตในสายารและแหล่งน้ำ และ สามารถคงทนอยู่นานหลายทศวรรษหลังจากหยุดการทำเหมืองที่บริเวณนั้นๆ.  นอกจากนั้น, อนุภาคในอากาศที่เพิ่มขึ้นรอบๆ ฐานปฏิบัติการทำเหมือง มี อลูมิเนียมไนเตรด, ซิลิกา, สารประกอบซัลเฟอร์, โลหะหนัก, เบนซีน, คาร์บอนโมน็อกไซด์, สารระเหยหลายๆ วงแหวนไฮโดรคาร์บอน,  และไนโตรเจนไดออกไซด์.
Citing extremely high levels of uterine and ovarian, skin, urinary, bone, brain, and others forms of cancers, the study additionally noted:
ด้วยการอ้างการเป็นมะเร็งในระดับสูงลิ่วและหลากประเภทของ มะเร็งในมดลูกและรังไข่, ผิวหนัง, ระบบขับปัสสาวะ, กระดูก, สมอง, และรูปแบบอื่นๆของมะเร็ง, การศึกษาได้เสริมอีกว่า:


Arsenic, for example, is an impurity present in coal that is implicated in many forms of cancer including that of skin, bladder and kidney [31, 36]. Cadmium is linked to renal cancer [34]. Diesel engines are widely used at mining sites, and diesel fuel is used for surface mining explosives, coal transportation and coal processing; diesel exhaust has been identied as a major environmental contributor to cancer risk.
อาร์เซนิก (สารหนู), ยกตัวอย่าง, เป็นสารปนเปื้อนที่มีอยู่ในถ่านหินที่ทำให้เกิดมะเร็งหลายรูปแบบ รวมทั้ง ผิวหนัง, กระเพาะปัสสาวะ และ ไต.  แคดเมียม เชื่อมโยงกับ มะเร็งในไต.  เครื่องยนต์ดีเซล ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในบริเวณทำเหมือง, และเชื้อเพลิงดีเซล ถูกใช้เพื่อทำเหมืองแบบระเบิดบนผิวดิน, ขนส่งถ่านหิน และ แปรรูปถ่านหิน; ไอเสียจากดีเซลได้ถูกระบุว่า เป็นตัวการเชิงสิ่งแวดล้อมสำคัญ ที่ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อมะเร็ง.
Despite the deadly consequences, mountaintop removal mining in central Appalachian only provides 5-8 percent of national coal production.
ทั้งๆ ที่มีผลถึงตายเช่นนี้, การทำเหมืองแบบตัดยอดเขาในเทือกเขาอัปปาลาเชียนกลาง ผลิตถ่านหินได้เพียง 5-8% ของปริมาณถ่านหินแห่งชาติ.

More information on the Appalachian leaders call for a MTR Moratorium Now can be found here.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น