วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

46. กู้สุขภาพคน-นิเวศ สร้างธรรมาภิบาล





โครงการ                 อาหารอินทรีย์สู้โรค :  กู้สุขภาพคน-นิเวศ สร้างธรรมาภิบาล
ผู้รับผิดชอบ           คุณไพโรจน์  รุ้งรุจิเมฆ
องค์กร                    บ้านไร่ไพโรจน์
ที่อยู่                        ๕๕ หมู่บ้านกลางเมือง  ซอยศรีนครินทร์ ๒๔   ถนนศรีนครินทร์
                                แขวงสวนหลวง  เขตสวนหลวง  กรุงเทพฯ ๑๐๒๕๐
โทรศัพท์                 086-367-4362, 085-975-4086
Email                     phair_ru@hotmail.com
Website                 www.fcthai.com




หลักการและเหตุผล
ในเวทีการประชุมเชิงวิชาการทั้งด้านสังคมวิทยาหรือสหวิชา  ส่วนใหญ่มักจะวนเวียนอยู่ที่การวิเคราะห์ปัญหา หรืออาการป่วยของสังคมและโลก ว่ามีสาเหตุตั้งแต่โลกาภิวัตน์/ความโลภ จนถึงอัตลักษณ์/ชาติพันธุ์/สิทธิ์   โดยรวม คือ การพัฒนาแบบบนกดทับล่าง ทำลายความหลากหลายของมนุษย์ สัตว์ และนิเวศ ด้วยพลังคอรัปชั่น หรืออาจยืมจากพุทธวาทะกรรมมาอธิบายว่า “อวิชชาและกิเลส” ครองโลก ในรูปของทุนนิยม-วัตถุนิยม-บริโภคนิยม   อาการป่วยเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ได้ด้วยกลไกรัฐ ตามทฤษฎีกระแสหลักของรัฐศาสตร์  เพราะขณะนี้กลไก รัฐทุกระดับถูกอำนาจ “อวิชชา” ดังกล่าวครอบงำจนหมดอำนาจที่จะรักษาความเป็นธรรม หรือธำรงความสมดุลระหว่างธรรมะกับอธรรมะได้ ดังที่คาดหมายตามทฤษฎีการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมกระแสหลัก
                ปรากฏการณ์น้ำท่วมเกือบทั่วประเทศไทยในปลายปี ๒๕๕๔ และคำร้องเรียนจากการจ่ายเงินชดเชยที่บิดเบี้ยว ตลอดจนความไม่ชัดเจนในการรับมือกับภัยน้ำระลอกใหม่ เป็นสัญญาณให้ภาคประชาสังคม—ปัญญาชน นักกิจกรรม พลเมือง—ต้องรีบเปลี่ยนกระบวนทัศน์   ความไม่พร้อมในระดับนโยบายที่จะเตรียมชาวไทยให้พร้อมรับมือกับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ในอีก ๒-๓ ปีข้างหน้า  (2015) บวกกับข่าวลือการฟื้นคืนชีพของกระแสเจ้าอาณานิคม/ทุนนิยมตะวันตกที่กำลังหิวโหยด้วยวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน (เช่น เปลวสีเงิน “ไทยที่ถูกขนาบ ศึกนอก-ศึกใน” ไทยโพสต์ ๑๑ มิย ๒๕๕๕) ว่า ต้องการทำลายระบบเศรษฐกิจพอเพียงในไทย   ทำให้การถกเถียงในวงการวิชาการและปัญญาชนไทย ดูเหมือนเป็นการสร้างวาทะกรรมมากกว่าสามารถผ่าทางตันให้แก้ไขความป่วยของประเทศได้   ในเชิงวิชาการ น่าจะสรุปได้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลมากมายว่า ชาวไทยยังไม่พร้อม  โจทย์คือ จะทำให้ชาวไทยแข็งแรงขึ้นพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อย่างไร ?

โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการ  “อาหารอินทรีย์สู้โรค”  และนัยสำคัญ
                โครงการ “อาหารอินทรีย์สู้โรค” เป็นการยกระดับความสำเร็จของบ้านไร่ไพโรจน์ ซึ่งเป็นวิสาหกิจสังคมขนาดเล็กที่ผลิตพืชผลด้วยวิถีเกษตรพอเพียงเลียนแบบวงจรป่าธรรมชาติ ให้มีคุณภาพสูงพอสำหรับใช้ประกอบเป็นอาหารเพื่อรักษาโรคได้  ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อช่วยเกษตรกรเศรษฐกิจพอเพียงให้มีสถานภาพสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มมูลค่า ไม่เพียงแต่เพื่อรักษาสุขภาพ แต่ยังรักษาโรคได้ด้วย   สมาชิกเกษตรกรที่ได้รับใบรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ในการเยียวยา จากบ้านไร่ไพโรจน์ จะสามารถมีรายได้ ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน เพราะผลิตอาหารที่รักษาโรคได้  เมื่อเจ้าของมีองค์ความรู้ในการรักษาโรค ก็จะไม่คิดโกงผู้บริโภคด้วยการใช้สารเคมีในแปลงพืชผักของตน  (เพราะจะทำให้รักษาโรคไม่ได้ผล  เป็นการทุบหม้อข้าวตนเอง)
                จากประสบการณ์ชมรมสุขภาพ 6009 ของบ้านไร่ไพโรจน์ (www.fcthai.com) ที่รักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง (ต่อมน้ำเหลือง  ต่อมลูกหมาก เต้านม)  ตับอักเสบ  เบาหวาน  โคเรสเตอรัลสูง  อ้วนเกิน/ผอมเกิน  ความดันสูง เป็นต้น    ทำให้ตระหนักว่า การใช้อาหารอินทรีย์เช่นนี้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาตามกระแสหลักในโรงพยาบาลทั่วไปมาก  นี่หมายถึงการช่วยประหยัดงบประมาณสาธารณสุขของรัฐบาลได้มหาศาล  หากประสบการณ์นี้ สามารถแพร่หลายไปทั่วประเทศไทย
                ผลพวงจากการที่เกษตรกรมีมูลค่าเพิ่มเช่นนี้ จะช่วยให้ “กระดูกสันหลัง” ของชาติเลิกป่วยด้วยโรคหนี้ หรือถูกยัดเยียดให้ “โง่ จน เจ็บ”   การทำเกษตรอินทรีย์พอเพียงที่รักษาโรคได้ จะต้องมีการขุดบ่อน้ำ ซึ่งจะเป็นแก้มลิง
ย่อมๆ กระจายไปทั่ว  และการรักษาดินเลียนแบบและปลูกป่า ก็จะเป็นการช่วยบรรเทาความรุนแรงของภัยแล้งสลับน้ำท่วม   ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี (ราคาแพง) ที่ทำลายคุณสมบัติของดิน  น้ำ  อากาศ   ความไร้สารของผืนดินเกษตรไทย ซึ่งเป็นแผ่นดินทองในการผลิตอาหาร จะทำให้ประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งในการเป็น ครัวโลกไร้สาร (เกษตรกรเป็นผู้ถือหุ้นด้วย)  แทนที่จะทำลายทรัพยากรล้ำค่านี้ หรือปล่อยให้เกษตรกรจำต้องขายที่ทำกินให้คนต่างชาติ   การรักษาทรัพยากรดิน น้ำ อากาศ (ไม่ใช่แค่ sun, sand, sea and sex)  และชื่อเสียงอาหารไทยรักษาโรคได้ จะเป็นจุดดึงดูดให้ชาวโลกมาท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่เคารพความเป็นคนไทย และแผ่นดินไทย   รายได้หลักจากทั้งสองแหล่ง จะช่วยลดการพึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมต่างชาติ ที่ทำร้าย/ทำลายนิเวศ และความเป็นไทยมากกว่า “พัฒนา”

กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติ

ก.      ประชาสัมพันธ์
a.       แม้จะมีสมาชิกของชมรมสุขภาพ 6009 (ปัจจุบันมี ๖๐ กว่าคน) ได้หายฟื้นจากโรคร้าย  แต่เพื่อเป็นการทดลองให้เห็นประจักษ์  เพื่อนใกล้ชิด หรือรู้ข่าว สามารถจะเข้าทดลองรับบริการรับประทานอาหารของชมรมได้
b.      มีการตรวจเลือดและร่างกายก่อนและหลังการรักษา  จากประสบการณ์ ผู้ป่วยทั่วไป จะเห็นผลใน ๒-๓ สัปดาห์  ในรายที่อาการหนักมาก อย่างเช่นผู้ป่วยล่าสุดที่เป็นมะเร็งขั้นที่ ๔  ได้แสดงอาการตอบสนองหลังจากรับประทานอาหารของชมรมสุขภาพไป ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ผู้ป่วยคนนี้มีโอกาสรอดด้วยวิธีนี้  แม้ว่าผู้ป่วยคนนี้จะยังไม่พ้นขีดอันตราย จะต้องปรับอาหารไปตามสภาวะ
c.       ประชาสัมพันธ์  ให้ความรู้แก่สาธารณชนถึงภัยในห่วงโซ่อาหารกระแสหลักที่ทำให้เกิดโรคทั้งเฉียบพลันและซ่อนเร้น  ที่สำคัญ ประชาชนจะได้รับรู้ว่า ตนมีทางเลือก  จะหาได้ที่ไหน  และในราคาที่จ่ายได้
d.      ลดมายาคติว่า อาหารเพื่อสุขภาพ ต้องเป็นมังสวิรัติ ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย  สิ่งสำคัญ วัตถุดิบจะต้องมาจากดินที่มีพลังชีวิต หรือ ปลา เป็ดไก่ ก็ต้องเลี้ยงด้วยตามธรรมชาติของสัตว์เลี้ยง มีอิสระและมีศักดิ์ศรี แม้ท้ายสุดจะต้องกลายเป็นอาหารของมนุษย์
e.      ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการที่สมดุล จะทำให้คนรู้จักบริโภค และสามารถลิ้มรสอาหารธรรมชาติ และการใช้เครื่องปรุง แทนที่จะใช้เครื่องปรุงรสจัดเพื่อกลบเกลื่อนรสชาดที่ไม่พึงปรารถนาจากสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพืชผัก
ข.       สร้างวิทยากร แปลงสาธิต และการรักษา
a.       ต่อยอดจากเครือข่ายของเอ็นจีโอ หรือหน่วยงานที่ทำงานส่งเสริมเกษตรทางเลือก โดยเลือกผู้นำชุมชน จังหวัดละ ๑ คน ให้มาเข้าร่วมการอบรมที่บ้านไร่ไพโรจน์  (หรือเรียนรู้ด้วยคู่มือ เพราะมีพื้นฐานการเกษตรอยู่แล้ว)
b.      ผู้นำแต่ละคน จะต้องนำความรู้ไปปฏิบัติ—ฟื้นฟูดิน เพาะปลูก และรักษา—รวมทั้งถ่ายทอดความรู้ให้สมาชิกอื่นๆ ในชุมชน ที่สำคัญ ผู้สอนจะต้องลงมือทำด้วย
c.       บ้านไร่ไพโรจน์ จะลงพื้นที่ไปติดตามเป็นระดับภาค เพื่อฝึกการให้คำปรึกษา แก้ปัญหา สร้างคน/วิทยากรไปในกระบวนการเรียนรู้และปฏิบัตินี้
ค.      เชื่อมผู้ผลิต-ผู้บริโภค ลดคนกลาง
a.       ผู้ผลิตส่วนใหญ่อาจจะอยู่ในชนบท  แต่คนในเมืองก็ผลิตได้ หากมีที่ดินอย่างน้อย ๕ ไร่ต่อเกษตรกร ๑ คน เพื่อการรักษาโรคของผู้ป่วย ๕๐ คน  (ที่ดินกึ่งหนึ่ง นำมาปลูกพืชผัก ๔๐-๕๐ ชนิด  ส่วนที่ดินอีกกึ่ง เพื่ออยู่อาศัยปลูกป่าและขุดบ่อน้ำ เป็นต้น  หากทั้งสามีภรรยาต้องการทำ ก็จะต้องมีที่ดินอย่างน้อย ๑๐-๑๒ ไร่ เพื่อประกันรายได้คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท/เดือน)
b.      เมื่อสาธารณชนมีความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น จะเกิดผู้บริโภค (ทั้งเพื่อสุขภาพและเพื่อรักษาโรค) และผู้ผลิตมากขึ้น  ทำให้สามารถจับกลุ่มให้ใกล้เคียงกัน เพื่อลดโสหุ้ยการขนส่ง และคนกลาง   โครงการนี้ จึงรับสมัครสมาชิก ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อสร้างฐานข้อมูลให้สะดวกในการวางแผนการกระจายสินค้าและบริการ  รวมทั้งเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย เปรียบเทียบและค้นคว้าต่อไป
ง.       สมาชิกทุกคนเป็นนักวิจัยอาสาได้หมด โดยเก็บข้อมูลตามที่บ้านไร่ไพโรจน์ออกแบบ เพื่อให้เอื้อต่อการติดตาม ประเมินผล/ถ่ายทอดความรู้ รวมทั้งแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที  (ข้อมูลจะอยู่ทั้งที่ส่วนกลางกรุงเทพฯและแต่ละจังหวัดตามความเหมาะสม)
จ.       กระบวนการมีส่วนร่วมที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สุขภาพ นี้ จะเป็นฐานการบ่มความเป็นประชาธิปไตย หรือธรรมาภิบาลไปในตัว  

ภาคีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ก.      เอ็นจีโอ
ข.       สถาบันการศึกษา และนักวิชาการ
ค.      ผู้นำชุมชน / ปราชญ์ชาวบ้าน

งบประมาณ
ประชาสัมพันธ์
สร้างวิทยากรปฏิบัติและสาธิต
เชื่อมผู้ผลิต-ผู้บริโภค

หมายเหตุ
ปัจจุบัน โครงการนี้ยังไม่ได้ขอ หรือรับทุนใดๆ แต่เพราะกระบวนการมีลักษณะศึกษาวิจัยในตัว จึงเห็นว่า เป็น R&D (Research & Development) เหมือนกัน
โครงการนี้เป็นการริเริ่มจากจิตสำนึกร่วม จิตสาธารณะ และอาศัยทรัพยากรพื้นฐานของวิสาหกิจสังคม (social enterprise) ที่บ้านไร่ไพโรจน์ได้ดำเนินมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐  (และต้นทุนทางสังคม คือ คนรู้จัก ทักษะที่มี) ด้วยเชื่อว่า การระดมสมาชิก (เป้าหมาย ๓๐ ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรไทย) จะเป็นการขยายจิตสำนึกร่วม—ที่กินได้และแข็งแรง—เพื่อพลิกผันวิกฤตของชาติ  เนื่องจากเกษตรกรมี “ต้นทุนทรัพย์สิน” คือ ที่ดิน ทักษะเพาะปลูก ฯลฯ อยู่แล้ว การร่วมโครงการนี้ จึงเกือบไม่ต้องลงทุนมากมายอย่างไร เช่นเดียวกับการลงทุนแบบอื่น (รายละเอียดใน www.fcthai.com)
                จุดสำคัญ คือ การหาข้อต่อ (entry point) ให้เชื่อมกับฐานรากของสังคมไทย คือ ผู้นำของชุมชนที่เข้มแข็ง ตื่นตัว แสวงหาทางออกจากกระแสหลัก หรือ รู้จักแยกแยะดี-ชั่ว ในกระแสหลัก
                ผู้สนใจทั้งในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ผลิต ตลอดจนผู้เพียงแต่ต้องการติดตาม สนับสนุนโครงการนี้ สามารถสมัครเป็นสมาชิกฟรีได้ที่ www.fcthai.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น