314. Sombath’s
Life Partner, Ng Shui-Meng, Refuses to Bow to Unjust Power of
Lao Government
Lonely Vigil
for Missing Laotian Activist
Posted on October 2, 2013 by rsbtws
, The
Sentinel: 02 October 2013
แสงเทียนโดดเดี่ยวที่เฝ้ารอคอยนักรณรงค์ชาวลาวผู้หายสาบสูญ
Sombath
and Shui Meng
Government suspected of complicity
in development expert’s disappearance
รัฐบาลถูกสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดในกระบวนการหายสาบสูญของผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนา
For Ng Shui-Meng, the past 10 months
have been lonely, frustrating and frightening. She has been engaged in a vain
struggle to discover what happened to her husband, Sombath Somphone, who almost
certainly was kidnapped and murdered, possibly with the complicity of members
of the Laotian government.
สำหรับ อึ้ง ชุ่ยหมิง, ๑๐ เดือนที่ผ่านๆ ไป เป็นห้วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยว,
หดหู่ และ น่ากลัว. เธอได้ดิ้นรนอย่างไร้ผลในการค้นหาว่า
เกิดอะไรขึ้นกับสามีของเธอ, สมบัด สมพอน, ผู้เกือบแน่ใจได้ว่า ถูกอุ้มและฆาตกรรม,
เป็นไปได้ที่มีสมาชิกของรัฐบาลลาวสมรู้ร่วมคิดในกระบวนการดังกล่าวด้วย.
Shui-Meng refuses to give up, hoping
that the 61-year-old Sombath, a popular and internationally known development
expert who disappeared last Dec. 6 as he was on his way home to dinner, may still
be alive. There are suspicions that Sombath had aroused the antagonism of major
land interests over his attempts to protect the interests of the largely rural
peasant population.
ชุ่ยหมิงปฏิเสธที่จะยอมแพ้, ยังหวังว่า สมบัด อายุ ๖๑, นักพัฒนาผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักกันดีในระหว่างประเทศ
ได้หายตัวไปเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ปีกลาย
ในขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านเพื่อทานอาหารเย็น, อาจจะยังมีชีวิตอยู่. มีการตั้งข้อสงสัยว่า สมบัด
อาจกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ในหมู่ผู้แสวงประโยชน์ในที่ดิน
เมื่อเขาพยายามปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นชาวไร่ชาวนาชนบทเป็นส่วนใหญ่.
An estimated 40 percent of the
country’s arable lands is now in the hands of foreign interests, studies say.
However, his wife says Sombath has never been confrontational and had worked
closely with the government to alleviate poverty.
ประเมินกันว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์ของที่ดินเพาะปลูกในประเทศ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของต่างชาติ,
ตามผลการศึกษา. แต่ ภรรยาของเขากล่าวว่า
สมบัด ไม่เคยใช้วิธีเผชิญหน้า และได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลมาตลอด
เพื่อบรรเทาความยากจน.
Sombath, recipient of the 2005 Ramon
Magsaysay Award and many other prestigious honors, simply vanished as he and
Shui-Meng were driving home in separate cars in the Laotian capital of
Vientiane. The disappearance has stirred criticism from the United States, the
European Union, the United Nations and a wide range of human rights
organizations for the government’s apparent refusal to come clean on the case.
“I was driving ahead of him in a separate vehicle, and he was behind mine, so I
passed a police post, and when I looked back I didn’t see his car,” the
Singaporean-born Shui-Meng said in an interview. “I didn’t think too much about
it, but when I got home, he didn’t come. I called his phone, but it was
switched off. I thought maybe he had been in an accident.”
สมบัด, ผู้ได้รับรางวัล รามอน แมกไซไซ ปี ๒๕๔๘ และเกียรติบัตรต่างๆ
มากมาย, หายตัวไปในขณะที่เขา และ ชุ่ยหมิงขับรถกลับบ้านในรถคนละคัน ในเมืองหลวง
นครเวียงจันทน์. การหายตัวไป
ได้ตามมาด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์จากสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป, สหประชาชาติ และ
องค์กรสิทธิมนุษยชนมากมาย เมื่อรัฐบาล ปฏิเสธอย่างชัดเจนที่จะสอบสวนเปิดโปงคดีนี้. “ฉันกำลังขับรถข้างหน้าเขาในรถคนละคัน, และเขาขับตามหลังฉันมา,
ฉันขับผ่านป้อมตำรวจ, และพอฉันหันหลังไปดู
ฉันก็ไม่เห็นรถของเขาแล้ว”, ชุ่ยหมิง ชาวสิงคโปร์โดยกำเนิด
กล่าวในการสัมภาษณ์. “ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก,
แต่เมื่อฉันกลับถึงบ้าน, เขาไม่ได้มาถึงด้วย.
ฉันโทรเข้ามือถือของเขา, แต่เครื่องถูกปิด. ฉันคิดว่า เขาอาจอยู่ในอุบัติเหตุ”.
After a day of looking for him, she
and friends went to the police post where “we noticed there were cameras
installed,” she said. “And so we decided to ask the police if they would play
the tape and they said ‘sure.’”
หลังจากเที่ยวตามหาเขาหนึ่งวัน, เธอและเพื่อนๆ
ได้ไปที่ป้อมตำรวจ ที่นั่น “เราสังเกตเห็นว่า มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่”,
เธอกล่าว. “ดังนั้น พวกเราตัดสินใจขอตำรวจ
ให้เปิดดูเทป และพวกเขาก็ตอบว่า ได้”.
Allowing the group to see the tapes
was a fatal mistake for the Laotian authorities. They contained evidence that
Somphone’s vehicle was stopped, that he was escorted into the police post, that
someone else drove his vehicle away, and that a white truck arrived and
apparently took him away as well. He was never seen again, nor was his jeep.
การยอมให้กลุ่มนี้ ได้ดูเทป
เป็นความผิดพลาดถึงตายสำหรับผู้มีอำนาจของลาว.
มันเป็นหลักฐานให้เห็นว่า รถของสมพอน ถูกโบกให้หยุด,
ว่าเขาถูกคุมตัวเข้าไปในป้อมตำรวจ, ว่ามีอีกคนขับรถของเขาออกไป, และว่า
รถบรรทุกสีขาวมาถึง และ เห็นชัดว่าได้นำตัวของเขาออกไปด้วย. ไม่มีใครได้เห็นเขาอีกเลย,
รวมทั้งรถจี๊ปของเขา.
Although the police wouldn’t give
her the tapes, she managed to use her phone to film them as they played. The
police, however, say the tapes were inconclusive and that they couldn’t be
verified who drove the jeep away from the police post, or who the two persons
were who drove away in the white pickup truck.
แม้ว่า ตำรวจจะไม่ยอมมอบเทปนั้นให้เธอ,
เธอได้ใช้มือถือของเธอบันทึกภาพในขณะที่พวกเขาเล่นเทปให้ดู. แต่ตำรวจบอกว่า เทปนี้สรุปไม่ได้ และว่า
พวกเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ใครขับรถจี๊ปไปจากป้อมตำรวจ, หรือ ใครคือ
คนสองคนนั้นที่ถูกบรรทุกออกไปในรถปี๊กอัพสีขาว.
The government has continued to
issue statements that they don’t know anything and that they are continuing to
investigate despite the evidence contained on the tapes. They apparently have
turned down requests to contact Interpol for help, however, and they have grown
increasingly irritated at protest. When officials of the US Embassy recently
hung a giant sign on their water tower asking what happened to the human rights
campaigner, thugs carrying AK-47 rifles surrounded the embassy and intimidated
the local Laotian employees into taking it down for fear of their safety.
รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ต่อไปว่า พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย และ
ว่าพวกเขายังคงทำการสอบสวนอยู่ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนในเทป. พวกเขาได้ปฏิเสธคำร้องขอให้ตำรวจสากลช่วย,
ถึงกระนั้น, พวกเขาก็เริ่มแสดงความรำคาญหงุดหงิดมากขึ้นจากการประท้วง. เมื่อเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ
นี้ ได้แขวนป้ายขนาดยักษ์ที่หอแท๊งค์น้ำ ถามว่า
เกิดอะไรขึ้นกับนักรณรงค์สิทธิมนุษยชน, ก็มีอันธพาล ติดอาวุธ ไรเฟิล AK-47 ล้อมรอบสถานทูต และ ข่มขู่ให้ลูกจ้างท้องถิ่นชาวลาว
ให้ถอดป้ายนั้นลงมาด้วยความกลัวถูกทำร้าย.
The disappearance has grown into an
international issue that has deeply discredited the Laotian government, with
Maina Kiai, the United Nations Special Rapporteur on the rights to freedom of
peaceful assembly and association bringing up the case in a Sept. 23 speech to
the United Nations, with US President Barack Obama in attendance:
การหายสาบสูญ ได้กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศ
ที่ได้ทำให้รัฐบาลลาวขายหน้า, Maina Kiai, ผู้รายงาน/ตรวจการพิเศษของสหประชาชาติ
ด้านสิทธิแห่งเสรีภาพในการรวมตัวและสมาคมอย่างสันติ
ได้นำกรณีนี้ขึ้นกล่าวในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ที่สหประชาชาติ, ต่อหน้าประธานาธิบดีบารัค โอบามา.
“Civil society and those voicing
dissent face some of the most significant challenges, unlike those who support
official policies. In Laos, Sombath Somphone “disappeared” last December for
his advocacy of land rights of peasants, never to be heard from again,” Kiai
said.
“ประชาสังคมและบรรดาเสียงที่ไม่เห็นพ้องด้วยเหล่านั้น
ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคที่สำคัญที่สุด,
ไม่เหมือนกับพวกที่สนับสนุนนโยบายทางการ.
ในลาว, สมบัด สมพอน “ได้หายสาบสูญ” ไป เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา
เพราะเขาสนับสนุนสิทธิในที่ดินของชาวไร่ชาวนา, ไม่มีวี่แววจากเขาอีกเลย”, Kiai กล่าว.
Amnesty International issued a
scathing report earlier this year, saying “Despite public commitments made by
the Lao authorities over the last few months to investigate Sombath’s
disappearance, the police investigations have so far been inadequate. Further,
until now, the authorities have failed to provide adequate information on the
progress of the investigations to Sombath’s family and others with a legitimate
interest, and to publish findings that answer some of the key questions around
Sombath’s disappearance.”
Amnesty International ได้ตีพิมพ์รายงานเยาะเย้ย
เมื่อต้นปีนี้, กล่าวว่า “ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจในลาวได้ให้คำมั่นสัญญาในที่สาธารณะในช่วงเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมาว่า
จะทำการสอบสวนการหายตัวไปของสมบัด, การสืบสวนของตำรวจจนถึงบัดนี้ ปรากฏว่าไม่เพียงพอ. ยิ่งกว่านั้น, จนถึงบัดนี้, ผู้มีอำนาจหน้าที่
ได้ล้มเหลวที่จะให้ข้อมูลมากพอว่าการสืบสวนก้าวหน้าถึงไหน แก่ครอบครัวของ สมบัด
และ คนอื่นๆ ที่มีความชอบธรรมที่จะสนใจ, และตีพิมพ์เผยแพร่ผลการสืบสวน
ที่ตอบคำถามหลักๆ เกี่ยวกับการหายตัวไปของสมบัดได้”.
The inadequate investigations, the
fact that Sombath had last been seen at a police post, that the police did
nothing to prevent him from being taken away, “suggest some level of
involvement by the Lao authorities,” the report said.
การสอบสวนที่ไม่สมบูรณ์/มากพอ, ข้อเท็จจริงที่ สมบัด เห็นเป็นครั้งสุดท้ายที่ป้อมตำรวจ,
ที่ว่า ตำรวจไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะขัดขวางไม่ให้เขาถูกเอาตัวไป, “ชี้แนะว่าผู้มีอำนาจหน้าที่ลาว
มีส่วนเกี่ยวข้องระดับหนึ่ง”, รายงานกล่าว.
Somphone founded the Participatory
Development Training Center to promote education, leadership skills and
sustainable development in Laos, which became Laos’s best-known civil society
organization. He has long been involved attempting to turn around the deeply
impoverished Laotian economy, in fact working in cooperation with authorities
for poverty reduction and sustainable development.
สมพอน ได้ก่อตั้ง ศูนย์การอบรมการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
เพื่อส่งเสริมการศึกษา, ทักษะผู้นำ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในลาว, ซึ่งกลายเป็นองค์กรประชาสังคมที่รู้จักกันดีที่สุดในลาว.
เขามีส่วนร่วมเป็นเวลานานแล้วในความพยายามที่จะพลิกผันเศรษฐกิจลาวที่ยากจนมาก,
อันที่จริง ด้วยการทำงานร่วมมือกับผู้มีอำนาจหน้าที่ในการลดความยากจนและการพัฒนาที่ยั่งยืน.
What may have aroused the
government’s ire, Shui Meng said, was his involvement in organizing a meeting
to deal with people’s complaints that was supposed to feed into an October
Asia-Europe Meeting (ASEM).
สิ่งที่กระตุ้นให้รัฐบาลโมโห, ชุ่ยหมิงกล่าว, คือ
การที่เขามีส่วนร่วมในการจัดการประชุมเพื่อรับฟังคำร้องทุกข์ ของประชาชน ที่หมายนำเสนอต่อที่ประชุมเอเชีย-ยุโรป
(ASEM) ในเดือนตุลาคม.
Shui Meng “refuses to give up,” a
friend said. “She says ‘even if they produce a body, if they think I will go
away, they have got another think coming’. She will stay with this case.”
ชุ่ยหมิง “ปฏิเสธที่จะยอมแพ้”, เพื่อนคนหนึ่งกล่าว. “เธอบอกว่า ‘แม้ว่าพวกเขาจะนำร่างของเขามาแสดงให้เห็น,
แล้วพวกเขาคิดว่า ฉันจะออกไปให้พ้นจากที่นี่, พวกเขาต้องคิดใหม่’. เธอจะยืนหยัดสู้คดีนี้”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น