269. Firing Helen Thomas Because
Too Committed to Her Journalist Profession
On the Passing of Helen Thomas
by Ralph Nader
ในวาระที่ เฮเลน
โทมัส จากไป
-
ราลฟ์ นาเดอร์
ดรุณี
ตันติวิรมานนท์ แปล
There will never be another Helen Thomas. She shattered
forever one anti-woman journalistic barrier after another in the Washington
press corps and rose to the top of her profession’s organizations. Helen Thomas
asked the toughest questions of Presidents and White House press secretaries
and over her sixty-two year career took on sexism, racism and ageism. She
endured prejudice against her ethnicity — Arab-American — and her breaking the
taboo regarding the rights of dispossessed Palestinians. She also made many
friends in journalism and spoke to audiences all over the country about the
responsibility of journalists to hold politicians responsible with tough, probing,
questions that are asked repeatedly until they are either answered or the
politician is unmasked as an unaccountable coward. That is the example she set
as a journalist and the recurrent theme in her three books.
จะไม่มี เฮเลน โทมัส อีกคน. เธอได้ทลายด่านกีดกันขวางกั้นนักข่าวหญิงด่านแล้วด่านเล่าในวงนักข่าวกรุงวอชิงตันอย่างราบคาบ
และได้ก้าวหน้าสู่จุดสูงสุดในองค์กรวิชาชีพของเธอ. เฮเลน โทมัส ตั้งคำถามหินที่สุดต่อประธานาธิบดี
และ เหล่าเลขาฯ ฝ่ายข่าวของทำเนียบขาว และ ตลอดอาชีพการงาน ๖๒ ปีของเธอ ก็ได้ท้าทายประเด็น
การเดียดเพศ, เดียดเชื้อชาติ และ เดียดชราภาพ.
เธอได้ฝ่าฟันอคติที่มีต่อชาติพันธุ์ของเธอ—อเมริกันเชื้อสายอาหรับ—และการที่เธอแหกคอกห้ามพูดเกี่ยวกับสิทธิของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขับไล่ที่. เธอยังได้สร้างมิตรภาพมากมายในวงการนักข่าว และ
พูดต่อผู้ฟังทั่วประเทศเกี่ยวกับความรับผิดชอบของนักข่าว
ที่ต้องทำให้นักการเมืองมีความรับผิดชอบ ด้วยการตั้งคำถามยากๆ ในเชิงตรวจสอบ
และถามซ้ำๆ จนกว่าจะได้รับคำตอบ หรือไม่
ก็เปิดหน้ากากของนักการเมืองว่าเป็นคนขลาดที่เชื่อถือไม่ได้. นั่นคือ ตัวอย่างที่เธอได้ปฏิบัติในฐานะนักข่าว
และเป็นหัวข้อที่หวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าในหนังสือสามเล่มของเธอ.
Her free spirit, her courageous belief that injustice must
be exposed by journalists, her congenial personality and her relentless focus
(she asked former President George W. Bush and his press secretary Ari
Fleischer dozens of times “Why are we in Iraq?”) will be long remembered. Her
tenacious, forthright approach to journalism stands as a stark contrast to the
patsy journalism of too many of her former self-censoring White House press colleagues.
วิญญาณอิสระของเธอ, ความเชื่ออันหาญกล้าของเธอที่ว่า
ความอยุติธรรมจะต้องถูกเปิดโปงโดยนักข่าว, บุคลิกภาพที่น่าประทับใจของเธอ และ
การกัดไม่ปล่อยของเธอ (เธอถามอดีตประธานาธิบดี ยอร์ช ดับเบิลยู บุช และโฆษกของเขา
อาริ ไฟส์เชอร์ หลายสิบครั้ง “ทำไมเราถึงอยู่ในอิรัค?”) จะถูกจดจำไปชั่วกาลนาน. วิธีการแบบโผงผาง เปิดเผย
เกาะติดของเธอในวงการนักข่าว ยืนเด่นต่างจากวงการนักข่าวเชื่องๆ ที่ถูกหลอกได้ง่าย
ของอดีตเพื่อนร่วมงานทำข่าวหลายต่อหลายคน ที่ทำเนียบขาว ที่ชอบเซ็นเซอร์ตัวเอง.
The remarkable combination of skills and perseverance will
distinguish Helen Thomas as one of the giants of American journalistic history.
การผสมผสานอย่างโดดเด่นของทักษะและความมุ่งมั่น
จะแยก เฮเลน โทมัส ให้เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ในประวัติศาสตร์นักข่าวอเมริกัน.
Portrait by Robert Shetterly. (Credit: AmericansWhoTellTheTruth.org)
Cashiering Helen Thomas June 15, 2010
By Ralph Nader
การขับ เฮเลน
โทมัส ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
-
ราลฟ์ นาเดอร์
The termination of Helen Thomas’ 62-year long career as a
pioneering, no-nonsense newswoman was swift and intriguingly merciless.
การยุติอาชีพที่ยาวนานถึง
๖๒ ปี ของ เฮเลน โทมัส ในฐานะที่เป็นนักข่าวหญิงรุ่นบุกเบิก ที่ไร้เรื่องสาระ
เป็นไปอย่างรวดเร็ว และ ไร้ความปราณีอย่างน่าสงสัย.
The event leading to her termination began when she was
sitting on a White House bench under oppressive summer heat. The 89-year old
hero of honest journalism and women’s rights, the scourge of dissembling
presidents and White House press secretaries, answered a passing visitor’s
question about Israel with a snappish comment worded in a way she didn’t mean;
she promptly apologized in writing (see
http://www.democracynow.org/2010/6/8/veteran_white_house_reporter_helen_...).
Recorded without permission on a hand video, the brief exchange, that included
a defense of dispossessed Palestinians, went internet viral on Friday, June 7.
เหตุการณ์ที่นำไปสู่จุดจบนี้
เริ่มต้นเมื่อเธอนั่งอยู่ที่ม้านั่งในทำเนียบขาวท่ามกลางความร้อนแสนสาหัสฤดูร้อน. วีรชนของวงการนักข่าวที่ซื่อตรงและสิทธิสตรี
อายุ ๘๙, ผู้เป็นเสมือนแส้ที่หวดบรรดาประธานาธิบดีและโฆษกทำเนียบขาว, ตอบคำถามของแขกที่เดินผ่านมา
เกี่ยวกับอิสราเอลด้วยความเห็นฉุนเฉียวทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น;
เธอได้เขียนกล่าวขอโทษทันที (ดูเว็บ...).
แต่การสนทนาแลกเปลี่ยนสั้นๆ นั้น ถูกบันทึกด้วยวีดีโอมือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซึ่งรวมตอนที่เธอปกป้องชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขับไล่,
ได้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในวันศุกร์, ๗ มิถุนายน.
By Monday, Helen Thomas was considered finished, even though
she embodied a steadfast belief, in the praiseworthy words of Washington Post
columnist, Dana Milbank, “that anybody standing on that podium [in the White
House] should be regarded with skepticism.”
พอถึงวันจันทร์, เฮเลน
โทมัส จบฉากลง, แม้ว่าเธอจะเป็นรูปธรรมของความเชื่อที่แน่วแน่,
ดังคำสรรเสริญของคอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์ ดานา มิลแบงค์, “ว่า ใครก็ตามที่ยืนอยู่ที่แท่นปราศรัย
(ในทำเนียบขาว) สมควรจะถูกจับจ้องด้วยความระแวงสงสัย.”
Over the weekend, her lecture agent dropped her. Her column
syndicator, the Hearst company, pressed her to quit “effective immediately,”
and, it was believed that the White House Correspondents Association, of which
she was the first female president, was about to take away her coveted front
row seat in the White House press room.
ในช่วงสุดสัปดาห์,
ผู้จัดการด้านปาฐกถา ตัดเธอออก. บริษัท
เฮิร์สต์ ซึ่งซื้อคอลัมน์ของเธอ กดดันให้เธอลาออก “มีผลทันที”, และ, เป็นที่เชื่อกันว่า
สมาคมผู้สื่อข่าวของทำเนียบขาว, ซึ่งเธอเคยเป็นประธานสตรีคนแรก, เกือบถอนที่นั่งของเธอที่แถวหน้าอันเป็นที่หมายปองของทุกคน
ในห้องข่าวในทำเนียบขาว.
Then, Helen Thomas announced her retirement on Monday, June
10. No doubt she’s had her fill of ethnic, sexist and ageist epithets hurled
her way over the years — the very decades she was broadly challenging racism,
sexism and, more recently, ageism.
แล้ว, เฮเลน โทมัส
ก็ประกาศปลดเกษียณ ในวันจันทร์, ๑๐ มิย.
ไม่ต้องสงสัย เธอมีฉายา คำหยาบคายที่โยนใส่เธอที่เดียดชาติพันธุ์, เดียดเพศ
และ เหยียดชราภาพ เต็มกระบุง ในช่วงปีที่ผ่านมา—โดยเฉพาะช่วงทศวรรษที่เธอท้าทายการเหยียดเชื้อชาติ,
เพศ และ เมื่อเร็วๆ นี้, ชราภาพ.
Although the behind the scenes story has yet to come out,
the evisceration was launched by two pro-Israeli war hawks, Ari Fleischer and
Lanny Davis. Fleischer was George W. Bush’s press secretary who bridled under
Helen Thomas’ questioning regarding the horrors of the Bush-Cheney war crimes
and illegal torture. His job was not to answer this uppity woman but to
deflect, avoid and cover up for his bosses.
แม้ว่า เรื่องราวหลังฉากจะยังไม่เผยออกมา,
การสาวไส้ได้เกิดขึ้นโดยเหยี่ยวข่าวสงครามที่ฝักใฝ่อิสราเอล, อาริ ไฟส์เชอร์ และ
แลนนี เดวิส. ไฟส์เชอร์ เป็นโฆษกของยอร์ช
ดับเบิลยู บุช ผู้ออกอาการขุ่นเคือง เมื่อเฮเลน โทมัส
ไล่ถามเกี่ยวกับความน่าขยะแขยงของอาชญากรรมสงคราม บุช-เชนีย์ และ
การทรมานที่ผิดกฎหมาย.
งานของเขาไม่ใช่อยู่ที่การตอบคำถามของหญิงโอหังผู้นี้
แต่ที่เบี่ยงเบนความสนใจ, หลีกเลี่ยง และ กลบเกลื่อนให้เจ้านายของเขา.
Davis was the designated defender whenever Clinton got into
hot water. As journalist Paul Jay pointed out, he is now a Washington lobbyist
whose clients include the cruel corporate junta that overthrew the elected
president of Honduras. Both men rustled up the baying pack of Thomas-haters
during the weekend and filled the unanswered narrative on Fox and other
facilitating media.
เดวิสได้รับหน้าที่ปกป้องเมื่อไรคลินตันตกน้ำร้อน. ดังที่นักข่าว พอล เจย์ ชี้ให้เห็น, ตอนนี้เขาเป็นนักล็อบบี้ในวอชิงตัน
ซึ่งของเขารวมกองทัพรับจ้างที่โหดเหี้ยม
ที่ล้มล้างประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งของฮอนดูรัส. ชายทั้งสองระดมพลพรรคผู้เกลียดโทมัส ในระหว่างสุดสัปดาห์
และ เติมเต็มบทบรรยายในฟ็อกซ์ และ สื่ออื่นๆ.
Then, belatedly, something remarkable occurred. People
reacted against this grossly disproportionate punishment. Ellen Ratner, a Fox
News contributor, wrote — “I’m Jewish and a supporter of Israel. Let’s face it:
we all have said things—or thought things—about ‘other’
groups of people, things that we wouldn’t
want to see in print or on video. Anyone who denies it is a liar. Giver her
[Helen] a break.”
และแล้ว,
แม้จะสายไปหน่อย, บางสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น.
ประชาชนแสดงปฏิกิริยาต่อต้านการลงโทษที่เกินไปอย่างน่าเกลียด. เอลเลน แร็ตเนอร์, ผู้สื่อข่าวของฟ็อกซ์คนหนึ่ง,
เขียนว่า—“ดิฉันเป็นชาวยิว และ สนับสนุนอิสราเอล.
ขอให้เราเผชิญหน้ากับเรื่องนี้:
พวกเราทั้งหมดได้พูดสิ่งต่างๆ—หรือคิดสิ่งต่างๆ—เกี่ยวกับคนกลุ่ม ‘อื่น’, สิ่งที่เราไม่ต้องการเห็นในสิ่งพิมพ์
หรือ ในวีดีโอ. ใครก็ตามที่ปฏิเสธเรื่องนี้
เป็นคนโกหก. ให้เธอ (เฮเลน)
มีเวลาหยุดพักมั่ง.”
Apparently, many people agree. In an internet poll by the
Washington Post, 92% of respondents said she should not be removed from the
White House press room. As an NPR listener, R. Carey, e-mailed: “D.C. would be
void of journalists if they all were to quit, get fired or retire after making
potentially offensive comments.”
ปรากฏว่า
หลายคนเห็นด้วย. ในการสุ่มทางอินเตอร์เน็ตโดยวอชิงตันโพสต์,
ผู้ตอบ 92% บอกว่า
เธอไม่ควรถูกขับออกจากห้องข่าวของทำเนียบขาว.
อาร์ แครีย์, ในฐานะที่เป็นผู้ฟังวิทยุสาธารณะแห่งชาติ (เอ็นพีอาร์)
ได้ส่งอีเมล: “ดี.ซี. อาจเกิดหลุมว่างนักข่าว ถ้าทั้งหมดลาออก,
ถูกไล่ออก หรือ ปลดเกษียณหลังจากแสดงความเห็นที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่/ไม่พึงปรารถนา.”
Listen to Michael Freedman, former managing editor for
United Press International: “After seven decades of setting standards for
quality journalism and demolishing barriers for women in the workplace, Helen
Thomas has now shown that most dreaded of vulnerabilities—she is human—. Who
among us does not have strong feelings about the endless warfare in the Middle
East? Who among us has said something we have come to regret?…. Let’s not
destroy Ms. Thomas now.”
ไมเคิล ฟรีดแมน,
อดีตบรรณาธิการผู้จัดการของยูไนเต็ดอินเตอร์เนชั่นเนล กล่าวว่า: “หลังจากเจ็ดทศวรรษของการวางมาตรฐานสำหรับการทำข่าวคุณภาพ
และ ล้มล้างเครื่องกีดกันสำหรับผู้หญิงในที่ทำงาน, เฮเลน โทมัส
ตอนนี้ได้แสดงออกถึงความเปราะบางที่น่ากลัวที่สุด—เธอเป็นมนุษย์. ในบรรดาพวกเรา
มีใครบ้างที่ไม่มีความรู้สึกรุนแรงเกี่ยวกับสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดในตะวันออกกลาง? ใครในบรรดาพวกเรา ได้พูดบางอย่างออกไป
ที่เรารู้สึกเสียใจภายหลัง? ... ขอให้พวกเราอย่าทำลายคุณโทมัสตอนนี้.”
Katrina vanden Heuvel, editor and publisher of The Nation,
wrote: “Thomas was the only accredited White House correspondent with the guts
to ask Bush the tough questions that define a free press—. Her remarks were
offensive, but considering her journalistic moxie and courage over many
decades—a sharp contrast to the despicable deeds committed by so many littering
the Washington political scene — isn’t there room for someone who made a
mistake, apologized for it and wants to continue speaking truth to power and
asking tough questions?”
คาตรินา แวนเดน
ฮูเวล, บรรณาธิการและเจ้าของ เดอะเนชั่น, เขียนว่า: “โทมัส
เป็นผู้สื่อข่าวทำเนียบขาวเพียงผู้เดียวที่เชื่อถือได้ ด้วยมีกึ๋นมากพอที่จะถามบุช
ด้วยคำถามหินๆ ที่เป็นตามคำจำกัดความของสื่อเสรี... ความเห็นของเธอก้าวร้าว,
แต่เมื่อพิจารณาถึงพลังและความกล้าหาญของเธอที่ทำให้วงการสื่อข่าวมีชีวิตชีวา
มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ—อันเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการกระทำระยำต่ำช้าของพวกเศษขยะมากมายที่เรี่ยราดในฉากการเมืองวอชิงตัน—มันไม่มีพื้นที่บ้างเลยหรือ
สำหรับบางคนที่ทำผิดพลาด, แล้วได้กล่าวขอโทษ และต้องการจะได้พูดความจริงต่ออำนาจ
และ ตั้งคำถามหินๆ ต่อไป?”
Last week, in front of the White House, people calling
themselves “Jews for Helen Thomas” gathered in a small demonstration. Medea
Benajmin—cofounder of Global Exchange, declared that “We are clear what Helen
Thomas meant to say, which is that Israel should cease its occupation of
Palestine and we agree with that.” While another demonstrator, Zool Zulkowitz,
asserted that “by discrediting Helen Thomas, those who believe that Israel can
do no wrong shift attention from the public relations debacle of the Gaza
Flotilla killings, and intimidate journalists who would ask hard questions
about the Israeli occupation of Palestine and American foreign policy.”
สัปดาห์ที่แล้ว,
ที่หน้าทำเนียบขาว, ประชาชนที่เรียกตัวเองว่า “ยิวเพื่อเฮเลน โทมัส”
ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มประท้วงเล็กๆ. มีเดีย
เบนจามิน—ผู้ร่วมก่อตั้ง โกเบิลเอ็กซ์เช้นจ์, ประกาศว่า “พวกเรามีความชัดเจนว่า
สิ่งที่ เฮเลน โทมัส ตั้งใจจะพูด, นั่นคือ อิสราเอล ควรหยุดยึดครองปาเลสไตน์
และพวกเราก็เห็นด้วยเช่นนั้น”.
ในขณะที่ผู้ประท้วงคนอื่น, ซูล ซูลโควิตซ์, ยืนกรานว่า “ด้วยการป้ายสีทำลายเครดิตของเฮเลน
โทมัส, พวกที่เชื่อว่า อิสราเอล ไม่สามารถทำผิดใดๆ ได้ ก็ได้ขยับจุดยืนจากการพังทลายของกองประชาสัมพันธ์เรื่องการสังหารในกาซา
ฟลอทิลลา, และ การข่มขู่นักข่าวผู้ตั้งคำถามยากๆ เกี่ยวกับการที่อิสราเอลยึดครองปาเลสไตน์
และ นโยบายต่างประเทศของอเมริกัน”.
Helen Thomas, who grew up in Detroit, is an American of Arab
descent. She is understandably alert to the one-sided U.S. military and foreign
policy in that region. Her questions reflect concerns about U.S. policy in the
Middle East by many Americans, including unmuzzled retired military, diplomatic
and intelligence officials.
เฮเลน โทมัส,
เติบโตในเมืองดีทรอยต์, เป็นอเมริกันที่สืบสายจากบรรพชนอาหรับ. เธอย่อมตื่นตัวกับนโยบายลำเอียงของการทหารและการต่างประเทศของสหรัฐฯ
ในภูมิภาคนั้น. คำถามของเธอสะท้อนถึงความห่วงใยเกี่ยวกับนโยบายสหรัฐฯ
ในตะวันออกกลาง โดยชาวอเมริกันหลายคน, รวมทั้งเจ้าหน้าที่ๆ ปลดเกษียณแล้วแต่ไม่ยอมถูกปิดปาก
ในอาชีพทหาร, นักการทูต และ นักกรองข่าว.
In 2006 when George W. Bush finally called on her, she
started her questioning by saying “Your decision to invade Iraq has caused the
deaths of Americans and Iraqis. Every reason given, publicly at least, has
turned out not to be true.” Or when she challenged President Obama last month,
asking “When are you going to get out of Afghanistan? Why are we continuing to
kill and die there? What is the real excuse?”
ในปี ๒๕๔๙ เมื่อ
ยอร์ช ดับเบิลยู บุช ในที่สุดได้ขานชื่อเธอ, เธอก็เริ่มถามด้วยการพูดว่า “การตัดสินใจของท่านให้บุกรุกอิรัค
ได้เป็นสาเหตุของความตายของชาวอเมริกันและชาวอิรัค. ทุกๆ เหตุผลที่ได้แถลง, อย่างน้อยในที่สาธารณะ,
ล้วนปรากฏว่าไม่เป็นความจริง”. หรือ
เมื่อเธอท้าทายประธานาธิบดีโอบามาเมื่อเดือนก่อน, ถามว่า “เมื่อไรท่านจะออกจากอัฟกานิสถาน? ทำไมพวกเราถึงยังคงสังหารและตายที่นั่น? จริงๆ แล้วอะไรเป็นข้อแก้ตัว?
Asking the “why” questions was a Thomas trademark. Many self-censoring
journalists avoid controversial “why” questions, thereby allowing evasion,
dissembling and just plain B.S. to dominate the White House press room. She
rejected words that sugarcoated or camouflaged the grim deeds. She started with
the grim deeds to expose the doubletalk and officialdom’s chronic illegalities.
ด้วยการถาม “ทำไม”
เป็นเครื่องหมายการค้าของเฮเลน โทมัส.
นักข่าวที่เซ็นเซอร์ตัวเองหลายคนหลีกเลี่ยงคำถามที่ขัดแย้งในตัว “ทำไม”, ดังนั้น
อนุญาตให้มีการหลบเลี่ยง, อำพรางกลบเกลื่อน และ แค่ B.S. ง่ายๆ ซึ่งครอบงำอยู่ในห้องข่าวในทำเนียบขาว. เธอปฏิเสธคำพูดเคลือบน้ำตาล หรือ
อำพรางการกระทำที่เลวร้าย. เธอเริ่มด้วยการกระทำที่โหดเหี้ยม
เพื่อเปิดโปงความปลิ้นปล้อน และ การกระทำผิดกฎหมายเรื้อรังในอาณาจักรข้าราชการ.
What appalled Thomas most is the way the media rolls over
and fails to hold officials accountable. (British reporters believe they are
tougher on their Prime Ministers.) This is a subject about which she has
written books and articles—not exactly the way to endear herself to those
reporters who go AWOL and look the other way, so that they can continue to be
called upon or to be promoted by their superiors.
สิ่งที่ทำให้โทมัสตื่นตระหนกมากที่สุด
คือ วิธีการที่สื่อมองข้าม และ
ล้มเหลวในภารกิจของการทำให้ข้าราชการเป็นที่เชื่อถือพึ่งพาได้. (นักข่าวอังกฤษเชื่อว่า
พวกเขาหินต่อนายกรัฐมนตรีของเขามากกว่า)
นี่เป็นเรื่องที่เธอเขียนในหนังสือและบทความต่างๆ—ไม่ใช่เป็นการวิธีการที่จะทำให้ตัวเธอเป็นที่รักใคร่ของเหล่านักข่าวที่
ไปทาง AWOL และมองไปทางอื่น, เพื่อว่า พวกเขาจะได้ถูกขานเรียกเรื่อยๆ หรือ
ได้รับการเลื่อนขั้นโดยเจ้านาย.
The abysmal record of the New York Times and the Washington
Post in the months preceding the Iraq invasion filled with Bush-Cheney lies,
deception, and cover-ups is a case in point. As usual, she was proven right,
not the celebrated reporters and columnists deprecating her work, including the
Post‘s press critic, Howard Kurtz.
บันทึกกองมหาศาลของนิวยอร์กไทมส์
และ วอชิงตันโพสต์ ในหลายเดือนก่อนการบุกรุกอิรัค เต็มไปด้วยคำโกหก, เสแสร้ง,
และกลบเกลื่อน ของบุช-เชนีย์ เป็นกรณีตัวอย่าง.
เช่นเคย, เวลาได้พิสูจน์ว่าเธอถูก, ไม่ใช่พวกนักข่าวและคอลัมนิสต์ที่มีชื่อเสียง
ที่ไม่เห็นด้วยกับงานของเธอ, รวมทั้งนักวิพากษ์แห่ง โพสต์, โฮเวิรฺด เคอร์ตส์.
Thomas practiced her profession with a deep regard for the
peoples’ right to know. To her, as Aldous Huxley noted long ago, “facts do not
cease to exist because they are ignored.”
โทมัส
ทำงานวิชาชีพของเธอด้วยความเคารพต่อสิทธิของประชาชนในการรับรู้. สำหรับเธอ, ดังที่ อัลดัส ฮักซเลย์
ได้กล่าวนานมาแล้ว, “ข้อเท็จจริงไม่ได้ยุติการธำรงอยู่ เพียงเพราะถูกเมิน”.
Lastly, there is the double standard. One off-hand
“ill-conceived remark,” as NPR Ombudsman Alicia Shepard stated, in praising Ms.
Thomas, ended a groundbreaking career. While enhanced careers and fat lecture
fees are the reward for ultra-right wing radio and cable ranters, and others like
columnist Ann Coulter, who regularly urge wars, mayhem and dragnets based on
bigotry, stereotypes and falsehoods directed wholesale against Muslims,
including a blatant anti-semitism against Arabs. (See
http://www.adc.org/education/educational-resources/ and Jack Shaheen’s book and
companion documentary about cultural portrayal of Arab stereotypes, Reel Bad
Arabs.)
สุดท้าย,
มีมาตรฐานสองระดับ. “ความเห็นฉับพลันที่ขาดการกลั่นกรองด้วยดี”
เพียงครั้งเดียว, ดังที่ผู้ตรวจการ เอ็นพีอาร์ อลิเซีย เชฟปาร์ด กล่าว,
ในการสรรเสริญ คุณโทมัส, เป็นจุดจบของอาชีพที่ได้เปิดทางมา. ในขณะที่อาชีพรุ่งเรืองขึ้น และ
ค่าแสดงปาฐกถาแพงๆ เป็นรางวัลสำหรับพวกนักจ้อวิทยุและเคเบิลที่ฝักใฝ่ขวารุนแรง,
และคนอื่นๆ เช่น คอลัมนิสต์ แอน คูลเตอร์, ผู้ยุยงอย่างสม่ำเสมอให้ทำสงคราม, การประทุษร้าย,
การไล่ล่าคนร้าย ที่ตั้งอยู่บนฐานของความรู้สึกที่ไร้เหตุผล, การเหมารวม และ
การใส่ร้ายป้ายสีที่พุ่งไปทั้งข้องต่อชาวมุสลิม, รวมทั้ง
การต่อต้านชาวอาหรับอย่างโจ่งแจ้ง. (ดูเว็บ...)
Ms. Thomas’ desk at the Hearst office remains unattended a
week after her eviction. One day she will return to pack up her materials. She
can take with her the satisfaction of joining all those in our history who were
cashiered ostensibly for a gaffe, but really for being too right, too early,
too often.
โต๊ะของคุณโทมัส
ที่สำนักงานเฮิร์สต์ ยังคงว่างอยู่หนึ่งสัปดาห์หลังจากขับไล่เธอออกไป. วันหนึ่ง เธอจะกลับมาเก็บข้าวของๆ เธอ. เธอสามารถจะเอาติดตัวด้วยความพอใจที่ได้ร่วมอยู่ในบรรดาคนในประวัติศาสตร์ของเรา
ที่ถูกขับไล่ ด้วยเสแสร้งว่าเพราะประพฤติเสียมารยาทสังคม, แต่ที่จริง เป็นเพราะ
ถูกต้องเกินไป, เช้าเกินไป, และบ่อยเกินไป.
Her many admirers hope that she continues to write, speak
and motivate a generation of young journalists in the spirit of Joseph
Pulitzer’s advice to his reporters a century ago—that their job was to “comfort
the afflicted and afflict the comfortable.”
ผู้ชื่นชมเธอหลายๆ
คนหวังว่า เธอจะเขียนต่อไป, พูดและกระตุ้นนักข่าวรุ่นเยาว์ ในวิญญาณของคำแนะนำของ
โจเซฟ พูลิตเซอร์ ต่อนักข่าวของเขา เมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้ว—ว่า งานของพวกเขา คือ “ปลอบใจพวกที่ถูกทำให้เดือดร้อน
เป็นทุกข์ และ สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่สุข”.
This work is licensed
under a Creative Commons Attribution-Share Alike 3.0 License
Ralph Nader is a consumer advocate,
lawyer, and author. His latest book is The Seventeen Solutions: Bold Ideas for
Our American Future. Other recent books include, The Seventeen Traditions:
Lessons from an American Childhood, Getting Steamed to Overcome Corporatism:
Build It Together to Win, and "Only The Super-Rich Can Save Us" (a
novel).
Published on Monday, July 22, 2013 by Common Dreams
GuyTouquet • 10 hours ago
Helen Thomas found herself
neck-deep in Judaic fury because she was right. The transplantation of European
refugees to Palestine was a bad idea. It displaced millions of non-Europeans to
make room for the transplants, and it eventually produced a racist government
with a state religion that claims exalted status in the eyes of its god, along
with a license to kill.
I suppose Helen Thomas got as
angry as I do when I run across an “Israeli” from Brooklyn or London. What
entitles these people to live on lands that were seized from folks who were
born there? Don’t say it’s because they’re God’s chosen people, because anybody
can say that. I’ve never known a thief who didn’t claim other people’s property
was put in his possession by providence.
Israel should have been
created in Texas or the Rheinland or Ukraine, on lands seized from the
chauvinistic peoples that spawned world war, and not in Palestine, among
peoples that had come to spurn warfare and nationalism. It was morally wrong
for the war’s winners to destroy a peaceful nation with an indigenous
culture–Palestine, where religious tolerance had reigned for generations–to
create a warlike nation with an alien, hostile culture in its place.
Time hasn’t healed any of the
wounds inflicted by the establishment of a Jewish state in Palestine. That’s
because the Jewish state recognizes the full citizenship of Jews only. Jews,
whether from Russia, North America, Africa or elsewhere, enjoy privileges in
Israel that indigenous non-Jews don’t. Arabs who can’t produce the requisite
ownership documents may be evicted from their homes, even today, to be replaced
by Jews from the farthest corners of the earth.
Eventually, Israel will
destroy the Jewish religion. It’s hard to maintain a moral code alongside a
military code that encourages the slaughter of civilians and a civil code that
dispossesses innocents. It’s a religion that seems to mistake retribution for
self-defense. “Do unto others,” Israeli Jews seem to be saying, “but do it
first. ”
Of course, no American, not
Helen Thomas and not Guy Touquet, is in a position to lecture Israel. Americans
kill children by remote control in Pakistan so we can assassinate their
parents, and we don’t apologize for it. Americans displaced huge segments of the
population of Iraq and erected barriers–physical and political–to keep them
from ever returning. As bad as Israel is, we’re worse.
But when you’re right, you’re
right, and Helen Thomas was right about Palestine.
see more
erroll > GuyTouquet • 8
hours ago
You note:
"What entitles these
people to live on lands that were seized from folks who were born there?"
Indeed as that trenchant
question needs to be brought to the attention of USA Today reporter Owen
Ullmann who, in an otherwise laudatory article that he had written in that
paper today, opined of Ms. Thomas that:
"In truth, Helen has had
her biases. She championed the powerless, the poor, the unemployed, the
voiceless victims of human rights abuses."
"And as a Lebanese-American,
she was forced to resign as a Hearst columnist in 2010 after making an
anti-Israeli comment: 'Tell them to get the hell out of Palestine.' "
"I'd like to think that
her pro-Palestinian bent was based on her instinct to defend the oppressed underdogs
of the world, whoever they may be" but then adds: "and that she would
have been just as vigorous in defending Israelis if their land had been
occupied." ["Thomas leaves an enduring legacy" July 22, 2013]
First of all, despite
Ullmann's implication, Israel should not be viewed as being an "oppressed
underdog". Second is the fact that Ullmann is not acknowledging that it is
the indigenous inhabitants whose land had been appropriated by the Israelis and
that much of Israel is made up of land that once belonged to the Palestinians.
And it seems that in Ullmann's eyes Ms. Thomas committed an egregious act when
she had the temerity to state that the Israelis do not have the right to live
on Palestinian land. This only proves that Ms. Thomas, unlike Owen Ullmann, had
the courage to point out that which many politicians do not wish to hear and
that was the truth.
see more
John Wolfe • 10 hours ago
Funny that when Gingrich last
year said that the Palestinians were not a people, O'Bomber and his minions
refused, when asked, to rebuke Gingrich for that comment. Same when Romney
blamed the Palestinian culture for their plight. So we see that slurs going
only one way, toward Israel, are punished, while no one, including O"Bomber's
flunkies, dare refute slurs against Palestinians.
When Helen said she'd wished
that "they'd go back to Europe", I'm sure she was referring to the
settlers who have emigrated from Eastern Europe, under various sponsors, since
the collapse of the Soviet Empire. Those imports constitute most of those who
now occupy the territories conquered in the 1967 war, having settled in those
exact areas that both the UN and international law deem to be illegally
occupied.
She also made her remarks just
days after the Israeli murder of 13 Turks on the Mavi Mavara, a ship bound for
Gaza to give some relief to those suffering there. The cowardly IDF, once they
boarded the ship, began losing their fist fights with the Turks, so they
resorted to what the IDF does best, and that is to kill Arabs with US weapons.
Most died from close head shots.
So Thomas is fired, Chomsky
totally muzzled, while the likes of Coulter, Limbaugh, and Beck make the covers
of national magazines and spew their bigotry with impunity. But, one slip up
against Israel ended a fine 60 year career. Go figure!
capt jim mcintyre > John
Wolfe • 10 hours ago
Great point, more proof to
pile on the mountain of it!
ZeroPointField > John Wolfe
• 10 hours ago
if it was just 60 year careers
of journalists who have been at the top of their game for decades, why would i
care?
But down here, in the Bowels
of thinking for the have-nots, if such truths are told, counterattacks are
launched and down arrows are imparted with military precision on any comments depicting
Zionists as wrong doers, no matter how accurate, justified and contextual.
I learnt truth telling from
the mainly Jewish writings of Husserls, Arendt and Benjamin. These folks
obviously ascribe to the new compulsion of NetanYahoo.
DeShawn • 8 hours ago
I completely respect the
pioneering role that Ms. Thomas played vis-a-vis women in journalism. I would
argue, however, that her more lasting legacy will be her extreme bravery and
integrity in telling the truth about Jewish supremacism in Israel-Palestine, in
a vocation that is overwhelming dominated by Zionist Jews no less. Charging
this brave woman with "anti-Semitism" is moreover absurd, since she's
more of a Semite than the Khazar/Ashkenazi land thieves that accuse her. More
journalists like her need to take a stand and name the group that is
controlling the people's access to information. The 2% controlling the 98%'s
access to truth is just as egregious as the 1% controlling the 99% wealth, and
to be frank, those 2% and 1% demographics overlap quite a bit.
maryann26 > DeShawn • 4
hours ago
Any time anyone criticizes the
Jews for anything, they spew anti-semitism. By now, people should be more than
sick of it.
capt jim mcintyre • 10 hours
ago
"about the responsibility
of journalists to hold politicians responsible with tough, probing, questions
that are asked repeatedly until they are either answered or the politician is
unmasked as an unaccountable coward".
Ralph Nader
I think she was in the process
of unmasking this phony too, as you probably remember he never did answer her,
just before she was removed.
They got tired of having to be
unmasked by a honest and brave , and respected by many old lady!
Whenever they can get away
with this kind of smearing the Semite because she piss off the BIG CATS, by
what they said was anti Semitic is really injustice at its most despicable
level!
Carol Davidek-Waller • 5 hours
ago
I didn't think her remarks
were offensive. It's muzzling the truth about the crimes and genocide of Israel
that is enabling them to continue. The Israelis know it and have attack dogs
always at the ready. I think it's offensive that the US elites are delegating
their foreign policy to another nation.
RehungLeft • 3 hours ago
Another true Hero or is it
Herione..... by any term. Speak truth to power. RIP an Amerikkkan icon... or
such.
maryann26 • 4 hours ago
Helen Thomas was a true
journalist. I wish there were more like her. She was the only person to ask
tough questions about the Iraq invasion.
Ms. Thomas was fired because
she spoke the truth about Israel. I agreed with her. It is pity that she was
fired for being right. That is the fate of too many people who are right.
May Helen Thomas RIP.
Gordon • 2 hours ago
Thanks for Bush, Ralph Nader.
ene-bene-raba • 3 hours ago −
http://www.youtube.com/watch?v...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น