274.
Common
Dream to Unlock from Tyranny of Toxin-GMO Corporate Giants
Hawaii's
Local Struggle in the Global Movement for Food Justice
การต่อสู้ระดับท้องถิ่นของฮาวาย
ในขบวนการโลกเพื่อความเป็นธรรมด้านอาหาร
-แอนเดรีย
โบรเวอร์
ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล
Activists
on Kauai protest GMOs. (Photo courtesy of the author)
There is a powerful and growing
movement in Hawaii to protect our land, water and people’s health from the
impacts of the agrochemical-GMO industry — corporate giants Dow, Pioneer
DuPont, Syngenta, Monsanto, BASF. The industry has been using our fragile and
treasured islands since the 1990s as one of their main testing grounds for
experiments engineering new chemical-crop combos, biopharmaceuticals, and other
agrochemical products. They pollute our environmental commons as they pirate
(“patent”) our global genetic commons in order to make massive amounts of
wealth for a very few.
มีการขับเคลื่อนที่ทรงพลังและขยายตัวมากขึ้นในฮาวายเพื่อปกป้องที่ดิน,
น้ำ และสุขภาพของประชาชนของพวกเราจากผลกระทบของอุตสาหกรรมจีเอ็มโอ-เคมีภัณฑ์—บรรษัทยักษ์ใหญ่
ดาว, ไพโอเนียร์ ดูปองต์, ซินเจนตา, มอนซานโต, บาสฟ์. อุตสาหกรรมพวกนี้ได้ใช้เกาะที่บอบบางและล้ำค่าของพวกเราตั้งแต่ทศวรรษ
๒๕๓๓- ให้เป็นพื้นที่ทดลองวิศวกรรมผสมปนเปพืชเคมีชนิดใหม่, เภสัชกรรมชีวภาพ,
และผลิตภัณฑ์เคมีเกษตรอื่นๆ.
พวกเขาทำให้สิ่งแวดล้อมอันเป็นสมบัติร่วมของพวกเราเปรอะเปื้อนเป็นพิษ
ในขณะที่พวกเขาทำตัวเป็นโจรสลัดปล้น (“สิทธิบัตร”) แหล่งพันธุกรรมร่วมในโลกของเรา
เพื่อสร้างความมั่งคั่งมหาศาลแก่คนเพียงหยิบมือ.
In our struggle, we are connected in
solidarity with people around the world who are facing varied forms of
exploitation and devastation stemming from the corporate capitalist food
system. From land-grabbing and hunger, to farmer debt and agricultural
slave-labor, to deforestation and climate change, our struggles are connected
by a common root — a food system driven by the logics of commodification,
profit-maximization and concentration of wealth and power. We resist and build
together, inspired by our knowing that a more democratic, sustainable and
equitable food system is not only possible, but that it is what the vast majority
of us want.
ในการต่อสู้ของเรา,
พวกเราได้เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนทั่วโลกผู้กำลังเผชิญกับรูปแบบการกดขี่ขูดรีดและทำลายล้างต่างๆ
จากระบบอาหารบรรษัททุนนิยม. จากการฉกฉวยที่ดินและความหิวโหย,
ถึงหนี้สินเกษตรกร และ แรงงานทาสในการเกษตร, ถึงการตัดไม้ทำลายป่าและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง,
การต่อสู้ของเราเกาะเกี่ยวกันด้วยรากเหง้าร่วม—ระบบอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยตรรกะของการแปลงทุกอย่างให้เป็นสินค้า,
ทำกำไรสูงสุด และ การกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอำนาจ. พวกเราขอต่อต้านและขอสร้างด้วยกัน,
ด้วยแรงบันดาลใจจากความรู้ที่ว่า ระบบอาหารที่มีความเป็นประชาธิปไตย, ยั่งยืน และ
เสมอภาค ไม่เพียงแต่เป็นไปได้, แต่เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่มหาศาลต้องการ.
We share our story as part of this
rising awareness of our common struggle.
เราขอแบ่งปันเรื่องราวของพวกเรา อันเป็นส่วนหนึ่งของความตื่นรู้ที่เอ่อเพิ่มมากขึ้นของการต่อสู้ร่วมของพวกเรา.
Since GMO testing began in Hawaii,
over 3,000 permits have been granted for open-air field trials, more than in
any other state in the nation. In 2012 alone, there were 160 such permits
issued on 740 sites. Kauai, the fourth largest of the main islands and known as
the “Garden Isle,” has the highest number of these experimental sites. On Kauai
alone these sites are associated with the use of 22 “restricted-use pesticides”
(RUPs) in the amount of approximately 18 tons of concentrate each year, as well
as perhaps 5 times that amount of non-restricted pesticides such as glyphosate.
ตั้งแต่การทดสอบ
จีเอ็มโอ เริ่มขึ้นในฮาวาย, มีการออกใบอนุญาตกว่า ๓,๐๐๐ ใบเพื่อการทดลองกลางแจ้ง, ซึ่งมากกว่าในรัฐอื่นๆ
ของประเทศ. ลำพังในปี ๒๕๕๕, มีการออกใบอนุญาต
๑๖๐ ใบ สำหรับทำการบน ๗๔๐ พื้นที่. คาวาย,
เกาะใหญ่สุดอันดับสี่ และเป็นที่รู้จักว่า “เกาะสวน”, มีพื้นที่ทดลองเช่นนี้มากที่สุด. ลำพังบน คาวาย พื้นที่เหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้
“ยากำจัดศัตรูพืชที่ถูกจำกัดการใช้” (RUPs) ๒๒ รายการ ในปริมาณประมาณ ๑๘ ตันประเภทเข้มข้น ทุกปี, ตลอดจน อาจจะ ๕
เท่าของปริมาณยากำจัดศัตรูพืชที่ไม่ถูกจำกัดการใช้ เช่น ไกลโฟเสต.
We know, from information obtained
solely due to a lawsuit, that Pioneer DuPont alone has used 90 pesticide
formulations with 63 active ingredients in the past 6 years. They apply these
pesticides around 250 (sometimes 300) days each year, with 10-16 applications
per day on average. For a small island ecosystem, these numbers are astounding.
We have no similar information from any of the other companies — Dow, Syngenta
or BASF.
เรารู้,
จากข้อมูลที่ได้จากการดำเนินคดี, ว่า ลำพัง ไพโอเนียร์ ดูปองต์ ใช้ ยากำจัดศัตรูพืช
๙๐ สูตร ที่มีตัวยาในสารประกอบ ๖๓ ตัวในช่วงเวลา ๖ ปีที่ผ่านมา. พวกเขาใช้ยากำจัดศัตรูพืชประมาณ ๒๕๐ (บางที
๓๐๐) วันต่อปี, ด้วยการฉีดเฉลี่ย ๑๐-๑๖ ครั้งต่อวัน. สำหรับระบบนิเวศเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง,
ตัวเลขขนาดนี้น่ากลัวมาก.
เราไม่มีข้อมูลแบบเดียวกันนี้จากบริษัทอื่นๆ—ดาว, ซินเจนตา หรือ บาสฟ์.
The agrochemical-GMO industry
occupies nearly all of the leased agricultural lands on the west side of Kauai
— in total over 15,000 acres in close proximity to schools, residences,
hospitals and waterways. More than half of these lands are State Lands,
disputed lands that were usurped in the overthrow and following US annexation
of the independent Kingdom of Hawaii. At the very least, according to the
State’s own laws, these lands are to be managed for the common good of Hawaii’s
people, and especially for the betterment of the conditions of Native
Hawaiians.
อุตสาหกรรม
จีเอ็มโอ-เคมีเกษตร ทำการในพื้นที่เกษตรให้เช่าเกือบทั้งหมดในซีกตะวันตกของ คาวาย—ทั้งหมดกว่า
๑๕,๐๐๐ เอเคอร์ ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียน, ที่อยู่อาศัย, โรงพยาบาล และ
ทางน้ำไหล. กว่าครึ่งเป็นที่ดินของรัฐ,
ที่ดินทับซ้อนที่ถูกแย่งชิงมาด้วยการโค่นอำนาจ และ หลังจากที่สหรัฐฯ
ยึดครองราชอาณาจักรฮาวายที่เป็นเอกราชมาก่อน.
อย่างน้อยที่สุด, ตามกฎหมายของรัฐเอง, กำหนดให้รัฐจัดการที่ดินเหล่านี้ เพื่อผลประโยชน์ร่วมของประชาชนฮาวาย,
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อทำให้สภาพของชาวถิ่นฮาวายดีขึ้น.
The industry often states that they
came to Hawaii because we have a year-round growing season. But it’s not just
our good weather they were after. They came because they saw us as an
exploitable community, left with an economic void when the sugar plantations
hastily exited. Our state was challenged to think outside of the box of
plantation agriculture after 150 years of it. The agrochemical-GMO companies
saw a community of mostly working-class people, already conditioned to accept
an industry that exports all of its profits and leaves behind nothing but
pollution, health bills and unsafe, low-paying jobs. They came because, despite
our enlightened state motto — Ua Mau ke Ea o ka ‘Aina i ka Pono (the life of
the land is perpetuated in righteousness) — we allow them
to get away with doing things that they wouldn’t be allowed to do in many other
places.
อุตสาหกรรมนี้
มักจะบอกว่า พวกเขามาฮาวายเพราะ พวกเรามีฤดูกาลที่เพาะปลูกได้ตลอดปี. แต่ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศที่ดีของพวกเราที่พวกเขาถามหา. พวกเขามา เพราะพวกเขาเห็นว่า พวกเราเป็นชุมชนที่กดขี่ขูดรีดได้,
ที่มีสุญญากาศเชิงเศรษฐกิจหลังจากที่สวนเศรษฐกิจอ้อยได้ออกไปอย่างรีบร้อน. รัฐของเราถูกท้าทายให้คิดนอกกล่องของสวนเศรษฐกิจเกษตร
หลังจากที่ใช้มันอยู่ถึง ๑๕๐ ปี. บริษัท
จีเอ็มโอ-เคมีเกษตร มองเห็นชุมชนที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงาน,
ที่ถูกสะกดให้ยอมรับอุตสาหกรรมที่ส่งออกเม็ดเงินกำไรทั้งหมด และ
ไม่ทิ้งอะไรเลยไว้ข้างหลังนอกจากมลภาวะ, ใบเสร็จค่ายา และ งานไม่ปลอดภัย
ค่าแรงต่ำ. พวกเขามา เพราะ, ทั้งๆ
ที่เรามีคำขวัญประจำรัฐว่า--ชีวิตของแผ่นดิน ตั้งอยู่ในความเป็นธรรม—เรายอมให้พวกเขารอดตัวไปได้ด้วยการกระทำสิ่งที่ไม่มีใครอนุญาตในที่อื่นๆ
มากมาย.
Residents of Kauai currently do not
have the right to know what is happening on our agricultural lands, nor how
these activities are affecting our common air, water and soil. We do not know
which pesticides are being used, where, in what amounts, how they are being
mixed, or what their cumulative impacts might be. We also know nothing about
the experimental GMO crops being tested. Even when the federal government
determines that new pesticide-GMO crop combos significantly affect the quality
of the human environment — as the USDA did in the recent case of 2,4-D and
dicamba resistant crops — we have no way of knowing whether they were tested
here and what their impacts might have been.
ชาวบ้าน
คาวาย ปัจจุบัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในแผ่นดินเพาะปลูกของเรา,
หรือว่า กิจกรรมเหล่านี้กำลังกระทบสมบัติร่วมของเรา—อากาศ, น้ำ และ ดิน--อย่างไร. เราไม่รู้ว่า ยากำจัดศัตรูพืชตัวไหนกำลังถูกใช้,
ที่ไหน, ปริมาณเท่าไร, มีการผสมอะไร อย่างไร, หรือ ผลกระทบสะสมของพวกมันเป็นอย่างไร. เราก็ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทดลองพืช
จีเอ็มโอ. แม้ว่า
รัฐบาลกลางจะได้ตัดสินแล้วว่า การผสมผสานพืช จีเอ็มโอ-ยากำจัดศัตรูพืชชนิดใหม่
มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพของสภาพแวดล้อมของมนุษย์—ดังที่กระทรวงเกษตร ได้กระทำในกรณี
ของพืชที่ดื้อยา 2,4-D และ ไดกัมบา—เราไม่มีทางรู้เลยว่า
พวกมันถูกใช้ทดสอบที่นี่หรือไม่ และ ผลกระทบของมันจะเป็นอย่างไรได้บ้าง.
We are currently struggling to pass
a Kauai County bill that would require pesticide disclosure and set-up a buffer
zone between the spraying and residential areas. The bill would require that
the county conduct an Environmental Impact Statement, and in the meantime put a
moratorium on new operations. It would also mandate that experimental pesticides
and GMOs be tested in containment rather than in the open-air.
ปัจจุบัน
เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ออก พรบ จังหวัดคาวาย
ที่บังคับให้เปิดเผยตัวยากำจัดศัตรูพืช และ จัดตั้งพื้นที่กันชนระหว่างพื้นที่ๆ
ฉีดยา และ บริเวณที่อยู่อาศัย. พรบ
นี้บังคับให้จังหวัดทำการแถลงการณ์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, และในเวลาเดียวกัน
ให้ระงับการดำเนินการใหม่.
มันยังบังคับให้การทดลองยากำจัดศัตรูพืช และ จีเอ็มโอ ให้กระทำในที่ปิด
แทนที่จะทำในกลางแจ้ง.
The pesticides the bill pertains to
are not the type you purchase at Ace Hardware. They are “restricted-use
pesticides” (RUPs) because they are recognized as extremely dangerous. Atrazine
(produced by Syngenta), for example, is known to cause birth defects, cancer
and reproductive issues. Lorsban (produced by Dow) is known to cause impaired
brain and nervous system functions in children and fetuses, even in minute
amounts. The EPA has determined that the risks to children are so severe,
Lorsban should not be used anywhere they could be exposed. Studies show that
other RUPs being used are linked to brain cancer, autism, and heart and liver
problems.
ยากำจัดศัตรูพืชที่
พรบ กล่าวถึง ไม่ใช่ประเภทที่คุณจะหาซื้อได้ที่ เอซ ฮาร์ดแวร์. มันเป็น “ยากำจัดศัตรูพืชที่ถูกจำกัดการใช้” (RUPs) เพราะมันถูกจัดว่า อันตรายสุดๆ. อะตราซีน (ผลิตโดย ซินเจนตา),
เป็นตัวอย่างหนึ่ง, เป็นที่รู้กันว่า ทำให้พิการแต่กำเนิด, มะเร็ง และ
ปัญหาอนามัยเจริญพันธุ์. ลอร์สแบน
(ผลิตโดยดาว) เป็นที่รู้กันว่า เป็นสาเหตุให้เสื่อมเสียในสมองและระบบประสาทในเด็กและตัวอ่อน,
แม้จะสัมผัสในปริมาณเล็กน้อยมากก็ตาม.
สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม อีพีเอ ได้ตัดสินว่า เด็กมีความเสี่ยงรุนแรงมาก,
ลอร์สแบน ไม่ควรถูกใช้ในที่ใดที่เด็กอาจสัมผัสถูกได้. งานศึกษาแสดงให้เห็นว่า RUPs ตัวอื่นๆ ที่ถูกใช้อยู่ เชื่อมโยงกับมะเร็งในสมอง, ออติสติก,
และปัญหาหัวใจและตับ.
Despite national laws that prohibit
RUP drift, atrazine, chlorpyrifos (Lorsban) and bifenthrin have made it into
the drinking water or air at Waimea Canyon Middle School, almost certainly the
result of spraying by the chemical-GMO operations around the school. On several
occasions children and teachers have become very ill. In one incident at least
10 children collapsed and were sent to the hospital. An investigation into the
matter was strikingly incomplete, testing for only 6 of the 63 active pesticide
ingredients used on just one of several neighboring operations, and completely
neglecting acute exposure.
ทั้งๆ
ที่มีกฎหมายระดับชาติที่ห้ามใช้ RUPs, อะตราซิน, คลอร์ไพริโฟส (ลอร์สแบน) และ ไบเฟนธริน
ได้เล็ดลอดเข้าไปอยู่ในน้ำดื่ม หรือ อากาศที่ โรงเรียนมัธยม ไวมีอา แคนยอน,
เกือบแน่ใจได้เลยว่า เป็นผลจากการฉีดเพื่อดำเนินการ จีเอ็มโอ-เคมีภัณฑ์ รอบๆ
โรงเรียน. ในหลายๆ เพลา เด็กนักเรียนและครู
ล้มป่วยหนัก. ครั้งหนึ่ง อย่างน้อยเด็ก ๑๐
คน ล้มลงหมดสติ และ ถูกนำส่งโรงพยาบาล. การสอบสวนหาสาเหตุ
ไม่ได้สืบสาวให้ถึงต้นตออย่างเห็นได้ชัด, ด้วยการทดสอบตัวยาเพียง ๖
ตัวในสารประกอบของยากำจัดศัตรูพืชที่มีถึง ๖๓ ตัว กับเพียงหนึ่งบริเวณ ในบรรดาหลายพื้นที่ๆ
ดำเนินการอยู่ในละแวกบ้าน,
และก็มองข้ามประเด็นโอกาสการสัมผัสสารเหล่านั้นซึ่งสูงมาก.
It is morally abhorrent that the
companies have refused to disclose even the most basic information we need to
protect our health, and are now fighting our very reasonable attempt for more
transparency. The severity of their backlash and the massive resources they are
pouring into subverting our efforts is clear indication that they consider
transparency a real threat. These corporations are accustomed to externalizing
all of their costs onto workers, communities and the environment. The prospect
of being held accountable is an alarming one because their massive profits come
at the expense of forcing the rest of us to pick up their health and
environmental remediation bills.
มันเป็นการผิดศีลธรรมอย่างน่ารังเกียจที่บริษัทปฏิเสธที่จะเปิดเผยแม้แต่ข้อมูลพื้นฐานที่สุด
ที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่อป้องกันสุขภาพของพวกเรา,
และก็กำลังต่อสู้เพื่อให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น.
การตีตลบกลับอย่างรุนแรง และ ทรัพยากรมหาศาลที่พวกเขาทุ่มเพื่อล้มล้างความพยายามของเรา
เป็นดัชนีชัดเจนว่า พวกเขาเห็นว่า ความโปร่งใส เป็นเรื่องคุกคามที่แท้จริง. บรรษัทเหล่านี้
เคยชินกับการปัดต้นทุนภายนอกทั้งหมดใส่คนงาน, ชุมชน และ สิ่งแวดล้อม.
ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับตัวให้ทำตัวเป็นที่เชื่อถือได้นี้
ทำให้พวกเขาตกใจกลัว เพราะ กำไรมหาศาลของพวกเขาได้มาจากการบังคับให้พวกเราตามจ่ายใบเสร็จค่ายาค่ารักษาโรค
และ การบำบัดสิ่งแวดล้อม.
Their tactics have been predictably
vile. As they are doing to farmers, communities and nations across the globe,
they are threatening to sue us. They are claiming that under Hawaii’s “Right to
Farm Act” they are not responsible for any off-sight impacts. At the same time
they are marketing themselves publicly as “responsible community members” and
“stewards of the land.” They are buying local lobbyists with connections. They
are breaking national laws and then claiming they are already over-regulated.
They are slandering scientists who raise questions. They are outright lying,
deceiving and offending our intelligence.
เล่ห์กลที่พวกเขาใช้
คาดได้เลยว่าเลวทราม. ในขณะที่พวกเขากระทำต่อเกษตรกร,
ชุมชน และ ชาติต่างๆ ทั่วโลก, พวกเขาขู่ว่าจะฟ้องร้องพวกเรา. พวกเขาอ้างว่า ภายใต้ “พรบ สิทธิในการทำเกษตร”
ของฮาวาย พวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มองไม่เห็นใดๆ. ในขณะเดียวกัน พวกเขากำลังเร่ค้าตัวเองอย่างเปิดเผยว่าเป็น
“สมาชิกที่รับผิดชอบต่อชุมชน” และเป็น “ผู้พิทักษ์แผ่นดิน”. พวกเขาซื้อตัวนักล็อบบี้ท้องถิ่นด้วยเส้นสาย. พวกเขาละเมิดกฎหมายแห่งชาติ
แล้วก็แอบอ้างว่าพวกเขาถูกกำกับควบคุมเกินไปแล้ว.
พวกเขาปรามาสนักวิทยาศาสตร์ที่ตั้งตำถาม.
พวกเขาโกหกอย่างโจ๋งครึ่ม, ตลบตะแลง และดูถูกปัญญาของพวกเรา.
Most upsetting for our community,
these corporations are threatening to take away the jobs of our friends and
neighbors if we force them to disclose their chemical use. Syngenta has had the
audacity to tell their workers that they may decide to close shop on July 31,
the day of the bill’s public hearing. They paid their workers to attend the
first hearing, and it is likely that they will fly people in for the second. Similar
to many other environmental justice issues, the west side community is one of
the most economically disadvantaged in the State. It also has one of the
highest Native Hawaiian populations. Workers are being told that their only
option is to support the long-term poisoning of their families and the land
many of them have inhabited for generations, or risk loosing their livelihoods.
While the industry’s scare tactics are somewhat transparent, they invoke very
real and legitimate fear.
ที่น่าโมโหที่สุดสำหรับชุมชนของพวกเรา
คือ บรรษัทเหล่านี้กำลังข่มขู่ว่า จะลิดรอนงานจ้างของเพื่อนและเพื่อนบ้านของเรา หากพวกเราบังคับให้พวกเขาเปิดเผยสารเคมีที่พวกเขาใช้. ซินเจนตา กล้าบอกกับคนงานของพวกเขาว่า พวกเขาอาจตัดสินใจปิดร้านในวันที่
๓๑ กค, วันที่มีการทำประชาพิจารณ์ พรบ. พวกเขาจ่ายเงินให้คนงานไปร่วมฟังในการประชุมรอบแรก,
และเป็นไปได้ที่พวกเขาจะขนผู้คนใส่เครื่องบินให้ไปฟังรอบที่สอง. ในทำนองเดียวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นธรรมอื่นๆ,
ชุมชนฟากตะวันตก เป็นชุมชนที่ด้อยโอกาสที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐนี้.
มันยังมีชาวถิ่นฮาวายอาศัยอยู่มากที่สุดด้วย. คนงานถูกกรอกหูว่า ทางเลือกเดียวที่มี คือ ให้สนับสนุนการเติมสารพิษระยะยาวให้ครอบครัวของพวกเขา
และ ใส่แผ่นดินที่หลายๆ คนได้อาศัยอยู่มาหลายชั่วคน, หรือ
เสี่ยงต่อการสูญเสียวิถีชีวิตของพวกเขา.
ในขณะที่อุตสาหกรรมใช้เล่ห์เหลี่ยมสร้างความตกตื่น ที่ค่อนข้างชัดเจน,
พวกเขาก็กระตุ้นให้เกิดความกลัวที่เป็นจริงมากๆ และ กฎหมายก็รองรับด้วย.
According to the industry's own high
(undocumented) claims, they provide roughly 2% of jobs on the island. At least
half of these are part-time, seasonal jobs. They bring in temporary cheaper
labor from other countries, undercutting the ability of local workers to push
for better wages and working conditions. Foreign “guest-workers” are amongst
the most vulnerable for workplace abuses. Most, if not all, of the well-paying,
managerial and “high-tech” jobs go to people from the mainland.
ตามข้ออ้าง
(ไม่บันทึกเป็นทางการ) ของอุตสาหกรรมเอง, พวกเขาให้งานจ้างประมาณ 2% บนเกาะ.
อย่างน้อย ครึ่งหนึ่งของพวกนี้ เป็นงานกึ่งเวลา, ที่แปรตามฤดูกาล.
พวกเขานำเข้าแรงงานชั่วคราวราคาถูกว่าจากประเทศอื่น,
เป็นการตัดกำลังคนงานท้องถิ่นที่เรียกร้องค่าแรงและเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่า. “คนงานเยือน” ต่างด้าว
เป็นพวกที่เปราะบางที่สุดต่อการถูกรังแกข่มเหงในที่ทำงาน. ส่วนมาก, หากไม่ใช่ทั้งหมด,
ในบรรดาพวกที่ได้เงินเดือนสูงในระดับผู้จัดการ และ งาน “ไฮเทค”
จะเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่.
The people of Kauai are building an
alternative vision. One in which our economy is more equitable and resilient,
and not dependent on the whims of transnational corporations who can leave at
any moment. One in which we grow healthy food for ourselves, in a way that is
consistent with the value of malama `aina (care for the land). One in which our
agricultural jobs are safe and long-term, and benefits accrue to the workers
rather than transnational corporations. As an island dependent on barges coming
from at least 2500 miles away for 85% of our food, there are huge
possibilities.
ประชาชนของ
คาวาย กำลังสร้างวิสัยทัศน์ทางเลือก.
วิสัยทัศน์หนึ่งที่ เศรษฐกิจของเราจะมีความเสมอภาคและยืดหยุ่นกว่า,
และไม่ต้องเกาะท้ายตามอำเภอใจของบรรษัทข้ามชาติ ผู้โดดหนีไปได้ทุกขณะ. วิสัยทัศน์ที่ พวกเราปลูกอาหารที่สมบูรณ์แข็งแรง
เพื่อพวกเราเอง, ด้วยวิธีการที่สอดคล้องกับคุณค่าของการดูแลรักษาแผ่นดิน. วิสัยทัศน์ที่งานจ้างเกษตรของเรา
เป็นงานปลอดภัยและระยะยาว, และผลประโยชน์เกิดแก่คนงาน
แทนที่จะเป็นบรรษัทข้ามชาติ. ในฐานะที่เป็นเกาะที่ต้องพึ่งเรือใหญ่ที่เดินทางอย่างน้อย
๒,๕๐๐ ไมล์ เพื่ออาหาร 85% ของพวกเรา,
มันมีความเป็นไปได้มากมายยิ่ง.
Locally and globally, we do face
real structural challenges to building a more fair and sustainable food system.
However, possibilities are already present that can begin to move us in the
right direction. At a local level in Hawaii, just a few examples include:
making state lands available and affordable for real farmers, upholding the
public trust doctrine in water law, workers’ cooperatives, research and subsidy
support for sustainable regional food systems, food hubs for cooperative
processing and distribution, supporting soil and water remediation, state ag
parks, food assistance programs, local food procurement policies, waste
reduction and recycling programs, stronger labor protections, and regulations
that prohibit pollution of the finite resources we depend upon.
ในระดับท้องถิ่นและระดับโลก,
พวกเราเผชิญกับสิ่งท้าทายเชิงโครงสร้างจริง
ในการสร้างระบบอาหารที่เป็นธรรมและยั่งยืนกว่า.
แต่, ความเป็นไปได้มีอยู่แล้ว
ซึ่งสามารถเริ่มขับเคลื่อนให้พวกเรามุ่งไปในทิศทางที่ถูก. ในระดับท้องถิ่นของฮาวาย,
เพียงไม่กี่ตัวอย่างเช่น, ทำให้ที่ดินของรัฐเปิดขึ้น หรือ ซื้อไหวโดยเกษตรกรตัวจริง,
เชิดชู ยึดถือหลักการความเชื่อมั่นสาธารณะใน กฎหมายน้ำ, สหกรณ์คนงาน, การวิจัยและการให้เงินสนับสนุน
เพื่อระบบอาหารภูมิภาคที่ยั่งยืน, ศูนย์กลางอาหารเพื่อการแปรรูปและกระจายแบบสหกรณ์,
สนับสนุนการแก้ไขปัญหาดินและน้ำ, สวนเกษตรรัฐ, โปรแกมช่วยเหลือทางอาหาร,
นโยบายการจัดหาอาหาร, โปรแกมการลดขยะและรีไซเคิล,
มาตรการปกป้องแรงงานที่เข้มแข็งขึ้น,
และการควบคุมที่ห้ามการก่อมลภาวะในทรัพยากรอันจำกัดที่พวกเราต้องพึ่งอาศัย.
Critically, these steps must be part
of the global movement to change the underlying logics of the system. We must
resist the structural conditions that create a radically immoral food system,
while we build towards vantage points that allow us to imagine other
possibilities. Perhaps, acting in solidarity, the constraints are not as great
as we think them to be, and what we need above all is to believe that we are
actually capable of creating a more equitable, sustainable and democratic food
system. And so we share our story, as part of the rising global movement that
does indeed believe.
ที่สำคัญยิ่งยวด,
ขั้นตอนเหล่านี้ ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวระดับโลก
เพื่อเปลี่ยนตรรกะที่รองรับระบบนี้.
เราต้องต่อต้านเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่สร้างระบบอาหารที่ผิดศีลธรรม
เลวร้ายอย่างสุดโต่ง,
ในขณะที่เราสร้างสู่ชัยภูมิที่อนุญาตให้เราจินตนาการความเป็นไปได้อื่นๆ. บางที, ด้วยการกระทำอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน,
ข้อจำกัดเหล่านั้นก็อาจไม่ยิ่งใหญ่อย่างที่เราคิด,
และสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเหนือสิ่งใด คือ ความเชื่อที่ว่า เราสมารถสร้างระบบอาหารที่เสมอภาคกว่า,
ยั่งยืนกว่า และ มีความเป็นประชาธิปไตยกว่า ได้จริงๆ. และด้วยประการฉะนี้ เราก็ได้แบ่งปันเรื่องราวของพวกเรา,
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวโลกที่กำลังเอ่อสูงขึ้น
ที่เชื่อเช่นนั้นจริงๆ.
Andrea Brower is a PhD candidate in
the Department of Sociology at the University of Auckland. She has been very
active in alternative food and global social justice movements, and spent
several years co-directing the non-profit Malama Kauai in Hawaii, where she is
originally from.
แอนเดรีย
โบรเวอร์ เป็นนักศึกษาปริญญาเอกในคณะสังคมวิทยา ที่มหาวิทยาลัยอ๊อคแลนด์. เธอมีส่วนร่วมขันแข็งในขบวนการอาหารทางเลือกและสังคมเป็นธรรมในโลก,
และได้ใช้เวลาหลายปี ร่วมอำนวยการในองค์กรไม่แสวงกำไร มาลามา คาวาย ในฮาวาย,
ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ.
Published on Tuesday, July 23, 2013
by Common Dreams
glazedom • 2 days ago
living
in hanapepe, i went under cover to work as an employee for pioneer seed in
waimea kauai in 2003 in an effort to expose the dangers of their illegal use of
pesticides and herbicides. there were an over-abundance of cancer deaths around
the west and south sides and i suspected these poisons of playing a part in
taking our people from us. i worked there for two weeks, actually got very ill
from drinking the water in the employee break room and reported the whole thing
to the department of labor and industrial relations in lihue. the lawyers and reps
from this genetically modified monster lied through their teeth at the
disclosure meeting with the d.l.i.r. and denied everything. there was little
else i felt i could do by myself. i felt as though i was david fighting
goliath. but now all that has changed, and in a huge way ! the people are now
awake ! i am so overjoyed to see the good work people are doing back on the
islands these days . thanks and aloha fill even the bottom of my heart. IMUA !
Keep the faith. Big tobacco wasn't brought down during the
first skirmishes. It can be done.
I traveled that area once, I got lost and ended up at the
Menehune Pond. It is a magical place.
"
As an island dependent on barges coming from at least 2500 miles away for 85%
of our food"
there
is something almost obscene about this number. In a place like Hawaii, I would
think that they could grow just about all the produce they need, right there at
home. But I guess that would not benefit all those who make money just shipping
the food from other places to the Islands of Hawaii.....oil...
Monsanto
recently had organized a counter demonstration to Anti-GMO protests that grow
in numbers. Their protesters carried signs that read 'We have a right to use GMO's'.
The
real problem is the reckless and willful ignorance of those who promote GMO's.
Because they never tell You how much of their beloved super toxic roundup they
are spraying. Glyphosate is one of the most toxic chemicals on the planet, but
if You see the amount of it sprayed by 'gardeners' and 'farmers', knowing that
it destroys the microbial soil substance, that it is carcinogenic beyond
belief, like 1 ingested Part Per Million will do, it appears that those in
favor of GMO's and their connected massive use of roundup, have completely lost
their mind and should be admitted into mental institutions. But hey, it can
always get worse, like this news will tell You. Monsanto gets now help from the
military to get rid of
those pesky Anti-GMO/Anti-Roundup
folks. Who needs freedom when Fascism can be had instead?
From
Pahoa, Hawai'i Island.
War
Pigs of Mordor
If we can organize 100% green organic food networks selling their product in a new international e-currency based on Hansen's carbon dividends we can finally stick it to the Military Industrial Food Complex and provide an incentive for ethical food and energy. This would kick the balls out of the Nation State Corporate Corruption.
http://www.youtube.com/watch?v...
http://www.youtube.com/watch?f...
If we can organize 100% green organic food networks selling their product in a new international e-currency based on Hansen's carbon dividends we can finally stick it to the Military Industrial Food Complex and provide an incentive for ethical food and energy. This would kick the balls out of the Nation State Corporate Corruption.
http://www.youtube.com/watch?v...
http://www.youtube.com/watch?f...
I'll
bet Hawaii can ban Monsanto because they are like West-Coasters on endorphins
that their beautiful Natural environment gives them and they will fight like
BANCHES to preserve that PARADISE, AMEN!
PS They also have had experience with ridding the place of other pigs that also were threatening the fauna a little while ago.
PS They also have had experience with ridding the place of other pigs that also were threatening the fauna a little while ago.
during ww2 my dad took 'liberty' in hawaii and also
took pictures. i liked the funny photos of him and his buddies clowning around
dressed in leis and hula skirts. the album also had pics of young women
dancers--and they didn't wear bras! i thought it would be a neat place to
vacation, but you know what my dad said? he said that before statehood hawaii
was a beautiful Natural paradise, but he didn't want to return because it's
become way too commercialized.
Our
water is contaminated with
atrazine, chlorpyrifos (Lorsban) and various other contaminates. Since
we use quite a bit of well
water it is a problem when they have to close wells because they are permanently contaminated.
100%
behind the people taking control of food again. This may ultimately require
Americans to become more agrarian and to eat less (not totally give up
altogether) meat products and more vegetables, fruits and grains.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น