297. Living Democracy Is
Not Available For Sale; But Can Be Co-created With EcoMind
Before You Give up on Democracy, Read
This!
ก่อนที่คุณจะแขวนนวมประชาธิปไตย,
โปรดอ่านที่นี่!
Who doesn't feel like throwing in the
towel... with congressional approval ratings at a pitiful 10 percent? For pete's sake, even the much-reviled "socialism" has more than double the fans.
มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกเหมือนกับ
ต้องการทิ้งผ้าขนหนูลง/แขวนนวม...กับคะแนนที่น่าสังเวชเพียง ๑๐ เปอร์เซ็นต์
ที่เห็นชอบกับสภาคองเกรส? ... แม้แต่
“สังคมนิยม” ที่ชอบถูกด่าทอ ก็ยังมีแฟนมากกว่าสองเท่า.
Yet a moment's reflection tells us we
can't solve any of our giant challenges without public decision-making bodies
that work. So settling for the best democracy money can buy is not an option.
แต่การไตร่ตรองสักพัก
บอกเราว่า เราไม่สามารถแก้ไขปัญหามหึมาของเราได้โดยปราศจากองคาพยพที่ทำหน้าที่ตัดสินใจสาธารณะที่ใช้การได้. ดังนั้น การจัดตั้ง ประชาธิปไตยที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อหาได้
ไม่ใช่ทางเลือกหนึ่ง.
And just as clear?
และก็ชัดเจนแบบเดียวกันด้วย?
That we can't we fix our broken
democracy without a vision of one that could
work. Human beings have a hard time creating what we can't imagine or even
name. Of course, our "vision" can't be some pie-in-the sky,
fairy-tale democracy. To be motivating, it has to be hard-nosed: grounded in
all we now know -- the good, bad, and the ugly -- about nature, including our
own.
ที่ว่า
เราไม่สามารถซ่อมประชาธิปไตยที่แตกหักของเราโดยปราศจากวิสัยทัศน์ของประชาธิปไตยแบบหนึ่ง
ที่ สามารถ ทำงานได้. มันเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะสร้างอะไรจากสิ่งที่เราไม่สามารถจินตนาการ
หรือแม้แต่ขานชื่อของมันได้. แน่นอน,
“วิสัยทัศน์” ของเรา ไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยเทพนิยาย เหมือนขนมพายในท้องฟ้า/วิมานในอากาศ.
เพื่อให้มันมีแรงจูงใจ, มันต้องติดดิน
หนักแน่น: หยั่งรากอยู่ในสิ่งที่พวกเราทั้งหมดรู้อยู่—ความดี, ความเลว,
และความน่าเกลียด—เกี่ยวกับธรรมชาติ, รวมทั้งของตัวเราเองด้วย.
Here's where we might begin:
นี่คือจุดที่เราอาจเริ่มต้น:
First, we stop assuming that the
prevailing version of liberal democracy -- elections plus markets -- is the
best we humans can do. Then, we appreciate what ecology has to teach us about
democracy. It's a lot. Simply put, ecology holds these main lessons: that
everything's connected and everything's changing -- with all elements shaping
all others moment to moment. We, like all organisms, respond to context.
ประการแรก,
เราต้องหยุดสมมติเอาว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยมฉบับที่มีอยู่ทุกที่—การเลือกตั้ง บวก
ตลาด—เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะทำได้.
แล้ว, เราก็ต้องชื่นชมในสิ่งที่นิเวศศาสตร์ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับประชาธิปไตย. มีมากทีเดียว.
พูดง่ายๆ, นิเวศศาสตร์ได้ให้บทเรียนหลักๆ ต่อไปนี้:
ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกัน และ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง—ด้วยการที่ปัจจัยทั้งหมดปั้นแต่งปัจจัยอื่นๆ
ทั้งหมดในแต่ละขณะอย่างต่อเนื่อง. พวกเรา,
เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง, ตอบสนองต่อบริบท.
"Thinking like an
ecosystem," we can see therefore that our inherited notion of democracy as
an unchanging, political structure -- fixed and finished -- is bound to fail.
With an "eco-mind," we realize that democracy's first questions must
be:
“การคิดในทำนองเดียวกับระบบนิเวศหนึ่งๆ”,
ทำให้เราสามารถมองเห็นลักษณะที่สืบทอดกันมาของเราต่อประชาธิปไตยว่า
เป็นโครงสร้างทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลง—ผนึกติดแน่นและสำเร็จรูป—เช่นนี้ มีแต่จะล้มเหลว. ด้วย “จิต-นิเวศ”, เราตระหนักว่า
คำถามแรกของประชาธิปไตยจะต้องเป็น ดังนี้.
What are our species' essential
needs?
อะไรคือความจำเป็นแท้จริงของสายพันธุ์ของเรา?
And, then, what specific contexts
have proven to elicit our species' capacities to build societies meeting those
needs?
และแล้ว,
อะไรเป็นบริบทเฉพาะที่ได้พิสูจน์แล้วว่า
จะล้วงสมรรถนะ/ความสามารถของสายพันธุ์ของเรา ให้สร้างสังคมที่ตอบสนองความจำเป็น
ความต้องการเหล่านั้น?
Anthropologists, psychologists, and
our everyday experience suggest at least three virtually universal human needs:
for connection, meaning, and power (understood as the need to "make our
mark.") And to meet these needs, three conditions -- increasingly violated
in today's many so-called democracies -- appear essential:
นักมานุษยวิทยา,
นักจิตวิทยา, และประสบการณ์ทุกวันของเรา แนะว่า อย่างน้อยความต้องการสากลของมนุษย์มี
๓ ประการ คือ เพื่อความเชื่อมโยงเกาะเกี่ยว, ความหมาย, และอำนาจ (ที่เข้าใจกันว่าเป็นความต้องการ
“ไว้ลายของเรา”). และเพื่อให้บรรลุความต้องการเหล่านี้,
มีเงื่อนไข ๓ ประการ—ที่ถูกละเมิดมากขึ้น ในสิ่งที่หลายคนเรียกกันว่า ประชาธิปไตย ทุกวันนี้—ปรากฏว่าจำเป็น.
• The fluid, continuous dispersion of
power.
• Transparency in human relations.
• Cultures of mutual accountability, instead of one-way blame.
• Transparency in human relations.
• Cultures of mutual accountability, instead of one-way blame.
-
อำนาจที่ลื่นไหล,
กระจายตัวอย่างต่อเนื่อง
-
ความโปร่งใสในความสัมพันธ์ของมนุษย์
-
วัฒนธรรมแห่งความน่าเชื่อถือ พึ่งพาอาศัยได้ต่อกันและกัน,
แทนที่จะเป็นการตำหนิติเตียนทางเดียว.
If you doubt this short-list, just
think where the opposites have taken us!
หากคุณสงสัยในรายการที่เลือกมานี้,
ขอให้เพียงคิดถึงรายการตรงข้ามว่าได้ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา!
These three conditions could become
our "lodestar," as we embrace democracy understood as a way of life
-- not something we build once and for all, but a culture we continuously
create together. I call it Living Democracy. It's not a set system but a set of system values and
conditions -- the dispersion of power, transparency, and mutual
accountability -- that bring forth the best and keep the worst in check across
all dimensions of public life, from our workplaces to our schools.
เงื่อนไขทั้งสามประการนี้
อาจกลายเป็น “ดาวนำทาง”, เมื่อพวกเรายึดมั่นในประชาธิปไตยที่เข้าใจว่า
เป็นวิถีชีวิต—ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เราสร้างขึ้นครั้งเดียวและก็จบกัน,
แต่เป็นวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องร่วมกัน. ฉันเรียกมันว่า ประชาธิปไตยที่มีชีวิต. มันไม่ใช่ระบบสำเร็จรูปชุดหนึ่ง แต่เป็นชุดหนึ่งของระบบคุณค่าและเงื่อนไข—อำนาจดาวกระจาย,
ความโปร่งใส, และความน่าเชื่อถือพึ่งพาอาศัยกันได้ต่อกันและกัน—ที่นำมาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด
และ คอยควบคุมตรวจสอบสิ่งที่แย่ที่สุดในทุกๆ มิติของชีวิตสาธารณะ,
จากที่ทำงานของเรา ถึงโรงเรียนของเรา.
Living Democracy builds from the
insight that today's problems are too complex, interwoven, and pervasive to be
solved from the top down. People rarely change by fiat. So solutions require
the ingenuity, insights, experience, and "buy-in" of those most
directly affected by the problems we face.
ประชาธิปไตยที่มีชีวิต
สร้างจากปัญญาที่มองเห็นว่า ปัญหาทุกวันนี้ซับซ้อน, ถักทอโยงใยกัน, และแผ่กระจายไปทั่วเกินกว่าที่จะแก้ไขได้จากบนลงล่าง. คนไม่ค่อยเปลี่ยนด้วยคำสั่ง. ดังนั้น ทางแก้ไข ต้องอาศัย กุศโลบาย, ปัญญา,
ประสบการณ์, และ “เข้าข้าง” เหล่าคนที่ถูกกระทบมากที่สุดโดยตรงจากปัญหาที่พวกเราเผชิญอยู่.
The term "living democracy"
suggests democracy as both a lived experience and an evolving, organic reality
-- "easily lost but never finally won," in the words of the first
African-American federal judge William
Hastie.
But... are we capable, many might
ask?
คำว่า
“ประชาธิปไตยแบบมีชีวิต” แนะว่า ประชาธิปไตยในฐานะที่เป็นทั้งประสบการณ์ที่มีชีวิต
และ เป็นความจริงที่มีวิวัฒนาการ และ คลี่คลายลื่นไหลเจริญงอกงามได้—“พ่ายแพ้ได้ง่ายแต่ไม่เคยเอาชนะได้ในที่สุด”,
ในคำพูดของผู้พิพากษารัฐบาลกลางอเมริกันเชื้อสายอาฟริกันคนแรก วิลเลียม
เฮสตี. แต่...เรามีความสามารถเช่นนั้นหรือ,
หลายคนอาจถาม?
Didn't human beings evolve within
strict hierarchies, vestiges of which linger today in gender, class, and caste
power structures? Actually, no. During 95 percent of our evolution, humans
lived in highly egalitarian tribes, anthropologists tell us. We kept them that way through
"counter dominance" strategies because we humans thrive best when we
work together, not under the thumb of one strong man.
มนุษย์วิวัฒนาการภายในโครงสร้างอำนาจที่เหลื่อมล้ำ,
เต็มไปด้วยร่องรอยของเจนเดอร์, ชนชั้น, และวรรณะ ที่ยังคงอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่หรอกหรือ? อันที่จริง, ไม่ใช่. ในระหว่างช่วงเวลา ๙๕
เปอร์เซ็นต์ของวิวัฒนาการของพวกเรา, มนุษย์ยังชีพในชนเผ่าต่างๆ
ที่มีความเสมอภาคกันสูง, นักมานุษยวิทยาบอกเราเช่นนั้น. เรายังคงรักษาวิถีนั้น ผ่านยุทธศาสตร์ “ถ่วงดุลกระแสหลัก”
เพราะพวกเรามนุษย์เจริญงอกงามดีเมื่อเราทำงานด้วยกัน,
ไม่ใช่ภายใต้นิ้วโป้งของคนแข็งแรงมีอำนาจคนหนึ่ง.
And what does an emergent Living
Democracy look and feel like?
แล้ว
ประชาธิปไตยที่ผุดโผล่ขึ้นมา หน้าตา และ ความรู้สึกอย่างไรเล่า?
In learning...we afford
"arts of democracy" -- i.e., listening, mediation, negotiation, and
more -- priority equal to reading, writing and "rithmetic." Students
engage in practical community problem-solving through, for example, what the
Maine-based KIDS Consortium
calls "apprentice citizenship." From environmental restoration to
teaching younger kids bike safety, children in hundreds of schools are getting
a taste for how good it feels to make a difference. Now, in dozens of
countries, children are also learning the art of mediating disputes among
themselves instead of simply running to an authority or fighting.
ในการเรียนรู้...เราสามารถมี
“ศิลปะของประชาธิปไตย”—นั่นคือ, การฟัง, การเป็นคนกลางผสานความเข้าใจสร้างความปรองดอง,
การต่อรอง, เป็นต้น—เป็นความสำคัญในลำดับต้นๆ พอๆ กับ การอ่าน, การเขียน และ "rithmetic."
นักศึกษาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาชุมชนในภาคปฏิบัติ ด้วยวิธีการ,
เช่น, สิ่งที่ KIDS
Consortium ในรัฐเมน เรียกว่า “ความเป็นพลเมืองด้วยการฝึกงาน”. ตั้งแต่การฟื้นฟูบูรณะสิ่งแวดล้อม ถึง
การสอนเด็กเยาว์วัยเรื่อง ความปลอดภัยในการขี่จักรยาน, เด็กๆ ในหลายร้อยโรงเรียนกำลังได้ลิ้มรสของความรู้สึกดีๆ
ในการทำสิ่งที่แตกต่างออกไป. ตอนนี้,
ในหลายสิบประเทศ, เด็กๆ กำลังเรียนรู้ศิลปะของการประนีประนอมการทะเลาะวิวาทในระหว่างพวกเขาเอง
แทนที่จะเพียงวิ่งหาเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ หรือ ชกต่อยกัน.
In economic life... Seeing
through the fiction of a mechanical, autonomous "free market," an
"eco-mind" sees the possibility of democratic system-rules creating
values boundaries that keep power widely dispersed and markets fair, open, and
aligned with nature's laws. (Perhaps the "free market" could then be
redefined as one in which all are free to participate because it is kept
accessible by fair rules.).
ในชีวิตเศรษฐกิจ...ด้วยการมองทะลุนิยาย
“ตลาดค้าเสรี” ที่เป็นหุ่นยนตร์, เป็นเอกเทศ, “จิต-นิเวศ”
จะเห็นความเป็นไปได้ของกฏเกณฑ์เชิงระบบแบบประชาธิปไตย ในการสร้างขอบเขตคุณค่า
ที่ทำให้อำนาจกระจายตัวกว้างขวาง และ ตลาดมีความเป็นธรรม, เปิดกว้าง, และ จัดตัวเรียงตามกฎของธรรมชาติ. (บางที “ตลาดเสรี”
อาจนิยามใหม่ได้ว่าเป็นตลาดที่ทุกคนมีอิสรเสรีที่จะเข้าร่วม เพราะมีกฎระเบียบที่เป็นธรรมอำนวยให้ทุกคนเข้าถึงได้.)
And we go beyond "fair
distribution" to also embrace "fair production"; for it
fulfills the core human need for agency. Fair production suggests opportunities
for people to participate in co-production via cooperatives and other forms of
co-ownership. And, even now, they're hardly marginal: Coops of all types
worldwide enjoy many more members -- a billion!--than there are people with shares in publicly
traded companies. Cooperatives produce 20 percent more jobs than do multinational corporations.
In rural India, for example, they meet 67 percent of consumer needs.
แล้วเราก็ไปโพ้น
“การกระจายอย่างเป็นธรรม” สู่การยึดมั่นใน “การผลิตที่เป็นธรรม” ด้วย; เพราะมันจะทำให้บรรลุแก่นของความจำเป็น/ต้องการของมนุษย์ในการเป็นตัวของตัวเอง. การผลิตที่เป็นธรรม แนะนำ โอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมของผู้คนในการผลิตร่วมกัน
ผ่านช่องทางสหกรณ์และการเป็นเจ้าของร่วมกันในรูปแบบอื่นๆ. และ, แม้ในปัจจุบัน, วิธีเหล่านี้
ไม่ใช่เป็นวิธีชายขอบ: สหกรณ์ทุกประเภทในโลกมีสมาชิกมากมาย—หนึ่งพันล้าน!—มากกว่าจำนวนคนที่ถือหุ้นในบริษัทค้าขายในที่สาธารณะ. สหกรณ์สร้างงานได้มากกว่า บรรษัทข้ามชาติ ถึง
๒๐ เปอร์เซ็นต์. ในชนบทอินเดีย,
ยกตัวอย่าง, พวกเขาได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคถึง ๖๗ เปอร์เซ็นต์.
In political life and civic life... Living
Democracy means rules that prevent the influence of concentrated private wealth
and corporation in campaigns and lawmaking, along with election rules barring
advertising and ensuring candidates' fair access to media. But fair elections
and formal political decision-making accountable to citizens -- not private
interests -- are but the beginning. Living Democracy means multiple avenues for
rewarding engagement.
ในชีวิตการเมืองและชีวิตพลเมือง... ประชาธิปไตยที่มีชีวิต
หมายถึง กฎระเบียบที่สกัดกั้นอิทธิพลของบรรษัทเอกชนที่มีความมั่งคั่งเข้มข้นในการรณรงค์และการบัญญัติกฎหมาย,
ซึ่งมาพร้อมกับกฎระเบียบในการเลือกตั้ง ที่ห้ามการโฆษณา และทำให้มั่นใจว่า
ผู้ลงชิงตำแหน่งสามารถเข้าถึงสื่อได้อย่างยุติธรรม. แต่การเลือกตั้งที่มีความเป็นธรรม และ
การตัดสินใจทางการเมืองอย่างเป็นทางการที่พลเมืองเชื่อถือพึ่งพาอาศัยได้—ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัว—เป็นเพียงเพิ่งเริ่มต้น. ประชาธิปไตยที่มีชีวิต หมายถึง การมีช่องทางหลากหลายที่ให้รางวัลแก่การมีส่วนร่วม.
One is the "Citizen Jury"
that in the Global South has, for example, brought diverse interests together
to come to judgment on the direction of agricultural development, leading to
strengthening ecological farming. Another, the "Deliberative Poll":
In Japan in 2012 this practice helped move the government to adopt the goal of
ending all reliance on nuclear
power before 2040; and in Texas, a Deliberative Poll used by utility companies
helped the state become a leader in wind power. A great source for exemplars of
Living Democracy is Participedia.net.
สิ่งหนึ่งคือ
“ลูกขุนพลเมือง” ที่มีอยู่ในซีกโลกใต้, ยกตัวอย่าง, นำผลประโยชน์อันหลากหลายมากองรวมกัน
เพื่อทำการตัดสินหาทิศทางของการพัฒนาเกษตรกรรม, ที่นำไปสู่การเสริมเกษตรนิเวศให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น. อีกสิ่งหนึ่ง, “การสุ่มเชิงปรึกษาหารือ”: ในญี่ปุน ปี ๒๕๕๕
วิธีปฏิบัตินี้
ได้ช่วยขับเคลื่อนให้รัฐบาลยอมรับเป้าหมายของยุติการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ก่อนปี
๒๕๘๓; และในเท็กซัส, การสุ่มเชิงหารือ ที่บริษัทสาธารณูปโภคใช้
ได้ช่วยให้รัฐกลายเป็นผู้นำในพลังงานลม.
แหล่งข้อมูลสำหรับตัวอย่างประชาธิปไตยที่มีชีวิต คือ Participedia.net.
In Living Democracy, citizens also
become active co-creators of knowledge, as, for example, citizen water monitors responsible for gathering water
quality data now in 77 countries. Citizens also contribute to community
well-being by sharing their knowledge and monitoring well-being, such as
Nepal's community health volunteers.
ในประชาธิปไตยที่มีชีวิต,
พลเมืองกลายเป็นผู้ร่วมสร้างองค์ความรู้เชิงรุกด้วย, เช่น, ยกตัวอย่าง, กลุ่มพลเมืองติดตามตรวจสอบน้ำ
ที่รับผิดชอบการเก็บข้อมูลคุณภาพน้ำปัจจุบันใน ๗๗ ประเทศ. พลเมืองก็ยังได้ช่วยทำให้ชุมชนอยู่ดีมีสุขด้วยการแบ่งปันความรู้และคอยดูแลความอยู่ดีมีสุข,
เช่น อาสาสมัครอนามัยชุมชน ของเนปาล.
In these arenas and more, Living Democracy
is showing up worldwide. But it can't spread quickly as long it's invisible.
So, let's remember that we humans, too, are shaped by our ecological niche --
especially our social ecology. To further the world we want, we can start
consciously creating forms of democracy creating the conditions proven to
enhance species' thriving -- and thus to the well-being of all species.
ในเวทีนี้และอื่นๆ
อีกมาก, ประชาธิปไตยที่มีชีวิต กำลังปรากฏขึ้นทั่วโลก. แต่มันไม่สามารถแพร่ขยายอย่างรวดเร็วตราบที่มันยังล่องหน
คนมองไม่เห็น. ดังนั้น, ขอให้จำไว้ว่า
พวกเราเหล่ามนุษย์ด้วย ก็ถูกปรับแต่งปรุงปั้นด้วยโพรงนิเวศของเรา—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นิเวศเชิงสังคมของเรา. เพื่อทำให้โลกที่เราต้องการขยายกว้างขึ้น,
เราสามารถเริ่มต้นด้วยมโนสำนึกในการสร้างรูปแบบต่างๆ ของประชาธิปไตย สร้างเงื่อนไขที่ได้พิสูจน์แล้วว่าช่วยส่งเสริมให้สายพันธุ์ต่างๆ
เจริญงอกงาม—ซึ่งมีผลต่อความอยู่ดีมีสุขของสรรพสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ทั้งหมด.
Adapted from Ecomind:
Changing the Way We Think, to Create the World We Want and from the Solutions Journal
article "EcoMind or ScarcityMind: Where Do They Lead?"
Copyright
2013 The Huffington Post
Frances Moore Lappé is the author of EcoMind: Changing the Way We Think to Create the World We Want
(Nation Books) and 17 other books including the acclaimed Diet for a Small Planet.
ฟรานซิส มัวร์ แลปเป้ เป็นผู้เขียน
“จิตนิเวศ: การเปลี่ยนวิธีคิดของเราเพื่อสร้างโลกที่เราต้องการ” (Nation
Books) และ หนังสืออื่นๆ ๑๗ เล่ม รวมทั้ง “โภชนาการเพื่อโลกใบน้อย”.
Published on Wednesday, September 18,
2013 by The
Huffington Post
• 17 hours ago
First you have to have a democracy
before you can save it.
I
do agree in the sense that Ms Lappe's excellent article would have been even
better had she mentioned the need to realize the constitution of the USA NEVER
WAS that of a democracy, such that it has always been a myth that deceives we
the people. That said, I'm delighted CD is at last providing a voice for what
appears to me to be eco-feminism, as it has been ill-served here on CD by a
"controversial" commenter who sometimes speaks of it but models the
opposite of its tenets of compassion and balancing of the matriarchal and
patriarchal, however inarguable it may be that pyramidal patriarchy (domination
of the many by the few) has long reigned. Note how Ms Lappe speaks to all and
attacks none, including the tens of millions of men who want an end to the
tyranny imposed on all, including women, whether imposed by men or by women,
acknowledging it is far less often imposed by women than men.
US democracy would be a good idea. We
should try it sometime.
The Next American Revolution I
Grace Lee Boggs
Grace Lee Boggs,, Detroit-based
radical organizer and philosopher. Born to Chinese immigrant parents in 1915
[in their apartment over the family’s restaurant], Now 98 she has been involved
in nearly every major activist movement of the past eighty years, including
labor, civil rights, black power, women’s rights, and environmental justice
movements.
She earned scholarships, graduated
from Barnard, and went on to earn a PhD in Philosophy at Bryn Mawr in 1940..
Facing the significant employment barriers of the academic world as a woman of
color in the 1940s, she found a job at low wages at the University of Chicago
Philosophy Library. And living in a rat infested basement she began an
activist’s career, which continues to today, working for tenants' rights.
She successfully melded theoretical
studies of reform and revolution with on-the-picket line activism while
participating in in nearly every major activist movement of the era.
Along the way she met and married
Jimmy Boggs, a Black from the deep south who was for 30 years a union member
and organizer in the Chrysler factory in Detroit. Theoreticians as well as
activists, the two were deeply immersed in the passionate discussions about
revolutionary doctrine which characterized leftish organizations. [they found
the Communist/USSR perspectives badly flawed, inclining toward Johnsonite
anti-stalinist thinking.]
From all of this in time they emerged
with a radically different perspective: they saw that thinking about revolution
beginning with the Marx and the Russians had come to be centered on a process
of rousing the masses to take over existing systems at the top and from there
to rework the structure to be more supportive for the people generally
[according to whatever structure the proponents advocated].
The Boggs proposed to do something
quite different: not to change the system or its details but to build the
entire structure from the ground up.
They had come to share Luther King’s
vision of the “beloved community;” they called on Detroiters to expand their
humanity, working together to create a more humane, democratic, and meaningful
way of life, not just in Detroit but in line with the thinking eg underlying
the work of the World Social Forum on the theme “Another World Is Possible,”
central to the Puerto Alegre forum of 1999 and to the participatory democracy
of that city [and others, ...including some in the USA]].
And perhaps the most important thing
about this view imho is not just its thorough, careful exposition - though imo
this is indeed revolutionary - but that, having worked out the theory and
background, the Boggses and friends put it into action. You can see it at
workin Detroit, underneath theFailed political scene...
...” we need to go beyond opposition,
beyond rebellion, beyond resistance, beyond civic resurrection. We don’t want
to be like ‘them.’ We don’t want to become the ‘political
class,’ to simply change presidents and switch governments.’
“We want and need to create the
alternative world that is now both possible and necessary. We want and need to
exercise power, not take it.”
She set forth these views in her
recent book: “The Next American Revolution.”
{Univ of California Press] [see also
her autobiography ‘Living for change.” Grace Lee Boggs Univ of Minnesota Press]
But this was not abstract thinking;
Beginning specifically and actively along these linesin 1992; she, with Jimmy
Boggs, Shea Howell, and others, co-founded “Detroit Summer,” which intended to
"rebuild, redefine and respirit Detroit from the ground up,"
beginning by organizing youth.
“Detroit summer”...Some specifics..
Over time it has developed parallel
and interrelated activities loosely linked: Arts, Media, Culture; Community
Organizations; Education [Schools and Community]; peace zones[ restorative not
retributive justice; Food Security - Urban Gardens and Farms; Local Businesses:
Sustainable Economics; Recycling; Youth & Activism.
Activities in general aim to
strengthen the commuity as well as to overcome specific challenges..Murals turn
depressing deteriorating walls into images celebrating a vibrant locality.
A Restorative justice movement
replaces arrest and incarceration in cases of many crimes; keeping juveniles
out of the criminal justice system and rsolving conflicts within the community
without the toxicity of revolving door criminal activity
Children are not locked into rows of
desks in sterile classrooms; reminded,over and over under the evils of “teach
to the tests” of their own ineffectiveness; they are given activities and
places in the community where they can both learn and feel the satisfaction of
knowing that their work has value and that they themselves are productive parts
of the community.
For instance, one group undertook to
study their community to see where there were needs for improvement..In due
course they identified youth obesity as a community problem...but they didn’t
stop there, they went on to create vegetable gardens, some on rooftops, to
improve sources of healthy foods..
One of the tenets of the Boggs
respiriting’ of Detroit is: “Using new methods of local,small-scale production
(such as 3-D printing) to produce our own clothing, housing, transportation,
etc.” .
3-D printing technology makes it
possible for small shops, using 3-D printers [some of which are literally small
enough to fit on a desk-top], to produce a tremendous range of objects -
literally from jewelry and dental implants to museum-quality pieces to jet
engine parts to automobiles. [More information in notes below.] An active
community of users, designers and manufacturers has grown up along with these
developments.
But there is more at work here than
just a new way of producing needed objects.
A Revolution in Work
We may be seeing here something like
the revival of the craftsman, the apprentice, the small workshop...of “work” as
opposed to the slave-labor “job” of pointless repetitive mind-numbing --day
after day existence too often under the supervision of petty tyrants and at the
mercy of unseen financial interests. Now the craftsman will have the
satisfaction of seeing his skills succesfully deployed and will enjoy his work
not endlessly resent it...
We may be seeing the end of the
assembly-line factories typical of the 20th century.
And this leads on to A major theme in
the ongoing work in Detroit; the evolution of the ‘beloved community’ sketched
out by MLK. With people engaged in ‘Work;’ not regimented in ‘Jobs;’ with
communities oriented to neighborhoods not projects, hunanizing schooling,
bulding community oriented restorative justice... finding their ways to provide
the supporting services.. will willapproach a version of King’s vision..
[3-D Printing Overview detailedled
discussion... continued in Part II]
see
more
They
started out as Marxists (Trotskyists) and evolved into anarchists. Nice folks
to have a chat with as Charlie Rose does but politically ineffectual. As is
this eco-anarchist prattle about "dispersion of power". It's true
that 95% of human history involved egalitarian tribal life. But now we are in
Supertribes and the real issue is HOW to get to an egalitarian, transparent, participative
way of life. It would be socialism and the struggle for it has a 165 year track
record that anarchists ignore in favor of these middle class constructs.
Ok,
anarchists ! Let me have it !!!
You
confuse the actual functional dynamics of a literal tribe with the 21st c.
extrapolation of the colonizer/propagandist's projection of, as the writer
points out, a static term ("fixed and finished") and one of control,
which in actuality simply doesn't exist. What we have is coercion by
commodification. It suppresses the skills of the tribe, the cumulative wisdom
and respect, the regenerative capacity and other related qualities.
Though
temporally and hence arguably temporarily disenfranchised by subverted
corporatized science, the final arbiter is not class, but reconnection with
sources, currently reduced in the dominant western model to
"resources".
The
actual scale of the diversity of tribes/communities and the power these wield
as living organisms is not expressed in the current conventional terms
dominant. Granted, the current lock-step of a highly propagandized shell is a
profound threat to carrying capacity, but again as the writer notes, reality is
not static.
They were with the
JohSonNon-Forest Tendency...Se eher autobiograph p 61
Fail.
This simply suggests that "civilisation"
can be "fixed" with a little tweaking and adjustment. It is still
based upon an extractive, industrialised paradigm with its attendant
"economy" and "production".
Humans living in small
"tribes" such as the author touches upon had a distinct advantage
over static settlements with large populations and hierarchic social systems.
They could easily spot and eliminate the psychopaths amongst them.
Once the Neolithic Revolution opened
the Pandora's Box of fixed settlements with growing populations, the clash of
"societies"-which eventually became
"civilisations"-exceeding the carrying capacity of their regions
became inevitable.
These high concentrations of
population and the hierarchies that they spawned were and are the perfect
environment for essential psychopaths to create the networks of deceit and
manipulation they require to gain the authority and power necessary for them to
gain control of villages, towns, cities, nations and, ultimately, empires.
"Civilisation" is the
product of ponerogenesis and probably began with the first anthropocentric
religions, which seem to have sprung up between 12 to 14 thousand years ago and
may have created the impetus for the Neolithic Revolution.
In my opinion, the Neolithic
Revolution was a potentially fatal event for the human species. From its point
of origin in the middle east, the "cradle of civilisation", this
pathocracy has spread to nearly every corner of the world, destroying the
landbase and the traditional communities that lived in balance with Nature.
Just my opinion.
see
more
Sorry
to rain on the parade. Maybe we did go wrong in the agricultural revolution or
something. But tribal life was BS too: Nasty brutish and short. And of course
in all these "traditional" societies the position of women was on
their backs -- if they were lucky.
what
are the specifics on which you make such sweeping generalization?
Go
ahead and rain all you like Chris. We've been having a hyper-drought here in
texas for a long time now. We can use all the rain we can get.
I
mean, hell, we can't keep the factory farms running without rain and without
the factory farms "civilisation" will collapse.
I
just find it a tad ironic that the factory farms are a major contributor to the
causes of the changing climate that will soon make it impossible for them to
continue operating.
Civilisation
will crash, probably sooner rather than later. It's a matter of when, not if.
The longer it takes, the worse it will be for those living during and after.
Just
my opinion.
Fascinating
backstory and link you present highlighting what I agree is the crux of the
many current human dilemmas including ecocide and war, that is pathocracy
(psychopathocracy) or rule by the avaricious. Crash and burn are the likely
outcomes yet I hold on dearly to the slender thread of possibility that enough
of us may precipitate a crucial shift that re-aligns our evolutionary path with
nature's path. Divide and conquer overcome by connecting and protecting.
I
have spent a good portion of the last few years studying Ponerology.
I
have recently made myself familiar with Derrick Jensen. I regret it took me so
long to come upon his work.
When
Jensen's work is seen through the lense of Lobaczewski's, both come into very
sharp, clear focus as two components of the same equation.
Lobaczewski
offers a clinical evaluation of the source of the cancer called
"civilisation" that Jensen seeks so desperately to cure.
Both
have had a profound impact upon my opinions and conclusions regarding the
destiny of the human race. I can no longer find a middle ground whereon
industrial technological "civilisation" and human Life can exist sustainably.
We
can have the comforts, luxuries and extravagantly wasteful lifestyle of
industrialised technological civilisation or a planet that will sustainably
support our species far into the future. We can't have both.
Just
my opinion.
The author must have gotten the
ratings on a good day. Congressional ratings have been running at 6%.
As for a vision, we can work on that when we've stopped the crime wave. Our government has no legitimacy and the DOJ are even worse protecting war criminals and non producing white collar crooks that line their pockets with the labors of a lifetime of the work of honest people. Stop the hemorrhaging, then deal with the rest of the stuff.
As for a vision, we can work on that when we've stopped the crime wave. Our government has no legitimacy and the DOJ are even worse protecting war criminals and non producing white collar crooks that line their pockets with the labors of a lifetime of the work of honest people. Stop the hemorrhaging, then deal with the rest of the stuff.
a
lot of "academic" buzz words and hot air are distracting our focus
from her good ideas and examples. you hit the nail in plain english and you
probably didn't need an advanced degree in "communication" or
"political science". either way, you and the author are thinking the
same thing in substance, i believe.
"With an "eco-mind,"
we realize that democracy's first questions must be:
What are our species' essential needs?"
What are our species' essential needs?"
Wrong!
Framed that way this question is
simply another example of belief in human exceptionalism and entitlement.
The correct question is: What are the
planets essential needs?
If the planet is exploited without
prioritising the balance the author seems to grasp-"Simply put,
ecology holds these main lessons: that everything's connected...", the
needs of our species cannot be met sustainably.
Now I'll go back and see if I can
finish the article. For me, it's gotten off to a bad start.
Just my opinion.
Why
don't we all kill ourselves ? It's the planet that counts.
Your
attempt at sarcasm is a good indicator of your acculturation. If you weren't trying
to be sarcastic, I beg your pardon.
"It
is no measure of health to be well adjusted to a profoundly sick society."
J. Krishnamurti
J. Krishnamurti
The
planet doesn't need us. We need the planet to survive.
"If
you perceive yourself as a member of a species that can act no other way than
to destroy your landbase, that is what you will do. If you perceive yourself as
the “apex” of evolution, you will try to climb to the top of something that has
no top, and you will crush those you perceive as being beneath you. If you
believe you are separate from your landbase, you may believe you can destroy
your landbase and survive, and you may very well destroy it. If you perceive
yourself as entitled to exploit those around you, you will do so. Not one of
those self-perceptions is sustainable. If you perceive yourself in any of those
ways, you and those who perceive the world like you will not survive long into
the future. I don’t really care about that: if that’s how you perceive the
world, then good riddance to you. The problem is that before you go down you will
cause a lot of unnecessary misery, and you will take down a lot of others with
you."
"Endgame" vol. 2
"Endgame" vol. 2
Why
don't we try to get back to living in harmony with the planet instead of
destroying it and ourselves in the process?
see more
You
have redeemed yourself with just the one comment "It is no measure of
health to be well adjusted to a profoundly sick society."
J. Krishnamurti
But remember we sometimes need to keep the monkey wrench creased with love and respect for those who are brightening our lives: Then we can 'more than just survive'.
Redeemption is a state of mind for those that think they have fallen. May peace and love prevail, but there are no guarantees. Who needs em!
J. Krishnamurti
But remember we sometimes need to keep the monkey wrench creased with love and respect for those who are brightening our lives: Then we can 'more than just survive'.
Redeemption is a state of mind for those that think they have fallen. May peace and love prevail, but there are no guarantees. Who needs em!
I like this version of democracy by
Arundhati Roy, Social Activist from India and author of 'The God of Small
Things': "Demon crazy".
Great story with the reference to
"counter dominance!" But evolutionary psychology has likely brought
out more on this at least those two British ones cited. Anthropology did show
that as well to a degree and one native Canadian historian making use of
anthropology and archeology did likewise. Different disciplines can and should
contribute in what one academic calls "cross fertilization" of
knowledge instead of fensing of one from another and getting into what Marshall
McLuhan called a "harderning of the categories."
It would be easier to make the case
that strategies for doing anything came from the con servatives when they
sought to disable "counter dominance traits" so natural to all and to
inhibit the "fairness gene" as one of these evolutionary psychologist
and award winning businessman calls it.
We have the government we elected.
I might suggest that if you really want a change why not change your vote. Why do we keep electing the same people over and over and over again?
As a Republic we need and want a citizen government. So elect one. Stop voting for an incumbent. I don't care which party you are form or against . . . . just vote for someone else.
If and when this happens we will begin to actually see a change. Until then we will continue to get what we vote for.
And I think you can all see what that amounts too.
Make a real change . . . . Change your vote.
I might suggest that if you really want a change why not change your vote. Why do we keep electing the same people over and over and over again?
As a Republic we need and want a citizen government. So elect one. Stop voting for an incumbent. I don't care which party you are form or against . . . . just vote for someone else.
If and when this happens we will begin to actually see a change. Until then we will continue to get what we vote for.
And I think you can all see what that amounts too.
Make a real change . . . . Change your vote.
The
person I voted for was arrested for trying to participate and was handcuffed to
a chair for 8 hours.
Our society is changing from an oil
based,
war based dictatorship, to a solar based
democracy, in which a Feed in Tariff (FiT)
will require PG&E to pay home owners &
farmers $0.49 kwh for feeding solar onto the grid.
war based dictatorship, to a solar based
democracy, in which a Feed in Tariff (FiT)
will require PG&E to pay home owners &
farmers $0.49 kwh for feeding solar onto the grid.
This will create 22 million jobs by
2041,
end the use of fossil & atomic fuels by 2030,
stop all nukes by 2029,
and save the planet from Shell Oil.
Now if we can just stabilize Fukushima in 2014,
before the next quake.
The FiT has already made Germany
the greenest place on earth.
end the use of fossil & atomic fuels by 2030,
stop all nukes by 2029,
and save the planet from Shell Oil.
Now if we can just stabilize Fukushima in 2014,
before the next quake.
The FiT has already made Germany
the greenest place on earth.
These are beautiful ideas and ones I
can appreciate. However, I think it's more productive to focus on the need for
all those who agree with these values to learn how to organize and cooperate
with each other. We have to lose the cynicism and the bad habit of arguing with
each other at the drop of a hat. The Business Roundtable learned how to
organize in the 70's and they successfully changed democracy to suit the 1%.
The 99% needs to do the same.
May Ms. Lappe bright light outshines
the 'Wrenchmonkey' pathocracy comments below. Village community in the big city
vs gutter politics. Ponerogenisis, hum will have to look that up! But either
way it is always good to hear the positive side of human evolution. Thank u
I recommend Cambridge,
Massachusetts-style proportional representation. It has been in continuous use
for 73 years. For vast periods of time (including right now) Cambridge has had
an AAA bond rating. The Cambridge City Council looks like the electorate in
terms of women and minorities sitting on the Council. Cambridge City Council
elections are generally devoid of mudslinging. Instead candidates usually put
forth their plans for the city in exquisite detail. There pretty much are no
Democrats or Republicans on the City Council, which sounds odd but elections in
Cambridge are affordable without political parties. In general, most city
council members aren't beholden to outside money.
If your mayor is a crook and if your
city is 1/2 as bankrupt as Detroit, you should consider switching over to real
elections.
I don't get philosophical democratic
utopias. I get real election systems that get rid of most corruption forever.
"Counter dominance traits"
not strategy is how two very solid British evolutionary psychologists put about
20 years ago. It was the way people lived not just words. Democracy today is
nothing but a talk in the USA and the rest of the West and likely has been if
we use a strict definition of the term from the international version of the
Oxford Dictionary of Current English of "a classless and tolerant
society." This is the way people lived in this hemisphere prior to the
European invasion and occupation. Now it's definteily true that Europeans who
first came into being about 40 millinnia lived this way until at most a dozen
millennia ago if not less. But once some had this power Lord Acton's rule of
"Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely" came
into play. Later came city and nation states consolidating said power. Finally
empires came to grab more power. Each step toward more power for the few over
others came with and over the blood and lives of the masses. Until finally
revoutions to bring this to halt came with people's "counter dominance
traits" reenabled after so much atrophy. "Counter dominance
traits" begat sharing of all including all power and what these two
evolutionary psychologists called "vigilant sharing." We could sure
use some old fashioned "vigilant sharing" these days.
True tradtional values not con servatism with the stress on the con with some quid put into the quid pro quo to get to the status in the status quo!
True tradtional values not con servatism with the stress on the con with some quid put into the quid pro quo to get to the status in the status quo!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น