315. American
Citizens Doubt FDA’s Integrity
by Christina Sarich, October 11th, 2013, Updated
10/11/2013 at 2:31 am
เทพนิยายเรื่อง อย เป็นผู้ปกป้องสุขภาพของเรา
-คริสตินา ซาริช
Just
like we’ve been taught to bow to the white coats, we’ve also been conditioned
to think that whatever the Food
and Drug Administration approves must be safe. Nothing could be
further from the truth. This organization is supposed to be a governmental
watchdog over our food supply and public health, as well as an agency to keep
medicines or other proposed ‘cures’ – both natural and pharmaceutical – from
doing us harm. The FDA is supposed to block the interests of greedy
corporations who want to make a fast buck, but its original intentions, if they
were ever pure, have been tainted.
เช่นเดียวกับที่ถูกสอนให้โค้งคำนับคนสวมเสื้อคลุมสีขาว
(เสื้อแล็บ), พวกเราก็ได้ถูกฝังหัวให้คิดว่า อะไรก็ตามที่ อย (Food and Drug
Administration, สนง บริหารควบคุมอาหารและยา) อนุมัติ
จะต้องปลอดภัย.
ไม่มีอะไรที่จะไปไกลกว่าความจริง.
องค์กรนี้ น่าจะเป็นเหมือนสุนัขเฝ้าระวังของรัฐบาลดูแลแหล่งอาหารและสาธารณสุขของเรา,
ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่ควบคุมให้ยา หรือ สิ่งที่เสนอว่า ‘รักษาโรคได้’—ทั้งธรรมชาติและเภสัชกรรม—ไม่ให้ทำร้ายพวกเราได้. อย
น่าที่จะขวางการแสวงประโยชน์ของบรรษัทละโมบ ผู้ต้องการกอบโกยเม็ดเงินให้ได้รวดเร็ว,
แต่เจตนารมณ์แรกเริ่มของมัน, หากพวกเขาเคยบริสุทธิ์ใจ,
ได้ถูกทำให้เปรอะเปื้อนไปแล้ว.
Political maneuvering, lobbying,
racketeering, and outright corporate infiltration of the FDA has made the
institution a complete waste of tax payer money, and worse, an absolute
detriment to our overall food and medicine safety. Just because you see ‘FDA’
approved on something anymore, doesn’t mean it is safe. FDA drugs have been responsible for over
140,000 deaths in hospitals every year – some would call that
an epidemic. Others go as far as to accuse the FDA of mass
homicide of the American people.
การชักใยทางการเมือง, ล็อบบี้, ข่มขู่ขูดรีด, และการแทรกซึมอย่างอุกอาจของบรรษัทใน
อย ได้ทำให้สถาบันนี้ กลายเป็นการผลาญเงินภาษีอย่างสิ้นเชิง, และที่แย่กว่านั้น,
เป็นการทำลายความปลอดภัยด้านอาหารและยาของพวกเราอย่างสิ้นเชิง. เพียงเพราะคุณเห็น ‘อย’ อนุมัติบางสิ่งบางอย่างอีก,
ไม่ได้หมายความว่ามันปลอดภัย. ยาที่ผ่านอนุมัติ
อย รับผิดชอบ ต่อการตายกว่า ๑๔๐,๐๐๐ รายในโรงพยาบาลทุกปี—บางคนอาจเรียกว่า
เกิดโรคระบาด. คนอื่นๆ กล่าวโทษ อย ว่า
สังหารหมู่ ประชาชนอเมริกัน.
อ่าน: รายงาน ๕๐๐ หน้า ชี้ อย
ล้มเหลวในการควบคุมให้อาหารปลอดภัย
Consider this: just one FDA
approved pain drug called Vioxx (rofecoxib) has been responsible for over 139,000 heart attacks and was
only pulled off the shelves after tens of thousands of people died. Merck, it’s
maker, raked in over $2.5 billion in sales. How about the thousands of women
who had children who now suffer from reproductive cancers because they took FDA
approved DES (diethylstilbestrol)? This isn’t even touching on FDA
approved GMOs.
ขอให้พิจารณาเหตุการณ์นี้: ยาแก้ปวดที่ อย ได้อนุมัติเพียงตัวเดียว
ชื่อ Vioxx (rofecoxib)
รับผิดชอบต่ออาการหัวใจวาย ๑๓๙,๐๐๐ ราย และ
ถูกถอนออกจากหิ้งขายหลังจากคนตายแล้วหลายหมื่นคน.
Merck, เป็นผู้ผลิต, โกยเงินไปได้กว่า ๒.๕
พันล้านดอลลาห์ จากการขาย. แล้วเรื่องของผู้หญิงหลายพันคนที่มีลูก
ตอนนี้ป่วยเป็นโรคมะเร็งในระบบเจริญพันธุ์ เพราะพวกเธอใช้ยา DES (diethylstilbestrol) ที่ผ่านการอนุมัติของ อย จะว่ายังไง? อันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึง การที่ อย ได้อนุมัติ
จีเอ็มโอ แล้ว.
According to the book, Prescription
Alternatives written by Earl L. Mindell, R.Ph., Ph.D., and Virginia
Hopkins, M.A., the following are the most common prescription drug categories
(yes, FDA approved) with adverse drug reactions that are completely preventable
with natural healing therapies:
ตามที่เขียนในหนังสือ, ใบสั่งทางเลือก (Prescription Alternatives) เขียนโดย เอิร์ล แอล. มินเดล, และ
เวอร์จิเนีย ฮ็อบกินส์, รายการยา (ใช่แล้ว, อย อนุมัติ) ต่อไปนี้ เป็นใบสั่งสามัญที่สุด
ที่ฤทธิ์ยามีปฏิกิริยาร้ายแรง
ที่สามารถบำบัดหรือป้องกันได้ด้วยวิธีเยียวยาแบบธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง.
- Cardiovascular Medications:
24.5%
- Diuretics (for high blood
pressure): 22.1%
- Nonopiod Analgesics
(painkillers): 10.9%
- Hypoglucemics (Diabetes drugs):
10.9%
- Anticoagulants (for example,
Coumadin): 10.2%
- ยาหลอดเลือดหัวใจ : 24.5%
- ยาแก้ความดันโลหิตสูง :
22.1%
- ยาแก้ปวด : 10.9%
- ยาแก้โรคเบาหวาน : 10.9%
- ยาละลายลิ่มเลือด : 10.2%
Many people who don’t want to throw
the baby out with the bath water say that you shouldn’t use a pharmaceutical
drug unless its been on the market for over ten years – but you could also just
ditch pharmaceuticals altogether. The dishonesty of this industry won’t be
stopped by fines, after all, their pockets are too deep.
A few million in lawsuit settlements or court fees, and another few million in
fines, are a drop in the bucket to companies like Merck and Pfizer. Global Big
Pharma has been fined more than $11 billion in the last three years for ‘nothing less
than criminal wrongdoing,’ but this doesn’t stop them.
หลายคนที่ไม่ต้องการสาดทารกทิ้งไปพร้อมกับน้ำที่ใช้อาบทารก
กล่าวว่า คุณไม่ควรใช้ยาเภสัช นอกจากว่ามันได้ติดตลาดมาแล้วกว่า ๑๐ ปี—แต่คุณสามารถเพียงทิ้งยาเภสัชทิ้งไป. ความไม่ซื่อสัตย์ของอุตสาหกรรมนี้
ไม่สามารถยับยั้งได้ด้วยการปรับเงิน, ในที่สุด, กระเป๋าของพวกเขาลึกเกินไป. การยอมความกันทางกฎหมายหรือค่ากระบวนศาลไม่กี่ล้าน,
เป็นเพียงหนึ่งหยดในถังสำหรับบริษัท เช่น Merck
และ Pfizer.
เภสัชกรรมยักษ์ใหญ่โลก ได้ถูกปรับไปแล้วกว่า ๑๑ พันล้านเหรียญในช่วง ๓
ปีที่ผ่านมา เพราะ ‘(คำพิพากษาโทษฐานทำผิด) ไม่น้อยกว่าการก่ออาชญากรรม’,
แต่นี่ไม่หยุดยั้งพวกเขาได้.
กรีนพีซ ต่อ อย: หยุดชี้นำผิดๆ
ต่อสาธารณชน เรื่อง จีเอ็มโอ
We shouldn’t trust the FDA, nor its
drug pushers – medical doctors. While there are some doctors who actually care
about their patients’ health and act vigilantly to protect it, most of them are
courted by pharmaceutical companies to prescribe or give as free samples,
an entire cornucopia of meds. Some are given to treat health concerns,
others to treat depression or ‘mental illness,’ with hardly a care for what
would actually benefit the patient. Very simple solutions such as more rest,
more exercise, less stress, or a simple herbal remedy that sells over the
counter for a few dollars are often overlooked or dismissed.
เราไม่ควรเชื่อถือ อย, หรือพวกผลักดันขายยา—หมอแพทย์แผนใหม่. ในขณะที่หมอบางคน ห่วงสนใจสุขภาพของคนไข้ของตนอย่างแท้จริง
และ หมั่นเฝ้าระวังพิทักษ์พวกเขา, ส่วนใหญ่มักถูกบริษัทเภสัชจีบให้ออกใบสั่ง หรือ
แจกยาตัวอย่างฟรี, อันเป็นความอุดมสมบูรณ์มหาศาลของยาแผนใหม่ทั้งหมด. บางคนได้รับยาเพื่อแก้โรคทางกายภาพ, คนอื่นๆ แก้โรคซึมเศร้า
หรือ “ความป่วยทางจิต”,
แบบเกือบไม่มีการดูแลเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนไข้อย่างแท้จริง. ทางแก้ไขง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้มากขึ้น,
ออกกำลังกายให้มากขึ้น, เครียดน้อยลง, หรือเพียงการบรรเทาด้วยสมุนไพร
ที่ขายทั่วไปในราคาไม่กี่เหรียญ มักจะถูกมองข้ามและปัดทิ้ง.
Turning to natural treatments that
have stood the test of time for thousands of years, not a few ‘clinical’
trials, is the way to take our health back. We can ignore the advice of the
FDA, do our own research and use our collective intelligence and the ancient
wisdom our ancestors have passed down to us to treat just about every
conceivable health issue. We can no longer take our pills apathetically and
stay silent. It is time to make a radical shift and be responsible for our own
vitality.
การหวนกลับไปใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติที่ได้ยืนยงต่อการพิสูจน์มาหลายพันปี,
ไม่ใช่ด้วยการทดสอบ ‘เชิงคลินิค’ เพียงไม่กี่ครั้ง, เป็นหนทางที่เราจะทวงสุขภาพของเราคืนมา. เราสามารถเมินเฉยต่อคำแนะนำของ อย,
ทำการศึกษาวิจัยเอง และ ใช้ปรีชาญาณร่วมของเรา และ
ภูมิปัญญาโบราณที่บรรพชนของเราได้ถ่ายอดสู่พวกเรา
ในการรักษาประเด็นสุขภาพเกือบทุกอย่างที่เป็นไปได้. เราไม่สามารถกินยาเม็ดอย่างไม่แยแส
และปิดปากเงียบ. ถึงเวลาแล้วที่จะขยับตัวสุดเหวี่ยง
และ รับผิดชอบต่อพลังชีวิตชีวาของตนเอง.
Read more: http://naturalsociety.com/great-myth-fda-protector-of-health/#ixzz2hf4GRSjG
Follow us: @naturalsociety on Twitter | NaturalSociety on Facebook
Follow us: @naturalsociety on Twitter | NaturalSociety on Facebook
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น