272. Collective Dreams Can Change the World
Where Have All the Dreamers Gone?
Political dreaming in the Twenty-First Century
by Ira Chernus
นักฝันทั้งหลายหายไปไหนหมด?
การฝันเชิงการเมืองในศตวรรษที่
๒๑
-ไอรา เชอร์นุส
ดรุณี
ตันติวิรมานนท์ แปล
“There are still a few dreamers,” writes Chernus. “You can
find them among environmental activists, who give us science fiction-like
descriptions of technology that can create a clean, sustainable environment for
the whole biosphere. Except that isn’t simply a fantasy: much of the technology
already exists.” (Image: Greenpeace)
“ยังคงมีนักฝันสองสามคน”
เชอร์นุสเขียน.
“คุณจะหาได้ในบรรดานักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม,
ผู้บรรยายถึงเทคโนโลยีเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ว่า สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืนให้กับชีวภาคในองค์รวม. นอกจากว่า มันไม่ใช่เป็นความเพ้อฝัน: เทคโนโลยีส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว”.
All right, I confess: I have a dream. I bet you do, too. I
bet yours, like mine, is of a far, far better world not only for yourself and
your loved ones, but for everyone on this beleaguered planet of ours.
เอาหล่ะ,
ผมขอสารภาพ: ผมมีความฝันหนึ่ง. ผมพนันได้เลยว่า คุณก็มีด้วย. ผมพนันได้ว่า ของคุณก็เหมือนของผม คือ เป็นโลกที่ดีกว่านี้มากๆ
ไม่ใช่เพียงสำหรับตัวคุณเอง และ คนที่คุณรัก, แต่สำหรับทุกๆ คน บนพิภพโลกที่ถูกกักกัน
คุกคามอยู่.
And I bet you, like me, rarely talk to anyone about your
dreams, even if you spend nearly all your time among politically active people
working to improve the planet. Perhaps these days it feels somehow just too
naïve, too unrealistic, too embarrassing. So instead, you focus your energy on
the nuts and bolts of what’s wrong with the world, what has to be fixed
immediately.
และผมก็พนันว่า คุณ
เช่นเดียวกับผม, ไม่ค่อยบอกใครเรื่องความฝันของคุณ,
แม้หากว่าคุณใช้เวลาเกือบทั้งหมดท่ามกลางคนที่เอาจริงเอาจังทางการเมือง
ทำงานเพื่อทำให้พิภพโลกนี้ดีขึ้น.
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, คุณเพ่งพลังงานไปที่รายละเอียดที่ว่า
อะไรที่ผิดพลาดไปกับโลกนี้, อะไรที่ต้องแก้ไขทันที.
I’m thinking that it’s time to try a different approach --
to keep feeling and voicing what Martin Luther King, Jr., called “the fierce
urgency of now,” but balance it with a dose of another political lesson he
taught us: the irresistible power of dreaming.
ผมกำลังคิดว่า
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลองแนวใหม่—เพื่อธำรงความรู้สึกและส่งเสียงร้องในสิ่งที่
มาร์ติน ลูเธอ คิง, จูเนียร์., เรียกว่า “ความเร่งด่วนดุเดือดขณะนี้”,
แต่ถ่วงดุลด้วยบทเรียนทางการเมืองที่เขาได้สอนพวกเราสักหน่อย: อำนาจที่สุดฝืนของการฝัน.
"The world as we wish it to be is no mere fantasy. It
is often most reliable guide to knowing the truth."
“โลกดังที่เราหวัง
ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน.
มันมักเป็นตัวนำทางที่เชื่อถือได้มากที่สุด เพื่อให้รู้ถึงสัจจะ”.
I started reflecting on this when I returned from a long
trip and found my email inbox crammed with hundreds of urgent messages from progressive
groups and news sources, all sounding the alarm about the latest outrages,
horrors, and disgraces, punctuated by an occasional call for a new policy to
right at least one of the horrendous wrongs described and denounced.
ผมเริ่มใคร่ครวญเรื่องนี้เมื่อผมกลับจากการเดินทางเป็นเวลานานครั้งหนึ่ง
และ พบว่า ในกล่องอีเมลเต็มไปด้วยหลายร้อยข้อความเร่งด่วนจากกลุ่มหัวก้าวหน้า และ
แหล่งใหม่ๆ, ล้วนส่งเสียงเตือนภัยเกี่ยวกับความรุนแรง, ความพรั่นพรึง,
และความเสื่อมเสียล่าสุด, ที่สะดุดด้วยการป่าวเรียกให้ออกนโยบายใหม่ๆ
เพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่น่ากลัวดังบรรยายหรือประณาม.
Suddenly, I found myself thinking: Same old same old. The
particular words keep changing, but the basic message and the music of our song
of frustrated lament remain the same. We
give the people the shocking facts and call them to action. And we wonder: Why
don’t they listen?
ในบัดดล,
ผมพบว่าตัวเองกำลังคิดว่า: เหมือนเก่า ๆ. คำเฉพาะเปลี่ยนไปเรื่อย, แต่ข้อความพื้นฐาน
และเสียงดนตรีแห่งความสลดหมดหวัง ยังเหมือนเดิม.
เราป้อนข้อเท็จจริงที่น่าตกตะลึงกับประชาชน และ
เรียกร้องให้พวกเขาออกมาปฏิบัติการ.
และเราก็สงสัยว่า : ทำไมพวกเขาไม่ฟังเรา?
Then I looked at the calendar and noticed that the end of
the summer would bring the 50th anniversary of Dr. King’s greatest speech --
and I realized what was missing from virtually all those email messages: Where
was the dream? Where was the debate about what the world we seek would look
like?
แล้วผมก็มองไปที่ปฏิทิน
และ สังเกตเห็นว่า สิ้นฤดูร้อนนี้ เป็นวันครบรอบ ๕๐ ปีของสุนทรพจน์อันยิ่งใหญ่ของ
ดร.คิง—แล้วผมก็ตระหนักว่า สิ่งที่ขาดหายไปจากข้อความในอีเมลทั้งหมด:
ความฝันอยู่ที่ไหน? การถกเถียงถึงหน้าตาของโลกที่เราแสวงหา
อยู่ที่ไหน?
In most of them I could dimly sense that the writer might
indeed have a vision of a better world. But it was always hidden somewhere
between the lines, as if in the century when capitalism had “triumphed” and
nowhere on Earth did there seem to be an alternative, the writer was ashamed to
speak such things aloud.
ในบรรดาอีเมลส่วนใหญ่
ผมมองไม่ค่อยเห็นเลยว่า ผู้เขียนอาจมีวิสัยทัศน์ใดๆ ถึงโลกที่ดีกว่านี้. แต่มันซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างบรรทัด,
ประดุจว่า ในศตวรรษนี้ เมื่อทุนนิยม “ชนะ”
แล้วก็ไม่มีที่ไหนในโลกที่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกได้,
ผู้เขียนรู้สึกละอายใจที่จะพูดเรื่องประเภทนี้ดังๆ.
Occupied Dreams / ความฝันยึดพื้นที่
It wasn’t always so. I remember how incensed I used to get
in the 1960s when hearing the charge from the right: “Those hippie radicals.
They don’t know what they’re for, only what they’re against.” “Those hippie
radicals” knew what they were for: concrete changes in political policies that
would turn their dreams into reality. And they talked constantly about the
dreams as well as the policies.
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป. ผมจำได้ว่า รู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่งในทศวรรษ
๒๕๐๓ เมื่อได้ยินคำกล่าวหาจากพวกหัวขวา: “เจ้าพวกฮิปปี้หัวรุนแรงพวกนั้น. พวกเขาไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร, รู้เพียงแต่จะต่อต้านอะไรเท่านั้น”. “พวกฮิปปี้หัวรุนแรงเหล่านั้น” รู้ว่าพวกเขาทำเพื่ออะไร:
การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมในนโยบายการเมือง ที่จะพลิกผันความฝันให้เป็นความจริง. และพวกเขาก็พูดเกี่ยวกับความฝัน ตลอดจน
นโยบายตลอดเวลา.
It was Dr. King, above all, who inspired them. If, on that
hot summer day in 1963, he had only denounced the evils of racism and proposed
policy remedies, we would scarcely recall his speech half a century later. It
holds a special place in our public memory only because he concluded by
confessing his dream. Daring to be a public dreamer propelled him to greatness.
เหนือกว่าทั้งหมด,
มันเป็น ดร.คิง ผู้ดลบันดาลใจพวกเขา. หาก,
ในวันฤดูร้อนในปี ๒๕๐๖, เขาได้แต่ประณามความชั่วร้ายของการเดียดเชื้อชาติ และ
เสนอนโยบายแก้ไข,
เราก็คงยากที่จะรำลึกถึงสุนทรพจน์ของเขาเมื่อกึ่งศตวรรษที่แล้ว. มันครองพื้นที่พิเศษในความทรงจำสาธารณะของพวกเรา
เพียงเพราะเขาสรุปด้วยการสารภาพถึงความฝันของเขา.
ความกล้าที่จะเป็นนักฝันสาธารณะ ได้กระตุ้นให้เขาพุ่งสู่ความยิ่งใหญ่.
Now, I fear, we mostly talk only about what we’re against.
The just-give-‘em-the-facts approach, so tilted toward denunciation (however
well deserved), scarcely leaves room for any other impression.
บัดนี้, ผมกลัวว่า,
ส่วนใหญ่เราพูดแต่เรื่องที่เราต่อต้าน.
แนวทางที่ว่า เพียงแค่ให้ข้อเท็จจริงกับพวกเขา, ที่เอียงไปทางปรักปรำ
ติเตียน และ ตัดขาด (แม้ว่าจะสมควรแก่เหตุก็ตาม), ไม่ได้เปิดพื้นที่ว่างสำหรับความประทับใจอื่นใดเลย.
There are still a few dreamers. You can find them among
environmental activists, who give us science fiction-like descriptions of
technology that can create a clean, sustainable environment for the whole
biosphere. Except that isn’t simply a
fantasy: much of the technology already exists.
ยังมีนักฝันอีกหยิบมือ. คุณจะหาพวกเขาได้ในบรรดานักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม,
ผู้บรรยายถึงเทคโนโลยีเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ว่า สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาด,
ยั่งยืนให้กับชีวภาคในองค์รวม. ยกเว้น มันไม่ใช่เป็นเพียงความเพ้อฝัน:
เทคโนโลยีส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว.
You can also find dreamers in religious communities, sharing
the words of holy scriptures informed by eschatological visions of a better
future. Occasionally, even a hard-boiled
devotee of the facts like Noam Chomsky gives us a peek into his dream: a world
without borders.
คุณจะหานักฝันได้เหมือนกันในชุมชนศาสนา,
ที่แบ่งปันคำพูดจากพระคัมภีร์ ที่กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของวันพิพากษา
สู่อนาคตที่ดีกว่า. บางครั้ง ก็ได้ยินคนอย่าง
นอม ชอมสกี้ ผู้สังเคราะห์จากข้อเท็จจริงหนักหน่วง ที่ทำให้เราได้เห็นเสี้ยวหนึ่งของความฝันของเขา:
โลกที่ไร้พรมแดน.
Not long ago, you could find dreamers occupying parks and
public spaces across the country, short-lived as their moment was mainly
because of an onslaught of police violence. For that brief season, they showed
us that our dreams had been occupied and needed to be freed. In the past, though, movements have persisted
much longer, even in the face of massive state violence.
ไม่นานมาก่อนหน้านี้,
คุณจะพบนักฝันยึดพื้นที่สวนและสาธารณะทั่วประเทศ, แม้อายุสั้น ในช่วงเวลาที่เกิดขึ้น
เพราะตำรวจใช้ความรุนแรงรุกไล่ตีปราบปราม.
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น, พวกเขาได้แสดงออกถึงความฝันที่ถูกกักยึด และ
จำเป็นต้องปลดปล่อยให้เป็นอิสระ. ในอดีต,
การขับเคลื่อนได้ยืนยงอยู่นานกว่านี้, แม้จะต้องเผชิญกับความรุนแรงมหาศาลโดยภาครัฐ.
The Occupy movement, however, emerged in a distinctly
twenty-first-century world in which activists have long become accustomed to
hiding their dreams. Without such shared dreams, political activism can easily
feel like nothing more than an endless struggle against insurmountable odds --
like being part of a small band of good guys besieged on every side. Who can
blame them for feeling overwhelmed, exhausted, and hopeless?
แต่
ขบวนการยึดพื้นที่ โผล่ขึ้นมาโดดเด่นในโลกศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งนักกิจกรรมต่างเคยชินกับการซ่อนเร้นความฝันของพวกเขา. ปราศจากความฝันร่วมเช่นนี้, กิจกรรมทางการเมือง
จะรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรมากกว่าการดิ้นรนที่ไม่สิ้นสุดต่อสู้กับอุปสรรคมหาศาล—ประดุจเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนดีเล็กๆ
ที่ถูกรุมล้อมทุกด้าน.
จะโทษพวกเขาได้อย่างไรว่ารู้สึกท่วมท้น, หมดเรี่ยวแรง และ สิ้นหวัง?
Once most Occupiers were forced to retreat from public
spaces, I suspect they, too, felt tired, cramped, hemmed in. Occupy could
flourish only in the open, where people could share their dreams and imagine
that all the boundaries that limit us might, in that open-air spirit, dissolve.
ทันทีที่นักยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ถอยออกจากที่สาธารณะ,
ผมสงสัยว่า พวกเขาก็คงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย,
ถดถอย หดหู่, และ สิ้นหวัง.
พวกยึดพื้นที่เบ่งบานเพียงในที่เปิด, ที่ๆ ผู้คนสามารถแบ่งปันความฝันของพวกเขา
และ จินตนาการว่า พรมแดนที่จำกัดพวกเรา อาจจะเหือดหายไปได้ในสปิริตกลางแปลงเช่นนั้น.
Realism and Dreams / ความจริง และ ความฝัน
Boundaries and limitations dissolving: that’s not merely
Chomsky’s dream, it’s the essence of all dreaming -- to transcend the barriers
that separate one person from another, one group or nation from another, and
all humanity from its natural environment.
การเหือดหายไปของเส้นแบ่งเขต
และ ขอบเขตจำกัด: นั่นไม่ใช่แค่ความฝันของชอมสกี้, แท้จริง
มันเป็นแก่นของความฝันทั้งปวง—เพื่อแทงทะลุสิ่งกีดขวางที่แปลกแยกคนหนึ่งจากอีกคนหนึ่ง,
กลุ่ม หรือ ชนชาติหนึ่ง จากกลุ่มอื่น, และมนุษยชาติทั้งหมดจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติรอบตัว.
Dreaming is the realm of pure freedom. In dreams, we can
see, do, or be anything. When our dreams are political, they help us sense what
it might be like to escape the limits imposed by corporations, the state, the
media, the advertisers, powerful forces of every kind. They help us imagine in
new ways what is possible. In our dreams, none of the powers that be can touch
us.
การฝัน
เป็นภพภูมิของอิสรภาพบริสุทธิ์.
ในความฝัน, เราสามารถเห็น, กระทำ, หรือ เป็นอะไรก็ได้. เมื่อความฝันของเราเป็นการเมือง,
มันช่วยให้เราสัมผัสรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อหนีออกจากข้อจำกัดที่
บรรษัท, รัฐ, สื่อ, นักโฆษณา, กระแสที่ทรงพลังทุกประเภท ยัดเยียดให้เรา. มันช่วยให้เราจินตนาการในวิธีใหม่ๆ
ที่เป็นไปได้. ในความฝันของเรา,
ไม่มีอำนาจใดๆ ที่มีอยู่ สามารถแตะต้องเราได้.
Freud said that every dream is the fulfillment of a wish,
but political dreams aren’t about our private desires. They are visions of the
public realm being freed from the artificial divisions and constraints of the
present. There, as in our nighttime
dreaming, we experience whole new worlds, constantly changing, often in
remarkable detail. Dreaming is the realm of permanent revolution that the great
political visionaries from Thomas Jefferson to Che Guevara spoke of.
ฟรอยด์กล่าวว่า
ทุกๆ ฝัน คือ ความสมหวังของคำวิงวอนหนึ่งๆ,
แต่ฝันการเมืองไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงปรารถนาส่วนบุคคล.
มันเป็นวิสัยทัศน์ในภพภูมิสาธารณะที่เป็นอิสระจากการแบ่งแยกและสิ่งกีดกั้นแปลกปลอมในปัจจุบัน. ที่นั่น, เหมือนกับที่เราฝันในตอนกลางคืน, เป็นประสบการณ์ในโลกใหม่ทั้งหมด,
ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา, มักจะเห็นในรายละเอียดอันถี่ยิบ. ความฝัน เป็นภพภูมิของการปฏิวัติถาวร
ที่นักฝันการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่ เจฟเฟอร์สัน ถึง เช กูวารา ได้พูดถึง.
Constant change, pure freedom, the sense that anything is possible:
combined, they can give us the daytime energy we need to work for change
despite the obstacles and failures we inevitably face. When political life is infused with a dream,
traveling without a map can feel exhilarating. In politics as in physiology, we
must dream on a regular basis to restore our energy.
การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา,
อิสรภาพอันบริสุทธิ์, ความรู้สึกที่ว่า ทุกอย่างเป็นไปได้: ผสมผสานกัน,
มันสามารถให้พลังงานกลางวันที่เราจำเป็นต้องมีไว้ เพื่อทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ
ที่ยังมีอุปสรรค และ ความล้มเหลวที่เราจะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. เมื่อความฝันแผ่ซ่านไปทั่วชีวิตการเมือง,
การเดินทางที่ปราศจากแผนที่สามารถทำให้รู้สึกร่าเริงได้. ในการเมือง เช่นเดียวกับใน สรีรศาสตร์,
เราต้องฝันเป็นปกติ เพื่อบำรุงพลังงานของเรา.
But a political dream is quite different from the dreaming
of sleep because it happens while we are wide-awake. It may even make us feel
more awake, allowing us to pierce the pre-packaged version of reality handed to
us by the rich and powerful, who demand that we take their distorted version of
how this place, this country, this planet works as “realism” itself.
แต่ฝันการเมืองต่างจากความฝันยามหลับ
เพราะมันเกิดขึ้นในขณะที่เราตื่น.
มันอาจทำให้เรารู้สึกยิ่งตาสว่าง, อนุญาตให้เราเห็นแทงทะลุ ความจริงที่ถูกบรรจุเป็นหีบห่อและยื่นให้เราโดยพวกคนรวยและทรงอำนาจ,
ผู้ต้องการให้เรายอมรับ ชุดความคิดอันบิดเบี้ยวที่ว่า วิธีการทำงานของสถานที่นี้,
ประเทศนี้, พิภพโลกนี้ เป็น “ความจริง”.
When we see by the light of imagined futures, the present
and its real possibilities come into clearer view, offering us a broader
framework into which we can fit the chaotic pieces of current reality and the
specific changes we are working for.
เมื่อเราเห็นได้ด้วยแสงสว่างทอจากอนาคตที่จินตนาการขึ้น,
ปัจจุบัน และ ความเป็นไปได้จริงๆ ก็จะเริ่มชัดเจนขึ้น,
ทำให้เราเห็นกรอบความจริงที่กว้างใหญ่ขึ้น ที่เราจะสามารถวางชิ้นส่วนอันอลหม่านของความจริงปัจจุบัน
และ การเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่เรากำลังทำงานอยู่ เข้าด้วยกันได้.
We don’t have to wait for some distant future to see our
dreams realized. The essence of the nonviolent action that Dr. King preached is
to pierce the lies and distortions in the here and now by acting out, with our
bodies, the authentic reality we have seen -- to persist in what is really real
(which is the best translation I know of Gandhi’s term satyagraha).
เราไม่ต้องรอคอยอนาคตอันห่างไกล
เพื่อเห็นความฝันของเราเป็นจริง.
แก่นแท้ของปฏิบัติการอหิงสา ที่ ดร.คิง ได้เทศนาสั่งสอน คือ
การเห็นแจ้งแทงทะลุ คำโกหกและบิดเบือน ณ ที่นี้
และ เดี๋ยวนี้ ด้วยการแสดงออก, ด้วยร่างกายของเรา, ถึงความจริงแท้ที่เราได้เห็น—ยืนหยัดในสัจจะ
(ซึ่งในคำของ คานธี คือ สัตยครหะ).
So we should never let anyone dismiss our political dreams
as “unrealistic.” The world as we wish it to be is no mere fantasy. It is often
our most reliable guide to knowing the truth.
ดังนั้น
เราไม่ควรยอมให้ใครบอกปัดฝันการเมืองของเราว่าเป็น “ของไม่จริง”. โลกที่เราหวัง
ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน. แต่มักเป็นผู้นำทางที่เชื่อถือได้เพื่อให้รู้จักสัจจะ.
Never Stop Dreaming / อย่าหยุดฝัน
Whether they know it or not, everyone has their own dream of
the world as it should be, and every dream is open to endless interpretation.
Dr. King had his. I’ve got my interpretation of his. I’ve got my own, too. And
you’ve got yours. The point is not to argue about who has the one “correct”
dream, but to bring all of our dreams out of the closet and voice them openly,
share our interpretations of each other’s dreams, and start a conversation
about the politics of dreaming.
ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ก็ตาม,
ทุกคนมีความฝันของตนว่าโลกควรจะเป็นอย่างไร, และ ทุกๆ
ฝันก็เปิดกว้างสำหรับการตีความไม่สิ้นสุด.
ดร.คิง มีฝันของเขา.
ผมก็ตีความฝันของเขาแบบหนึ่ง.
ผมก็มีความฝันของผมเองเช่นกัน.
แล้วคุณเองก็มีของคุณด้วย.
ประเด็นคือ ไม่ต้องนั่งเถียงกันว่า ใครมีฝันที่ “ถูกต้อง”, แต่นำความฝันทั้งมวลของพวกเราออกจากตู้
แล้วให้มันส่งเสียงอย่างเปิดเผย, แบ่งปันการตีความฝันของกันและกัน,
แล้วเริ่มสนทนาเกี่ยวกับการเมืองของความฝัน.
When that kind of dream-sharing becomes part of political
life, it begins to create myths. By “myth” I don’t mean a lie. I mean a story
that a community tells itself to interpret its life, to express the
fundamentals of its worldview and values, to give meaning and hope to events
great and small.
เมื่อการแบ่งปันความฝันประเภทนี้
จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการเมือง, การสร้างเทพนิยายก็จะเริ่มขึ้น. ที่ว่า “เทพนิยาย” ผมไม่ได้หมายความว่า
เป็นเรื่องโกหก. ผมหมายถึง
เรื่องราวที่ชุมชนเล่าเอง เพื่อตีความชีวิตของชุมชนเอง,
เพื่อแสดงออกถึงพื้นฐานของโลกทัศน์และค่านิยม, เพื่อให้ความหมายและความหวังกับกิจกรรมทั้งใหญ่และน้อย.
A myth, it is often said, is a collective dream. In myths,
as in dreams, anything can happen. And once new myths start circulating,
anything can indeed happen. There is a real chance that one myth (or several
with much in common) will -- by some mysterious, unpredictable process -- grab
hold of a big enough part of the body politic to stir it to action. The U.S saw
that process at work in the 1770s (the dream of a republic), the 1860s (the
dream of abolishing slavery), and the mid-1930s (the dream of basic economic
security for all).
เทพนิยาย,
มักจะกล่าวกันว่า, เป็นความฝันร่วม/รวมหมู่.
ในเทพนิยาย, ดังเช่นในฝัน, อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้. และทันทีที่เทพนิยายใหม่เริ่มแพร่กระจาย
วนเวียน, อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้จริงๆ.
มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ที่เทพนิยายเรื่องหนึ่ง
(หรือหลายเรื่องที่มีฐานร่วมคล้ายกัน) จะ—ด้วยกระบวนการลึกลับบางอย่าง และ
คาดการณ์ไม่ได้—คว้าองคาพยพการเมืองได้มากพอที่จะกวนให้มันเริ่มปฏิบัติการ. สหรัฐฯ ได้เห็นกระบวนการนั้นทำงานในทศวรรษ
๒๓๑๓- (ความฝันของการเป็นสาธารณรัฐ), ทศวรรษ ๒๔๐๓- (ความฝันของการเลิกทาส),
และในกลางทศวรรษ ๒๔๗๓- (ความฝันของการมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับปวงชน).
In the late 1960s, the dream of radical democracy and
equality for all took hold in millions of American minds. It happened
surprisingly fast. In 1963, when Dr. King gave the nation permission to share
our dreams, few could have imagined how radically the political and cultural
landscape would be reshaped by new myths within just a few years.
ในตอนปลายทศวรรษ
๒๕๐๓-, ความฝันของประชิปไตยสุดโต่ง และ ความเท่าเทียมสำหรับปวงชน
ได้อยู่ในจิตใจของชาวอเมริกันนับล้าน.
มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากอย่างน่าประหลาดใจ.
ในปี ๒๕๐๖, เมื่อ ดร.คิง ได้อนุญาตให้ประเทศชาติแบ่งปันฝันของเรา,
คงมีไม่กี่คนที่จินตนาการได้ว่า เทพนิยายใหม่ๆ ได้ปรับรูปลักษณ์ภูมิทัศน์การเมืองและวัฒนธรรมสุดเหวี่ยงแค่ไหนในเวลาเพียงไม่กี่ปี.
Of course, we should never confuse our dreams and myths with
specific policy proposals. That would endanger the chances of achieving
policies that could bring us a few steps closer to realizing those dreams.
Policies, after all, are always political artifacts, produced by compromises between
our dreams and the hard facts of the present.
แน่นอน,
เราไม่ควรสับสนความฝันของเรากับเทพนิยายที่มีข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะ.
อันนั้นจะเป็นอันตรายต่อโอกาสที่จะบรรลุถึงนโยบายที่สามารถนำพาพวกเราให้ก้าวใกล้สู่การทำฝันให้เป็นจริงขึ้นหน่อย. นโยบายเป็นเครื่องมือทางการเมือง,
ผลิตจากการประนีประนอมระว่างฝันของเรา กับ ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน.
The coming commemoration of the “dream” speech should remind
us of Dr. King’s recipe for meaningful political change: take one part facts to
reveal the world’s evils, one part policy proposals to remove those evils, one
part shrewd political strategy, and one part dreams -- shared aloud -- and stir
artfully into a political movement.
อนุสรณ์สุนทรพจน์
“ความฝัน” พึงทำให้เราหวนระลึกถึงสูตรเพื่อการปรุงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความหมาย: เอาหนึ่งส่วนของข้อเท็จจริง
มาเปิดโปงความชั่วร้ายในโลก, หนึ่งส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบาย
เพื่อกำจัดความชั่วร้ายเหล่านั้น, หนึ่งส่วนของยุทธศาสตร์สุขุมทางการเมือง, และ หนึ่งส่วนของความฝัน—แลกเปลี่ยนแบ่งปันด้วยเสียงดัง—แล้วกวนอย่างมีศิลปะให้เกิดเป็นขบวนการทางการเมือง.
So don’t stop shouting from the rooftops about everything
that’s outrageously wrong. Don’t stop the grinding political work of changing
specific policies. But take the time to show how your outrage, policies, and
politics are propelled by your dreams. Share those dreams: talk or write or
draw or sing or dance them. Describe the kind of world you are working for and
show how it could be linked to policies and politics. And don’t let anyone
dismiss you as an “unrealistic dreamer.”
ดังนั้น,
อย่าหยุดตะโกนจากยอดหลังคา เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดอย่างร้ายกาจ.
อย่าหยุดบดโม่งานการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายเฉพาะ. แต่เจียดเวลาเพื่อแสดงให้เห็นว่า
ความเกรี้ยวกราด, นโยบาย, และ การเมืองของคุณ ถูกกระตุ้นด้วยความฝันของคุณอย่างไร. แบ่งปันความฝันเหล่านั้น: พูด หรือ เขียน
สามารถเชื่อมโยงกับนโยบายและการเมือง.
และอย่าให้ใครพูดปัดสวะคุณว่าเป็น “นักฝันที่เป็นจริงไม่ได้”.
Yes, it’s true, the world will never look exactly like our
mythic dreams. But we can’t get to any better future unless we first imagine
that future, together. A political dream is a magnet that pulls us toward our
goals. It may also be an asymptote -- a promised land that we can never reach.
Yet even if we never get there, every dream takes us closer to a transformed
reality.
ถูกต้อง,
มันเป็นความจริง, โลกไม่มีทางเป็นเหมือนกับความฝันเทพนิยายของเรา. แต่เราก็ไม่สามารถไปถึงอนาคตใดที่ดีกว่านี้
หากเราไม่เริ่มจินตนาการอนาคตนั้น, ร่วมกัน.
ฝันการเมือง เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้พวกเราไปสู่เป้าหมายของเรา. มันยังอาจเป็นเส้นกำกับ—ดินแดนแห่งความหวังที่เราไม่มีทางไปถึง. แต่ถึงแม้เราจะไปไม่ถึงที่นั่น, ทุกๆ ฝันจะพาพวกเราให้เข้าไปใกล้ความจริงที่แปรเปลี่ยนพลิกโฉมได้.
© 2013 Ira Chernus
Ira Chernus is Professor of Religious Studies at the
University of Colorado at Boulder and author of Mythic America: Essays and
American Nonviolence: The History of an Idea. He blogs at MythicAmerica.us.
ไอรา เชอร์นุส
เป็นศาสตราจารย์ศาสนศึกษา ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด, โบลเดอร์, และผู้เขียน
“อเมริกาในเทพนิยาย”, “บทความและอหิงสาอเมริกัน”, “ประวัติศาสตร์แห่งความคิด”. บล็อกของเขา MythicAmerica.us.
Published on Thursday, July
25, 2013 by TomDispatch.com
nondimenticare • 6 hours ago
One of the great disservices done by Obama to our country -
and to humanity - was his use of the words "hope" and
"change," together amounting to a dream for the future. Now no one
can think of using those words or any like them without feeling like a rube or
a patsy.
greghilbert > nondimenticare • 3 hours ago
Yes, Obama's "The Audacity of Hope" was a
con-artistic manipulation that served his ambition to climb from elite to
oligarch. The Great Betrayor.
But still, while I focus my own commenting voice on that
fact, I do dream sometimes of what eco-feminists call the
matriarchal model. I strongly support it, but being male, I rely on women to
voice it. And I do not mean such women as Hillary Clinton.
Nola Baar • 7 hours ago
Thank you Ira for your dreams and actions.
Here is one of my dreams http://www.portlandoccupier.or...
and another dream-
NISHMAT (Marge Piercy) a reworking of the ancient Jewish
prayer Nishmat kol Chai (The breath of every living soul) Every 2 lines here are actually 1 line
in Piercy;s work. Computer gremlins again.
When the night slides under
with the last dimming star
And the red sky lightens between
the trees
And the heron glides tipping
heavy wings in the river
When crows stir and cry out
with their harsh joy
And swift creatures of the
night run towards their burrows,
And the deer raises her head
and sniffs the freshening air
And the shadows grow more distinct and then
shorten
Then we rise into the day still clean
as new snow
The cat washes its paw and
greets the day with gratitude
Leviathan salutes breaching
with a column of steam
The hawk turning in the sky
cries out a prayer like a knife
We must wonder at the sky now thin as a
speckled eggshell
That now piles up its boulders
of storm to crash down,
That now hangs a furry grey
belly into the street.
Every day we find a new sky
and a new earth
with which we are trusted like a perfect
toy.
We are given the salty river
of our blood
winding through us, to remember
the sea and our
kindred under the waves, the
hot pulsing that knocks
in our throats to consider
our cousins in the grass
and the trees, all bright scattered rivulets of
life
We are given the wind within
us, the breath
to shape into words that steal
time, that touch
like hands and pierce like
bullets, that waken
truth and deceit, sorrow and
pity and joy,
that waste precious air in
complaints, in lies,
in floating traps for power
on the dirty air.
Yet holy breath still stretches
our lungs to sing.
We are given the body, that
momentary kibbutz
of elements that have belonged
to frog and polar
bear, corn and oak tree, volcano
and glacier.
We are lent for a time these
minerals in water
and a morning every day, a
morning to wake up,
rejoice and praise life in
our spines, our throats,
our knees, our genitals, our
brains, our tongues.
We are given fire to see against
the dark,
to think, to read, to study
how we are to live,
to bank in ourselves against
defeat and despair
that cool and muddy our resolves,
that make us forget
what we saw we must do. We
are given passion
to rise like the sun in our
minds with the new day
and burn the
debris of habit and greed and fear.
We stand in the midst
of the burning world
primed to burn with
compassionate love and justice,
to turn inward and
find holy fire at the core,
to turn outward and
see the world that is all
of one flesh with us,
see under the trash, through
the smog, the furry
bee in the apple blossom,
the trout leaping, the
candles our ancestors lit for us.
Fill us as the tide
rustles into the reeds in the marsh.
Fill us as the rushing
water overflows the pitcher.
Fill us as light fills
a room with its dancing.
Let the little quarrels
of the bones and the snarling
of the lesser appetites
and the whining of the ego cease.
Let silence still us
so you may show us your shining
and we can out of the
stillness rise and praise.
see more
chuck the D's & R's • 8 hours ago
I have no fear. I have no hope. I work for the people. Wage
Peace and Justice.
Caron von Zeil • 3 hours ago
What a brilliant piece! Thank you thank you thank you.
Especially for the affirmation that us dreamers need to hear at this time of
struggling disillusionment due to bad governance, globally: "So don’t stop
shouting from the rooftops about everything that’s outrageously wrong."
Plank • 6 hours ago
Thank you Mr. Chernus for this reminder of what things
should be in relation to past society but not now.
Ever since the last president established the principle of
"either you are with us or against us" this society had become
divided along the lines of disrespect for anyone that is different and till
that changes there will be no changes such as happened in the past like the
60's where there was a common sensibility.
Take any forum and
you will find lack of respect for the other:
the other is
republican or democrat
the other hunts and
has guns
the other is poor or
rich
the other smokes or
drinks
the other is young or
old
the other is liberal
or conservative
the other can't spell
the other is white,black
or yellow
the other is less or
more than me
My point is that I support your optimism but until the
society returns to respecting one another for all their differences and
similarities then maybe something can happen.
Just from a personal perspective, I've seen the changes
arise in Oklahoma, a place known for respecting others, ever since the politics
became more hard core conservative of early 2001 years where now for example an
artist friend is questioned whether she is liberal or conservative before
purchase.
lucky9 > Plank • 2 hours ago
thanks, sounds like 'mission accomplished' in Ok for the
elites, but I'm optimistic. The lies are dead, the truth alive, and will
eventually come back up.
HenryWallace2012 • 8 hours ago
Dreamers as another story on this site shows are out pushing
on the old proverbial coaltion as it grows.
lucky9 • 2 hours ago
I would add encouragement to visit other countries, esp.
european ones where socialist policies create a much more open, free vibe -
that can help inform your dreams. imo, based on my limited travel.
S. Beaver • 3 hours ago
We are in the midst of embarking on our dream - to create a
forum for the people to speak up for peace. Learn more about our citizen
roundtables down the river, and consider supporting our effort.
www.ThePeacePirates.com Upward and onward!
Guest • 3 hours ago
What a brilliant piece! And especially for the affirmation
that us dreamers need to hear at this time of struggling disillusionment:
"So don’t stop shouting from the rooftops about everything that’s
outrageously wrong." Thank you thank you thank you.
parrysixte • an hour ago
The Next American Revolution
Grace Lee Boggs,, Detroit-based radical organizer and
philosopher. Born to Chinese immigrant parents in 1915 [in their apartment over
the family’s restaurant], Now 98 she has been involved in nearly every major
activist movement of the past eighty years, including labor, civil rights,
black power, women’s rights, and environmental justice movements.
She earned scholarships, graduated from Barnard, and went on
to earn a PhD in Philosophy at Bryn Mawr in 1940.. Facing the significant
employment barriers of the academic world as a woman of color in the 1940s, she
found a job at low wages at the University of Chicago Philosophy Library. And
living in a rat infested basement she began an activist’s career, which
continues to today, working for tenants' rights.
She successfully melded theoretical studies of reform and
revolution with on-the-picket line activism while participating in in nearly
every major activist movement of the era.
Along the way she met and married Jimmy Boggs, a Black from
the deep south who was for 30 years a union member and organizer in the
Chrysler factory in Detroit. Theoreticians as well as activists, the two were
deeply immersed in the passionate discussions about revolutionary doctrine
which characterized leftish organizations. [they found the Communist/USSR
perspectives badly flawed, inclining toward Johnsonite anti-stalinist
thinking.]
From all of this in time they emerged with a radically
different perspective: they saw that thinking about revolution beginning with
Marx and the Russians had come to be centered on a process of rousing the
masses to take over existing systems at the top and from there to rework the
structure to be more supportive for the people generally [according to whatever
structure the proponents advocated].
They proposed to do
something quite different: not to change the system or its details but to build
the entire structure from the ground up.
They had come to share Martin Luther King’s vision of the
“beloved community;” tthey called on Detroiters to expand their humanity,
working together to create a more humane, democratic, and meaningful way of
life, not just in Detroit but in line with the thinking eg underlying the work
of the World Social Forum on the theme “Another World Is Possible,” central to
the Puerto Alegre forum of 1999 and to the participatory democracy of that city
[and others, ...including some in the USA]].
And perhaps the most important thing about this view imho is
not just its thorough, careful exposition - though imo this is indeed
revolutionary - but that, having worked out the theory and background, the
Boggses and friends put it into action
...” we need to go beyond opposition, beyond rebellion,
beyond resistance, beyond civic resurrection. We don’t want to be like ‘them.’
We don’t want to become the ‘political class,’ to simply change presidents and
switch governments.’
“We want and need to create the alternative world that is
now both possible and necessary. We want and need to exercise power, not take
it.”
She set forth these views in her recent book: “The Next
American Revolution.” {Univ of California Press] [see also her autobiography
‘Living for change.” Grace Lee Boggs Univ of Minnesota Press]
But this was not abstract thinking; Beginning specifically
and actively along these linesin 1992; she, with Jimmy Boggs, Shea Howell, and
others, co-founded “Detroit Summer,” which intended to "rebuild, redefine
and respirit Detroit from the ground up," beginning by organizing youth.
=== ===
Detroit summer...Some specifics..
Over time it has developed parallel and interrelated
activities loosely linked: Arts, Media, Culture; Community Organizations;
Education [Schools and Community]; peace zones[ restorative justice]; Food
Security - Urban Gardens and Farms; Local Businesses: Sustainable Economics;
Recycling; Youth & Activism.
.
Activities in general aim to strngthen the commuity as well
as to overcome specific challenges..Murals turn depressing deteriorating walls
into images celebrating a vibrant locality.
A Restorative justice movement replaces arrest and incarceration
in cases of many crimes; keeping juveniles out of the criminal justice system
and rsolves conflicts in th community without the toxicity of revolving door
criminal activity.
Children are not locked into rows of desks in sterile
classrooms; reminded, under the evils of “teach to the tests” of their own
ineffectivenes; they are given activities and places in the community where
they can both learn and feel the satisfaction of knowing that their work has
value and that they themselves are productive parts of the community.
For instance, one group undertook to study their community
to see where there
were needs for improvement..In due course they identified
youth obesity as a community problem...but they didn’t stop there, they went on
to create vegetable gardens, some on rooftops, to improve sources of healthy
foods...
One of the tenets of the Boggs respiriting’ of Detroit is:
“Using new methods of local,small-scale production (such as 3-D printing) to
produce our own clothing, housing, transportation, etc.” .
3-D Printing
3-D printing technology makes it possible for small shops,
using 3-D printers [some of which are literally small enough to fit on a
desk-top], to produce a tremendous range of objects - literally from jewelry
and dental implants to museum-quality pieces to jet engine parts to
automobiles. [More information in notes below.] An active community of users,
designers and manufacturers has grown up along with these developments.
[
But there is more at work here than just a new way of
producing needed objects.
A Revolution
We may be seeing here something like the revival of the
craftsman, the apprentice, the small workshop...of “work” as opposed to the
slave-labor “job” of pointless repetitive mind-numbing --day after day
existence too often under the supervision of petty tyrants and at the mercy of
unseen financial interests. Now the craftsman will have te satisfaction of
seeing his skills succesfully deployed andtwill enjoy his work...==?,
We may be seeing the end of the assembly-line factories
typical of the 20th century.
Major infrastructure systems willl likely continue in place
– e.g. transportation systems, water and waste disposal systems, the electric
power net [though as solar energy designs evolve this net may fade] and co-op
structures may replace privately owned configurations
And this leads on to A major theme in the ongoing work in
Detroit; the evolution of the ‘beloved community’ sketched out by MLK. With
people engaged in ‘Work;’ not regimented in ‘Jobs;’ with communities oriented
to neighborhoods not projects, hunanizing schooling, bulding community oriented
restorative justice... finding their ways to provide the supporting services..
will approach a version of King’s vision..
This is already too long for one post...maybe more later...
Meanwhile:
Grace Lee Boggs |
BillMoyers.com 6/8/07
http://billmoyers.com/content/...
And note:this goes on largely independent ofu ofthe
oilgarchs savaging of the city
see more
James MacGregor • an hour ago
Were the people involved in the occupy movement not living
their dream? They created a space where patriarchy and prejudice could be
challenged; where food and education were free; where everyone was invited to
the discussion and involved in the decision making process; and, where real
democracy existed. This is why it was crushed with such severity. Plus, it
pointed a glaring finger toward the true source of power so the dreamers, sorry
the people with their heads in the clouds, could see it.
May I quote Paul Goodman: “Suppose you had the revolution
you are talking and dreaming about. Suppose your side had won, and you had the
kind of society that you wanted. How would you live, you personally, in that
society? Start living that way now! Whatever you would do then, do it now. When
you run up against obstacles, people, or things that won't let you live that
way, then begin to think about how to get over or around or under that
obstacle, or how to push it out of the way and your politics will be concrete
and practical.”
I image that those who practice mutual aid, minimize their
environmental impact, and challenge hierarchy, i.e. strive for equality, do not
dream about a perfect world because it is a fantasy. And I also imagine that
those who do not practice mutual aid, minimize their environmental impact, and
challenge hierarchy, i.e. strive for equality, are not dreaming about giving up
their privilege and property, especially to people in those pesky darker
nations. To misquote John Lennon: I am not a dreamer, thank god I am not the
only one.
fakefakefake • 2 hours ago
get inspired by a real example:
a small Spanish town of Marinaleda is transformed into an
alternative model "paradise" with the leadership of its mayor
Gordillo.
Salon has this inspirational story, and the link is below:
http://www.salon.com/2013/07/2...
HenryWallace2012 • 3 hours ago
Some history which even oral such as that of indigenous
peope in this hemisphere, anthropology, and evolutionary psychology have shown
that modern humans did well until about a half dozen to a dozen millinnia ago
at the time when simple subsistence societies gradually turned into societies
with "modern agriculture" and surpluses which then caused things to
get more complicated and for some "experts" to step up and take the
role of "handlng" those "surpluses for" others by taking it
themselves even though for a time sharing same as was the tradition over time
choosing to keep for themselves and then to take such power and would afford
this privilege on a permanent basis as part of the despotism they brought in as only
private property can. For before then all people lived in pure communist
societies with real democracy meaning a completely classeless and tolerant
society. That is something we need to aim for. Karl Marx and the Prince of
Peace did, and I didn't just cite them just because they were Jews, though they
were. Others such as the Englsih levelers had similar ideas. Levelng the playing
field is what it's all about. "Share and share alike"-- words my mom
used to put out to me and I've seen other moms say the same to their kids. The
truth lives on no matter how much Madison Avenue and Hollywood seek to kill it.
Pure communism and freedom are great. Ask any US indigenoous person who learned
from his ancestors the ways of those great people and before that lapse in
immigration control at Plymoth in 1620.
Chuck Cliff • 3 hours ago
I dreamt a dream of ancient times
when hearts were filled with glory
and everyone was living in sweet simplicity.
Pray it's not a fable, pray the day will come
when to live like this in Eden's bliss will be reality.
http://www.reverbnation.com/ch...
John L Pontious • 4 hours ago
You need help, as do I and anyone who cares about the future
of our race. Our time here has been short. We as a species have been
shortsighted. We cannot continue in this manner, expecting to expand forever on
diminishing resources and worsening global conditions. We must each take
individual responsibility for our actions and uses. The government exists to
serve the people, and we must remind our leaders of this. It serves no one when
there is no cohesion throughout the world. It is ultimately up to we, the
people, to challenge the present system that is attempting to direct us down
the path of consumerism and greed, a path that leads to oblivion. (excerpt from
"Free Energy Now" found at www.johnpnts.wordpress.com
John L Pontious • 4 hours ago
Awaken and Rise
Cease, for a moment,
in all your works, all you men and women of Earth. Mark your name upon this
foundation, the New Age of Humanity! Affirm and make known to all your
commitment to a world that has abundant and free clean energy, air, food, and
water. A world able to use its wisdom to provide these necessary elements for
life. A world where money does not equal worth. A world committed to equality,
individual liberties, and a population allowed to find meaning and happiness in
life.
Humankind has become
enslaved by war, toil, poverty, and the rule of despots, the rich, and the
influential.
The workers, the
poor, the forgotten, the common, and the dreamers of a better world must awaken
and rise up to speak with one righteous and mighty voice for peace, justice,
equality, and life itself!
Awaken and Rise, all
you who would show compassion and understanding to your fellow human beings.
Awaken and Rise, all you who feel a change in your heart. Awaken and Rise, all
who feel the burden of a world gone wrong, a people heading for extinction, a
planet beginning to die.
Awaken and Rise!
Shake off the
shackles that hold your heart. Sign this petition for the survival of humanity.
Read and question the manifesto” Free Energy Now, the Ultimate Human
Right". . In this document you will find a path to follow and a plan for a
sustainable world in which war and poverty are unknown and free clean energy
for life is humanity’s gift to her people. Link to the site
www.johnpnts.wordpress.com and share this idea and plan for humanity with your
friends. Remember that you are one with humanity. Our responsibility in this
time of turmoil and environmental crisis has never been greater.
Awaken and Rise!
see more
schrapnel • 5 hours ago
NDAA, AUMF, NSA surveillance, Homeland Security detention
center and the tanks/weapons with trained foreign soldiers, RFID chips and
Affordable Healthcare Act, etc. are real take the political dream to the
streets and band together wherever/whenever you can before it gets horrific.
itsthethird • 6 hours ago
We have no dreams for the drugs we take for the great escape
from the madness of the never ending human contradictions that race. Racing all
in sum toward extinction with little hope and no reason. Dreams, Dreams its all
just dreaming till we wake up.
BillinDubuque • 33 minutes ago
Ira! They've gone to Common Dreams, every one. When will
they ever learn? When will they ever learn? (Apologies to beloved Pete Seeger,
a splendid dreamer.)
Thanks for this reflection, Ira.
Two Iowans I fondly recall for their dreams are Tom
Offenberger and Harold E. Hughes. It's apt that they dreamt, as Iowa translates
from its Fox tribe origin, "Sleepy land between two waters." A good
place for dreamers.
Tom left his job with US News and World Report in 1966 to
become Dr. Martin L. King's press secretary, a position he held until Dr. King's
assassination in April, 1968. He later became press secretary for his friend
and colleague, Andrew Young, in Congress and at the United Nations. He died in
1986.
Tom's brother, Chuck, was the long time writer of the
"Iowa Boy" human interest features in the Des Moines Register, and
Chuck has provided a fine report on his brother, just Google Tom Offenberger.
Harold Hughes was our Governor and US Senator, 1963-1975,
and was decidedly anti-war during the 1968 campaign. Already a successful
governor, RFK convinced him to run for US Senate in 1968. After RFK's
assassination, Hughes gave the nomination speech for peace candidate Eugene
McCarthy at the '68 convention. Hughes eked out a slim victory in his Senate
race that November and served one term and walked away from political office in
1975. Hughes died in 1996.
There. Two dreamers who continue to inspire at least one
fellow Iowan to dream.
see more
Saoirse2 • an hour ago −
I'll tell you where:
we're being persecuted with COINTELPRO just as we always have, as Prof.
Brian Glick proved in his lawsuit on behalf of civil and human rights activists
working on behalf of refugees of the wars Reagan backed in Central America -
particularly, El Salvador - in the 1980s. See, War at Home: Covert Action Against U.S. Activists and What
We Can Do About It (South End Press)
It's more than just sad that Reagan's E.O. 12333 has co-opted those very
same activists, who now refuse to acknowledge the existence of us political
dissidents, or confront the actual local, state and federal fascists who
oppresss us in the 'covert war' Bush officially declared on us all in February,
2002. You have no true tribunes, when
things like this can happen to your fellow law-abiding citizens - (that certain
letter, in triplicate) dontfearyourfreedom (dot) blogspot (dot) com - and your
talking heads are getting big money to create echo chambers simply for asking
where we've gone, as though we can't be found.
You don't want to know all the so-called human and civil rights
organizations by which I've been rebuffed, asking for their help - far too
often with COINTELPRO PSYOPs initiated by them.
They don't want you to hear from me and so they've smeared me as an
agent provocateur trying to discredit them - something I can refute
definitively with a lot of concrete evidence.
Welcome to the police state, a form of slavery you'll never be rid
of. Beware of who you imbibe your
opinions from. The beast must be fed,
and one day, you, too, will be its target.
Unless you stop listening to people who deny our existence.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น