วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

223. อันเนื่องมาจากข่าวแองเจลินา ตัดเต้านม ขจัดเซลมะเร็ง


อันเนื่องมาจากข่าวแองเจลินา ตัดเต้านม ขจัดเซลมะเร็ง
5-17-13



บทความนี้ มี ๒ ด้าน

๑.      จริยธรรม และ ความเป็น “มนุษย์” ของบรรษัท (ในสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ ได้ให้สิทธิ์เป็น “บุคคล” ที่มีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายเหมือน พลเมืองมีชีวิตคนหนึ่ง) ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์/นักวิชาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ ที่ยอมรับความเป็นทาสต่อระบบกำไร หรือ ปิตา+ทุนธิปไตย   และผลักความรับผิดชอบต่ออนาคตของมนุษยชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกับเรา (หรือ สิทธิของพระแม่ธรณี หรือ องค์รวมพิภพโลก) ให้เป็นรอง/ลำดับท้าย 

๒.      การรักษามะเร็ง ด้วยการผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง ไม่จำเป็นจะทำให้หายขาดจากโรคร้าย     เพราะต้นเหตุส่วนใหญ่มาจากวิถีชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โภชนาการและลีลาชีวิต ทำให้เกิดมลภาวะในกายและจิต ผลคือ ลดภูมิต้านทาน และ พลังการเยียวยาตัวเองของมนุษย์ ที่บรรพชนของเราได้วิวัฒนาการ เป็นมรดกแต่กำเนิด มาระดับเซลและเม็ดเลือด    เราทำลายตัวเองด้วยการตามใจปาก สยบต่อรูปลักษณ์ กลิ่นรส “อาหาร” ที่เย้ายวน หรือ สะดวกซื้อ ราคาถูก (เพราะนโยบายรัฐหนุนการเงิน)  รวมทั้งยอมให้มีการ “เติมพิษ” ลงใน เกษตรกรรม  แปรรูป อย่างแพร่หลาย ในนามของ “การพัฒนา” และ เสแสร้งว่าเป็นการช่วยบรรเทาความหิวโหย ทั้งๆ ที่ต้นเหตุของความ “ยากจน” และ “หิวโหย”     ไม่ใช่โลกผลิต/พระแม่ธรณีประทานให้ได้ไม่พอให้ทุกคน  แต่เพราะ ความโลภแบบเปรต/การสะสม กอบโกยอย่างไม่ลืมหูลืมตา ที่ไม่ยอมให้มีการกระจายแบ่งปัน เกื้อกูล    เรื่องการผูกขาดกำไร ล้วนเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยยุคอาณานิคม ตลอดจนเป็นจุดเสื่อมของอาณาจักรราชวงศ์โบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาจักรโรมัน     ตัวอย่าง The Famine in Bengal เป็นต้นแบบของความอยุติธรรมดังกล่าว...ไม่ใช่เพราะเกษตรกรรมแบบเดิม ผลิตไม่พอเลี้ยงประชากร แต่เป็นความอดอยากมนุษย์สร้าง    (การศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ให้รู้เท่าทันกิเลสในกระแสเศรษฐกิจ-การเมือง ที่บงการในคราบมนุษย์ ป้องกัน ต่อสู้ ไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอยู่ในรูปแบบต่างๆ    เพราะเราทุกคน ถูกดึงให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นั้น – ทางตรง ทางอ้อม, เป็นฝ่ายได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบ – การศึกษา เช่นนี้ ทำให้เรารู้เท่าทัน และรู้ว่ามีทางเลือก ที่จะกำหนดชะตากรรมด้วยสติและปัญญา แทนที่จะดูดาย  มองตัวว่าเป็นเพียงสวะที่กระแสน้ำพัดพาไป)   

กล่าวโดยย่อ เราพึ่งการแพทย์กระแสหลักมากเกินไป จนยอมให้บรรษัทกดขี่  ทั้งเราและพระแม่ธรณี   ในความเป็นจริง เรามีทางเลือก แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีสะดวกซื้อ มักง่าย ติดสุข



อาหาร เป็นปัจจัยแรก ของปัจจัย ๔ พื้นฐาน—อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, ยารักษาโรค และ ที่อยู่อาศัย— (ปัจจัยอื่นที่งอกมาใน “ยุคสมัยใหม่ที่ไร้การพัฒนา” ล้วนเป็นของมักง่าย ส่วนเกิน)    ทุกชีวิตในโลก รวมทั้งพืชและสัตว์ ตั้งแต่ไดโนเสาร์ จนถึง อบีมา ต้องกินอาหาร    แต่มนุษย์ เป็นเพียงสายพันธุ์เดียวที่ทำลายแหล่งอาหารของตน   ส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ ได้กลายเป็นพยาธิ  และคน ซึ่งเปรียบเหมือน “เซล” ในร่างกายของโลก และ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์—จากอดีต สู่ อนาคต—บางเซลได้เริ่มกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง   

ระบบอุตสาหกรรม และ เทคโนโลยี ที่กระจุกตัว  อยู่ในมือของนายทุน นักลงทุน นักบริหาร นักวิทยาศาสตร์ ผู้ผลิต และ ผู้บริโภค ที่ลดตัวสยบต่ออำนาจพระเจ้าเงินตรา  เป็นเซลมะเร็ง

เงินเป็นเพียง “น้ำมันหล่อลื่น” หรือ “เลือด” ที่เป็นพาหะนำส่งสารอาหาร   เลือดมีหลายชนิด หลายหน้าที่ เพื่อธำรงหล่อเลี้ยงชีวิต    แต่เมื่อมีเซลกลายพันธุ์ (ในทางกลับกัน ภูมิคุ้มกัน เซลเยียวยาอ่อนแอ) เช่น มะเร็ง อันเป็นเซลแห่งความโลภที่ชอบอาหารขยะ ก็จะ “คดโกง” ดึงเลือดไปเลี้ยงตัวเอง  แน่นอน ย่อมขัดขวางไม่ให้ไปเลี้ยงอวัยวะอื่นๆ (เข้าไม่ถึงสารอาหาร)

มนุษย์ทุกคนมีทั้ง เซลมะเร็ง และ เซลต้านมะเร็ง ในตัวทุกคนอยู่แล้ว  โดยธรรมชาติ มันอยู่ในภาวะสมดุล (Dr. Tom Wu/เรืองชัย รักศรีอักษร แปล. 2553. ธรรมชาติช่วยชีวิต. หน้า 36)   วิถีชีวิตหลงผิดใน “ยุคสมัยใหม่ที่ไร้การพัฒนา” ของไทยเรานี้แหละ ที่เป็นต้นเหตุของโรคยอดฮิต ที่กระทรวงสาธารณสุข มั่นหมายจะพิชิต นั่นคือ โรคเบาหวาน  ความดัน  ไขมัน/คลอเรสเตอรอล (เลว) สูง  หัวใจ และ มะเร็ง    การแก้ไม่ใช่ด้วยความรุนแรงตามแบบแพทย์กระแสหลัก แต่การหยุดพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตผิดๆ  ถือเบาธรรมชาติ

การตั้งสติ หันกลับมาพิจารณาวิถีชีวิตของตัวเอง – อาหาร  อากาศ-นิเวศ  ออกกำลังกาย และอารมณ์-จิตวิญญาณ—เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้กับอำนาจผูกขาดของ ปิตา+ทุนธิปไตย 

ในข่าวร้าย ก็มีข่าวดี นั่นคือ การแพทย์ได้เริ่มประกาศรับรอง โภชนบำบัดและการปรับพฤติกรรม ว่ารักษาโรคร้ายได้ไม่แพ้กัน--อาจดีกว่าด้วยซ้ำ--กับวิธีการแพทย์กระแสหลัก เช่น Dr. Dean Ornish, MD (แพทย์ศัลยกรรมหัวใจ สหรัฐฯ)  (ชมฟังต้นฉบับได้ที่  http://www.youtube.com/watch?v=QYmInK5xo6g  หรืออ่านบทแปลได้ที่ wari-wari2011.blogspot.com  บทแปล #143)   และในไทย นพ. บุญชัย อิศราพิสิษฐ์  แพทย์กระแสหลักที่เป็นมะเร็งและหันมาใช้โภชนบำบัด...อันเป็นการค้นพบ/ประจักษ์ด้วยตนเอง (หนังสือ ปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพ)   ที่สำคัญ บ้านไร่ไพโรจน์ ได้คิดค้น และสร้างสูตรอาหารอินทรีย์หลากหลาย ๑๔ วัน ด้วยการใช้หลักแมคโครไบโอติคและพลังหยิน-หยาง  ซึ่งเริ่มจากการรักษาตัวเอง สู่การช่วยรักษาเพื่อน และตอนนี้ ได้ตั้งใจขยายเป็นโครงการ “น้ำท่วมกินผัก”  (ดู www.fcthai.com) หวังให้เกษตรกรอินทรีย์รายย่อยได้รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และ ผู้บริโภคเดินถนน สามารถเข้าถึง และ ฟื้นฟูพลังเยียวยาตัวเอง-รักษาโรคได้ ซึ่งเป็นการลดค่าหมอค่ายาที่ไม่จำเป็น

การต่อสู้เพื่อให้สังคมไทยเป็นธรรม ได้เกิดขึ้นมาตลอด และดูเหมือนจะข้ามพ้นธรณีประตูในสมัยต้มยำกุ้ง (๒๕๔๐) เมื่อพลังประชาสังคมพังประตูอำนาจรัฐ / หรือ อำนาจรัฐยอมเปิดประตูให้ เข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญได้   จิตวิญญาณของความเป็นธรรมของปวงประชาชาวไทยยังมีอยู่ และพี่น้องก็ต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง หลายด่าน หลายด้าน หลายระดับ ... ทั้งบนกระดาษ  ทางเท้า  ทางปาก  การแสดง ฯลฯ   ทุกวันนี้ พี่น้องก็ยังคงต่างคนต่างสู้ต่อไป—ดูเหมือนยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น--แยกกันไปตามประเด็น ตามโครงการ ตามกลุ่มเป้าหมาย ตามเงื่อนไขเจ้าของทุน หรือ ตามกำลังจิตอาสา ฯลฯ จนนักการเมืองหยิบจุดอ่อนของรอยแตก กลับมาสร้างภาพตีกลับว่า การเรียกร้องสิทธิ์ เป็น “ขยะ” หรือ “ไม่รักหน้าตาบ้านเมือง/ขายหน้า” หรือ ขวางทางสู่ “เออีซี” ตลอดจน “เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเสียสละให้ประเทศชาติ คนหมู่มาก” ฯลฯ    การต่อสู้ยากเข็ญขึ้น เพราะเลือด คือ สายเงินถูกกาลักน้ำด้วยกลไกการสุมหัวร่วมกันของความโลภและไร้หิริโอตัปปะในคราบนักการเมืองและนักธุรกิจข้ามชาติ/ในชาติ/ท้องถิ่นที่ยอมสยบเป็นทาสอำนาจเงินกำไร  รวมทั้งสื่อพาณิชย์ ที่ทำหน้าที่ร่ายมนตร์สะกดจิต  ล้างสมองทุกขณะ ทุกซอกทุกมุม ให้ยึดปัจเจก-วัตถุนิยมเป็นสรณะ

ไม่ว่าจะอย่างไร เราทุกคนต้องกินอาหาร  สิทธิขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนควรมี คือ อาหารอินทรีย์ และ ความหลากหลาย (เพราะเรารู้แล้วว่า เซลและเลือดของเราวิวัฒนาการมาจากพืชผักผลไม้ และเนื้อสัตว์—เล็กน้อย—อินทรีย์...ซึ่งอยู่มาหมื่นล้านปี จนกระทั่งเมื่อศตวรรษ หรือ ห้าสิบปีก่อน) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยอยู่บน “แหลมทอง” ที่ (เคย) มีทองมาก เพราะธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ป่าดงดิบที่เคยปกคลุมขวานทอง ได้ถูกแปรเปลี่ยนไปมากพอหรือยัง  หรือว่าจะต้องเข่นฆ่ารุกไล่ครอบครัวชาวไร่ชาวนารายย่อยให้หมดสายพันธุ์ไป

การตั้งสติหันมาเรียกร้องสิทธิอาหารอินทรีย์  เชื่อมต่อสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์รายย่อย (ที่เหลืออยู่ไม่มาก และตอนนี้ เริ่มมีการรวมตัว เช่น Towards Organic Asia www.schoolforwellbeing.org, และ ตลาดสีเขียว www.thaigreenmarket.com  ที่ร่วมกันจัด Green Fair ประจำปีครั้งที่ ๖ ที่เพิ่งผ่านพ้นไป...เป็นการพยายามสร้างพลังผู้บริโภคสีเขียวในไทย ในภาคพื้นเอเชีย และในโลก  นอกจากนี้ ก็มีกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์กระจัดกระจายในจังหวัดต่างๆ อาจอยู่ภายใต้โครงการชื่อต่างๆ) จะเป็นพลังส่งเสริม โน้มน้าว ชักจูง ให้เกษตรกร “ติดหล่ม” “หลงผิด” ให้หันกลับมาทำหน้าที่โดยไม่ต้องผิดศีล หลอกตัวเอง (ใช้สารเคมีเต็มที่ในแปลงขาย แต่เก็บแปลงส่วนตัว...เพราะรู้ว่าได้เติมพิษ ไม่กล้ากินของที่ตัวขาย  เพราะผู้บริโภคต้องการกินสวยๆ ฯลฯ)

พลังผู้บริโภค ทั้งหญิงและชาย  หากเชื่อมตรงกับ พลังผู้ผลิต โดยตรง...เริ่มต้นจากเกษตร-อาหารอินทรีย์ (ไม่ใช่แปรรูปหนัก หรือ ไฮโดรโปนิค ทำนองนั้น) บนฐานของหลักอริยสัจ ๔ และสัจจะ อาจช่วย ฟื้นฟูสุขภาพ คน-นิเวศ ทั้งกายและจิต ให้ร่วมกันพลิกผันวิกฤตโลกร้อน อย่างน้อยช่วยชะลอ...เพื่อลูกหลานในอนาคตจะได้ไม่สาปแช่งรุ่นของเราว่าสะเพร่า ฟุ่มเฟือย ไร้ความรับผิดชอบ

แม้พระแม่ธรณีจะป่วยหนัก แต่ก็ยังไม่ขาดใจตาย    ความมหัศจรรย์ของพระแม่ธรณียังมีอยู่ แต่ตอนนี้ ไม่ได้ฟรีเหมือนเดิม  เราต้องเลือก เราต้องทำงาน—เริ่มจากจานอาหารของเรา แตะมือกับแหล่งที่มา และผู้ผลิตรายย่อย แบบพี่น้องครอบครัวเดียวกัน, ลูกหญิงชายของพระแม่ธรณี, ไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไป.     เช่นเดียวกับแองเจลินา  ความป่วยมีอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงของกระแสหลัก (ราคาแพง)  กำจัดปัญหา แบบลัดนิ้วมือเดียว เพื่อจะได้รีบกลับไปแสดงหนังทำเงิน หรือ หวนกลับสู่วิถีหรือลีลาชีวิตในกระแสหลักของ ปิตา+ทุนธิปไตย ที่ปรนเปรอ สะกดจิต.  ความรู้สู่ทางเลือก-ทางรอด มีอยู่   จะรอดหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจของเรา—คนทุกคน ในฐานะผู้บริโภค และ ผู้ผลิต—จะเลือกทางไหน.  ตอนนี้ กระแสหลักมีแรงเฉื่อย (momentum) พามาจนยืนที่ขอบเหวสู่หลุมดำ   ถ้าต้องการจะรอด จะต้องเร่งจับมือกันให้เกิดมวลวิกฤต (critical mass) ที่มากพอจะชะลอการหลุดเข้าหลุมดำ.  เราทุกคนมีส่วนกำหนดทิศทาง ชะตากรรมของย่างก้าวข้างหน้า...เริ่มจากในสู่นอก.

หรือ ทางสุดท้าย อาจเริ่มฝึกจิตให้ปล่อยวาง ดังที่คุณชัยวัฒน์เสนอความเห็น  คือ สามารถควบคุมให้จิตดิ่งสงบได้เมื่อความตายมาถึง จะได้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องหวนกลับมารับวิบากจากวาระจิตวุ่น เครียด ตกต่ำเฮือกสุดท้าย เพราะ โลกในชาติหน้า อาจหน้าตาไม่เป็นแบบนี้อีกต่อไป...หากท่านเชื่อในกฎแห่งกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น