วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

45. อาหารเป็นยา สู่ น้ำท่วมกินผัก

น้ำท่วม กินผัก ... จุดเปลี่ยน ประเทศไทย

“น้ำท่วมกินผัก” เป็นการรณรงค์ (เชิงบูรณาการ) แบบครบวงจร
เพื่อนำประเทศไทยให้ปรับตัวได้เท่าทันกับสภาวะโลกร้อน

วัตถุประสงค์
๑.      เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ และอบรมสมาชิกเกษตรกร อาหารอินทรีย์สู้โรคซึ่งเชื่อมโยงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการฟื้นฟูศักยภาพของร่างกาย
๒.    เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ห่วงใยต่อวิกฤตสุขภาพ-สังคม-โลก เป็นวงจรผู้บริโภค-ผู้ผลิต หรือวิสาหกิจสังคมเพื่อกู้สุขภาพคน-นิเวศ
๓.     เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติด้วยกลไกตลาดที่ลดคนกลางและถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตและรักษาโรคด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์พอเพียง
๔.     เพื่อรณรงค์ให้นโยบายรัฐในการพัฒนามีสุขภาพคน-นิเวศเป็นตัวตั้ง และมีธรรมาภิบาลเป็นหลัก

เป้าหมาย
ระยะสั้น/เฉพาะหน้า : ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมในปลายปี ๒๕๕๔ได้อย่างต่อเนื่องด้วยกลไกตลาดที่ไม่มีคนกลาง 
ระยะยาว : ผลักดันให้นโยบายการพัฒนาประเทศมีความสมดุลระหว่างภาคเกษตร ภาคบิการ และภาคอุตสาหกรรม โดยมีสุขภาพคน-นิเวศเป็นศูนย์กลาง และมีธรรมาภิบาล

การมีส่วนร่วม
-                    ผู้สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกทั่วไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัคร เพื่อติตามข่าวสาร
-          สมาชิกสามารถเลือกร่วมกิจกรรมได้ ในฐานะต่างๆ ดังนี้
o   ผู้บริโภค: โครงการกินผักวันละ ๓๐ บาท ช่วยชาติพ้นวิกฤตน้ำท่วม หรือ
o   ผู้ผลิต     :  โครงการเกษตรกรพอเพียง ประกันรายได้ ๒๐,๐๐๐ บาท
-          ท่านที่มีปัญหาสุขภาพและต้องการรักษาด้วยแนวทาง “อาหารเป็นยา” ท่านสามารถสมัครเป็นสมาชิก Health Club 6009 ได้
บทย่อ

                “น้ำท่วมกินผัก...จุดเปลี่ยนประเทศไทย” เป็นการตกผลึกทางความคิด จากการปฏิบัติการเชิงวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๑  ในระยะแรก เป็นการเน้นที่รักษาโรคของตนเอง  ด้วยการศึกษาค้นคว้าศาสตร์การปรับหยิน-หยางในร่างกายให้สมดุลด้วยอาหารที่ทำจากวัตถุดิบอินทรีย์/ธรรมชาติที่หาซื้อจากตลาด จนหายจากโรคโดยไม่ต้องใช้ยาสมัยใหม่    ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการขยายผลเป็นชมรมสุขภาพ โดยเริ่มจากโครงการบ้านไร่ไพโรจน์ ได้ทำการทดลองฟื้นฟูชีวิตดินให้ผลิตพืชผลเกษตรอินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับรักษาสมาชิกที่ป่วย   มหาอุทุกภัยปลายปี ๒๕๕๔ ทำให้เล็งเห็นว่า แนวทาง “อาหารเป็นยา” นี้ หากสามารถขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย จะสามารถป้องกันหรือบรรเทาความรุนแรงของภัยพิบัติอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนได้ เพราะการขุดบ่อเพื่อการเกษตร ย่อมทำหน้าที่เป็นแก้มลิงไปในตัว ส่วนการปลูกป่ารักษาดิน ย่อมช่วยลดความรุนแรงของน้ำหลากหรือน้ำแล้งด้วย เป็นต้น   นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพที่ต้นเหตุ คือ ห่วงโซ่อาหาร แทนการแก้ไขที่ปลายเหตุหรืออาการป่วยด้วยยา จะช่วยประหยัดงบสาธารณสุขของชาติได้มหาศาล   เพื่อให้แนวคิดนี้สัมฤทธิ์ผลได้ จะต้องถูกยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ   
แต่การเมืองไทยเท่าที่ผ่านมากว่า 80 ปี ได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลถึงการพัฒนาที่บิดเบี้ยว เพราะนักการเมืองไม่ว่ายุคใด ต่างมุ่งนโยบายการพัฒนาที่ยึดเงินตรา/กำไรเป็นตัวตั้ง และปกป้องผลประโยชน์และพวกพ้องของตน  ผลคือระบบการเมืองไทย ได้ถูกคอรัปชั่นกัดกร่อน จนไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้   ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการรณรงค์เผยแพร่ให้มีสมาชิกกว้างขวางขึ้น—ที่เห็นร่วมกับแนวคิดในการผลิตอาหารเพื่อฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคนี้ได้อย่างแท้จริง    การมีจำนวนสมาชิกมากพอเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูสังคมและสร้างการเมืองกระแสใหม่ที่มีสุขภาพคนและสุขภาพนิเวศน์เป็นศูนย์กลางแทนเงินตรา  ตลอดจนจัดตั้งรัฐบาลประเภทใหม่ที่ปลอดคอรัปชั่น หรือ ธรรมาภิบาล
                การรณรงค์นี้ จึงเป็นกิจกรรมต่อยอดจากประสบการณ์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เป็นวิวัฒนาการจากการแสวงหาวิถีทางเลือกเพื่อรักษาโรคส่วนตัว สู่การขยายผลเพื่อช่วยรักษาโรคให้เพื่อน สู่ปณิธานที่จะขยายแนวทางนี้ให้เป็นพื้นฐานในการบ่มเพาะความเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง สู่การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง     วิกฤตน้ำท่วม ได้กลายเป็นโอกาสที่จะเผยแพร่ให้เกิดการสร้างเครือข่ายสมาชิกที่ให้การช่วยเหลือเจือจุนกันในยามปกติ   การปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตกาย ใจ และจิตวิญญาณเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันภัยพิบัติร่วม...จากธรรมชาติ...ที่มนุษย์เป็นต้นเหตุสำคัญ


ภูมิหลัง

 ๑. จากการช่วยชีวิตตัวเอง สู่การช่วยฟื้นฟูสุขภาพเพื่อน
ก. สถานการณ์อาหารและสุขภาพ: ช่องว่างระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิต
เป็นที่ทราบกันดีว่าผลิตผลเกษตรอินทรีย์โดยเฉพาะข้าวผักผลไม้ธัญพืชและสมุนไพรมีประโยชน์ต่อสุขภาพ    แต่การผลิตและบริโภคอาหารดังกล่าว กลับไม่แพร่หลายนัก เมื่อเทียบกับพืชผักผลไม้ที่ปนเปื้อนและมีผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว  สาเหตุหลัก 2 ประการ คือ 1. กลไกตลาดกระแสหลักถูกนายทุนใหญ่ควบคุม/ผูกขาด (ทำให้ราคาผลิตผลเกษตรอินทรีย์แพงกว่าเกษตรเคมี) เกษตรกรอินทรีย์/ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังขาดการรวมกลุ่ม (จึงขาดอำนาจต่อรองกับตลาด ในขณะที่ต้นทุนสูง คือ ต้องใช้เวลา ความอดทน กำลังกาย คอยเอาใจใส่ระหว่างปลูกมากกว่าวิธีใช้สารเคมีมาก แต่ต้องยอมเสียเปรียบตลาดคนกลาง ยอมให้ซูเปอร์มาร์เก็ตจ่ายเชื่อเป็นเครดิตยาวนานถึง 2-3 เดือนโดยไม่ต้องรับผิดชอบหากขายไม่หมด)  2. ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทั้งทราบและไม่ทราบถึงโทษของการรับประทานพืชผักผลไม้ที่ใช้สารเคมี ต่างไม่หวาดกลัวพอ เพราะไม่เห็นผลทันที จึงยังลังเลที่จะซื้อ (ราคาแพงกว่าประกอบกับความไม่แน่ใจในคุณภาพ   ชนิด/จำนวนพืช-ผัก-ผลไม้ที่มีจำหน่าย รวมทั้งช่องทางจำหน่าย มีจำกัดและไม่ค่อยแน่นอน) นอกจากผู้ป่วยและผู้รักสุขภาพตัวเองจริงๆ ผู้บริโภคทั่วไปจะเลือกเกษตรเคมีเพราะราคาถูกกว่าถึง 50-100%  ส่วนผลร้ายจะใช้เวลาสะสมในร่างกายและจะสำแดงเมื่อไรก็ได้ในระยะยาว

. กำเนิด “โครงการบ้านไร่ไพโรจน์”
            ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๙ คุณไพโรจน์ รุ้งรุจิเมฆ เริ่ม โครงการบ้านไร่ไพโรจน์ ขึ้น หลังจากสังเกตเห็นเพื่อนฝูงป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง  เป็นต้น  จึงคิดช่วยเพื่อนด้วยการขยายผลจากประสบการณ์ของตนในการรักษาตัวเองจนหายจากโรคตับอักเสบ (ไวรัสบี) โดยไม่ต้องพึ่งยา   แผนปัจจุบัน  ในระยะแรก เป็นการบุกเบิกที่นาเก่า ๔๐ ไร่ที่ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้เหมาะสมสำหรับผลิตพืชผลอินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ (อาจโพสต์“สู่ชีวิตที่สมดุลอย่างครบวงจร: ความเป็นมาของบ้านไร่ไพโรจน์และ เฮลท์คลับ 6009” เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิง)   โดยเริ่มด้วยการฟื้นฟูคุณภาพดินในที่นาเสื่อมโทรมนี้ด้วยการใช้ดินจากป่า ๑๐๐ ปีที่อยู่ใกล้เคียง  ต่อมาได้ใช้วิธีสังเกตและเลียนแบบวงจรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยให้ป่าธำรงความอุดมสมบูรณ์ของดินได้    หลังจากบุกเบิกและวิจัยอยู่เกือบ ๒ ปี บ้านไร่ไพโรจน์ก็ได้ใบรับรองมาตรฐานจาก IFOAM (มกท) ในปี ๒๕๕๑ (ภาคผนวก ข. ใบรับรองมาตรฐาน มกท)  ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบผลจากการตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารในต้นกระเจี๊ยบที่ปลูกที่บ้านไร่ไพโรจน์ กับที่อื่นๆ

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบผลจากการตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารในกระเจี๊ยบที่ปลูกในไร่ไพโรจน์ กับที่อื่น ๆ โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 
ธาตุอาหาร
บ้านไร่ไพโรจน์
Organic supplier อื่น
มหิดล
หนังสือผัก 333 ชนิด
โปแตสเซียม (มก)
2,648
204.6
198
-
แคลเซียม (มก)
422
76.5
11
11
สังกะสี (มก)
5.43
0.6
0.4
-
วิตามินเอ
(ในรูปเบตาแคโรทีน) (RE)
51
87.6
66
5.6

ในขณะเดียวกัน เพื่อนๆ และผู้สนใจก็รวมกลุ่มเป็นชมรม Health Club 6009 ในปี ๒๕๕๒ (ภาพหมู่ –บุคลากรที่เกี่ยวข้อง   www.fcthai.com)

                ค. หลักการและผลการฟื้นฟูสุขภาพด้วยอาหาร
 คุณไพโรจน์อาศัยหลักแมคโครไบโอติกที่ว่า ความเจ็บป่วยเป็นอาการของความไม่สมดุล ระหว่าง  พลัง หยิน และพลังหยางในร่างกาย   การรักษาโรคจึงต้องเริ่มต้นที่การปรับความสมดุลนี้ ด้วยการรับประทานอาหารในพื้นที่ เช่นพืชผักข้าวธัญพืชคุณภาพสูงจากเกษตรอินทรีย์รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกิจวัตรและภาวะจิต   ผลผลิตจากบ้านไร่ไพโรจน์จึงถูกใช้ประกอบอาหารคุณภาพให้เพื่อนๆ ที่ล้มป่วยได้ทดลองรับประทาน  ผลคือ ไม่เพียงแต่สุขภาพของผู้ป่วยฟื้นดีขึ้น โรค (ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย) ก็หายได้ด้วย (ภาคผนวก ค. สมาชิกเฮลท์คลับ 6009 ที่ประสบความสำเร็จในการใช้อาหารรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ)  ความสำเร็จในการรักษาโรคนี้ ได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพของผลผลิตจากบ้านไร่ไพโรจน์ อีกระดับหนึ่ง

. วิสัยทัศน์ จากชมรมสู่สังคม
                หลังจากดำเนินกิจกรรมเชิงวิจัยและพัฒนาอยู่ ๔-๕ ปี ผ่านชมรมสุขภาพ 6009  (Health Club 6009)   โครงการบ้านไร่ไพโรจน์มีความมั่นใจในองค์ความรู้และคุณประโยชน์จากแนวทางผลิตและวิธีฟื้นฟูสุขภาพ/รักษาโรค โดยเฉพาะต่อผู้ผลิต และผู้บริโภค   เมื่อพิจารณาในระดับมหภาค จะเห็นได้ว่า แนวทางนี้จะสามารถช่วยประหยัดงบประมาณสาธารณสุขแก่ประเทศได้ด้วย

ก.      ผู้ผลิตขายได้ราคาสูงขึ้น ส่วนผู้บริโภคซื้อได้ในราคาถูกลง ดังนี้

ราคาเดิม (บาท/..)
ราคาใหม่ (บาท/..)
ส่วนต่าง (%)
ผู้ผลิต/ขาย
20-30
50-60
+50 ถึง 100
ผู้ซื้อ
70-120
50-60
-50 ถึง 100

ข.      ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน
จากการประมวลข้อมูลการรักษาโรคของสมาชิก Health Club 6009 ที่ฟื้นสุขภาพและหายจากโรคต่างๆ ด้วยแนวทาง “อาหารเป็นยา” นี้  สามารถประเมินได้ว่า แนวทางเลือกนี้ มีศักยภาพที่จะช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดินด้านสาธารณสุขได้ประมาณ   ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐บาท/คน/เดือน เพราะค่าใช้จ่ายในแนว “อาหารเป็นยา” ต่ำกว่าการใช้ยามาตรฐานที่ใช้รักษาตามโรงพยาบาลทั่วไปมาก   หากแนวทาง “อาหารเป็นยา” สามารถเข้าถึงหรือรักษาผู้ป่วยได้ปีละ ๓ ล้านคน ก็จะประหยัดเงินได้ถึง ๙,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ล้านบาท/เดือน หรือประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท/ปี
                                                   
ค.      “วิสาหกิจทางสังคม”  (Social Entrepreneurship)
โครงการบ้านไร่ไพโรจน์ จึงเริ่มขยายผลด้วยการรณรงค์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ในแนว “วิสาหกิจทางสังคม” ที่เน้นการรักษาโรคและลดคนกลาง โดยบ้านไร่ไพโรจน์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสร้างเครือข่ายเชื่อมผู้ผลิตและผู้บริโภค ตลอดจนผลักดันเชิงนโยบาย จึงเกิด โครงการเกษตรกรพอเพียง ประกันรายได้ ๒๐,๐๐๐ บาท (รายละเอียด ภาคผนวก...เรียบเรียงจากเว็บ)
มีผู้มีจิตศรัทธาต่อวิสัยทัศน์ของโครงการฯ (เช่น คุณพันท์พิไล ใบหยก) ได้แนะนำให้ทำการทดลองให้เป็นระบบด้วยการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่า โครงการเกษตรกรพอเพียงฯ นี้ สามารถสร้างอาชีพเกษตรกรอินทรีย์และรักษาโรคได้จริงในระดับตำบลหรือหมู่บ้าน    แต่เมื่อลงพื้นที่เตรียมปฏิบัติจริง กลับเจออุปสรรคเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือ โครงการบ้านไร่ไพโรจน์จึงสรุปว่า ชุมชนจะต้องมีการรวมตัวที่เข้มแข็ง โปร่งใส และมีผู้นำที่มีคุณธรรมก่อน  แนวทาง “อาหารเป็นยา” หรือ โครงการเกษตรกรพอเพียง  จึงจะเข้าถึงชาวบ้านรากหญ้าได้
ในทางตรงข้าม วงการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้เริ่มให้ความสนใจ โดยเชิญให้ โครงการบ้านไร่ไพโรจน์ ร่วมในกิจกรรม/กิจการต่างๆ ของการรักษาแบบธรรมชาติและเป็นองค์รวม เช่น ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพัทยาเมมโมเรียล และบ้านไร่คุณนาย-วังน้ำเขียว    ถึงอย่างไร การขยายผลก็ไม่สามารถดำเนินได้รวดเร็วดังคาดหมาย

๓. น้ำท่วมใหญ่: ผันวิกฤตเป็นโอกาสขยายผล
    โครงการ กินผักวันละ ๓๐ บาท...ช่วยชาติพ้นวิกฤตน้ำท่วม
ในระหว่างที่ โครงการบ้านไร่ไพโรจน์ ยอมรับว่า จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไปในการขยายแนวทาง “อาหารเป็นยา” สู่สังคมเพราะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ประสิทธิผล และอาจต้องต่อสู้กับระบบราชการที่ไม่ให้ความร่วมมือที่ดี ก็เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปลายปี ๒๕๕๔  ปรากฏการณ์ในระหว่างวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ทำให้เห็นพลังประชาชนไทย   เสียงเพลง “คนไทยไม่เคยทิ้งกัน” ได้ช่วยสลายการแบ่งขั้วสี โดยเฉพาะ ภาพของทหารที่ออกมาตระเวนช่วยประชาชนที่เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นเหลือง แดง หรือหลากสี   รวมทั้ง การบริจาคที่หลั่งไหลและภาคประชาสังคม/เอ็นจีโอที่ทำหน้าที่กระจายความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าภาครัฐ   ส่วนบรรดาผู้แทนที่ประชาชนเลือกตั้งให้เป็นที่พึ่งในระดับท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ ส่วนใหญ่กลับไม่อยู่ในพื้นที่  ที่ร้ายกว่านั้น ผู้แทนบางคนกลับเอาชื่อของตนติดถุงบรรจุสิ่งของที่ได้รับจากการบริจาค ฯลฯ  แม้มหาอุทุกภัยและพฤติกรรมของนักการเมือง ตลอดจนความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการจัดการน้ำจะเป็นเรื่องหดหู่น่ากังวล แต่น้ำใจของชาวไทยทั่วประเทศที่แสดงออกถึงความเห็นใจอย่างชัดเจนต่อเพื่อนร่วมชาติที่ทุกข์ร้อนจากภัยพิบัติ  และความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคประชาสังคมไทย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ โครงการบ้านไร่ไพโรจน์  ริเริ่ม “โครงการกินผักวันละ ๓๐ บาท”

ก.      วิสัยทัศน์
เนื่องจากโครงการบ้านไร่ไพโรจน์ได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกษตรอินทรีย์คุณภาพสูงอยู่แล้ว  การสร้างแก้มลิงเพิ่ม จะเป็นทั้งปัจจัยในการทำเกษตร เพื่อการทำนาผสมผสานที่เลี้ยงปลา เป็ด ไก่ และเป็นสาธารณูปโภคเพื่อการป้องกันน้ำท่วม-น้ำแล้ง  การปลูกป่า รักษาดิน ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ คือวิถีเกษตรพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
โครงการกินผักวันละ ๓๐ บาท เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วประเทศที่มีกำลังทรัพย์น้อย แต่ต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องแก่ผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วม  ด้วยการสมัครเป็นสมาชิก ในฐานะผู้บริโภคผลิตผลเกษตรอินทรีย์ 

ข.      การซื้อ-ขายอย่างเป็นสมาชิกโดยบ้านไร่ไพโรจน์เป็นสื่อกลาง จะช่วยลดคนกลางและผู้ผลิต-ผู้บริโภคจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด
เนื่องจากปัญหาของเกษตรกรอินทรีย์ส่วนใหญ่ คือ ผลิตแล้วขายในตลาดมักได้ราคาไม่คุ้มค่าเหนื่อย (ใช้สารเคมีสบายกว่ามาก)   ทำให้เกิดเสียงบ่นว่า ตลาดผู้บริโภคมีความต้องการสูง แต่เกษตรกรไม่สนใจ    การเปิดตัวของโครงการกินผักฯ นี้ ที่มุกดาหาร พบว่ามีเกษตรกรจำนวนมากแสดงความสนใจ  ตรงข้ามกับเสียงบ่น  เพราะโครงการกินผักฯ เสนอว่าสามารถประกันรายได้ ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ถ้าเกษตรกรสามารถผลิตถึงขั้นรักษาโรคได้  โดยทางโครงการกินผักฯ จะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นผู้รับรองมาตรฐาน ตลอดจนลดคนกลาง/ช่องว่างระหว่างผู้ผลิต-ผู้บริโภค     ปรากฏการณ์ที่มุกดาหาร ทำให้เชื่อได้ว่ามีเกษตรกรทั่วประเทศพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ หากมีการทำความเข้าใจในเงื่อนไข และรับรองผลตอบแทน ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้เกษตรกรต้อง พอเพียง หรือ รัดเข็มขัดตัวเองอยู่ร่ำไป    นอกจากนี้โครงการกินผักฯ นี้ ยังสามารถรองรับผู้ใช้แรงงานที่ถูกปลด หรือต้องการเปลี่ยนอาชีพเป็นเกษตรกร

ค.      สมาชิกและการผลักดันระดับนโยบาย
เพื่อให้สามารถเยียวยาผู้ประสบน้ำท่วมได้ จะต้องระดมหาสมาชิกให้ได้มากที่สุด  จากการประเมินตามข่าวหนังสือพิมพ์ มีผู้ประสบภัยน้ำท่วม ๑๐ ล้านคน      แต่จากการคำนวณ ถ้ามีสมาชิก ๒๐-๓๐ ล้านคน  ก็จะขับเคลื่อนโครงการนี้ให้ปรับทิศทางนโยบายพัฒนาของประเทศไทยได้


ภาพรวมของโครงการ ความคาดหวังในอนาคต
                โครงการน้ำท่วมกินผัก...จุดเปลี่ยนประเทศไทย ประกอบด้วย การรณรงค์ (ริเริ่มหลังน้ำท่วมใหญ่เกือบทั่วประเทศ ปลายปี ๒๕๕๔) คือ “กินผักวันละ ๓๐ บาท ช่วยชาติพ้นวิกฤต” และ “เกษตรกรอินทรีย์พอเพียงประกันรายได้ ๒๐,๐๐๐ บาท/เดือน” ที่ต่อยอดจาก ชมรมสุขภาพ 6009 ที่ดำเนินอยู่แล้ว (ตั้งแต่ ๒๕๕๐) โดยรวมเป็นโครงการวิจัยเชิงพัฒนา (Research & Development, R&D) แบบบูรณาการครบวงจร ด้วยการต่อยอด/ร่วมมือกับกิจกรรมและผลงานการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมไทยและโลก สู่สังคมธรรมาภิบาล เพื่อฟื้นฟูสุขภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนิเวศ ที่มีคนเป็นตัวตั้ง
                การดำเนินโครงการนี้ จะเป็นลักษณะวิจัยเชิงปฏิบัติการ ที่สมาชิกมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลประสบการณ์ด้วยตัวเอง ในฐานะผู้บริโภค หรือผู้ผลิต  ที่ทำงานร่วมกับเอ็นจีโอ  นักวิชาการ  ผู้นำชุมชน และสื่อมวลชน  เพื่อคืนพลังและชีวิตแก่พระแม่โพสพและพระแม่ธรณี ให้ช่วยกระดับภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยให้เป็นครัวอาหารสุขภาพโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ-สุขภาพที่แท้จริง
                ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยมี คน-นิเวศ เป็นศูนย์กลาง แบบประชาธิปไตย-โปร่งใส-กินได้ ด้วยการเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริง แทนการปั่นหุ้น หรือใช้ความรู้เก็งกำไร แย่งชิงตลาดโดยใช้จิตวิทยาควบคุมทั้งจิตใจผู้ผลิต-ผู้บริโภค เพียงเพื่อประกันกำไรเม็ดเงินถ่ายเดียว  หากพลเมืองไทยพร้อมใจให้ความร่วมมือ ก็จะเกิดเป็นกระบวนการส่งเสริมให้สังคมไทยพัฒนารับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมเข้มข้น...ก่อนถึงเฮือกสุดท้าย  และให้ประเทศไทยก้าวสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างเชื่อมั่นในตัวเอง และสมศักดิ์ศรี   

 
ความสำเร็จของโครงการนี้ ขึ้นอยู่กับมวลจิตสำนึกของประชาพลเมืองไทย

............................

เศรษฐกิจใหม่

 



โปรดดูรายละเอียดเพิ่มจาก  www.fcthai.com

ภาคผนวก ก
แนวคิดหยิน-หยาง และความสำคัญของดิน-น้ำ-อากาศ กาย-ใจ

ภาคผนวก ข
ใบรับรอง มกท



ภาคผนวก ค
ตัวอย่างรายชื่อสมาชิกเฮลท์คลับ 6009
ที่ประสบความสำเร็จในการใช้อาหารรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ

ชื่อ
อาการ
1.
นายปฎิภาณ  อริยเดช
ไขมันสูง, CEA
2.
ดร.เทียม  เจนงามกุล
คลอเรสเตอรอลสูง
3.
นายเธียร  ชูพิศาลยโรจน์
ไขมันสูง
4.
นายสรศักดิ์  แสนสมบัติ
ไขมันสูง
5.
นางปราณี  วาริการ
CEA, ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
6.
นายวิทวัส  พรกุล
อ้วนนอนกรนกรดไหลย้อน    ใช้เครื่องช่วยหายใจ
7.
นายวันชัย  คิดหาทอง
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คีโม
8.
นายพิพัฒน์  รัตนไตรภพ
โรคหัวใจเส้นเลือดขั้วหัวใจตีบ
9.
นายเมธา  มณีรัตนพร
โรคเก๊าความดัน 90/140
10.
นายพีรพงศ์  นิคมขำ
มะเร็งต่อมลูกหมาก PSA > 100
11.
นายสมเกียรติ
อ้วนคลอเรสเตอรอลสูงเบาหวานความดัน
12.
นายชนะ  โตวัน
เบาหวานน้ำตาล 300
13.
นายสุรชัย  อาภรณ์สุสัมฤทธิ์
ความดันไขมันสูง
14.
นายพิเชษฐ์  ลิมปิพิพัฒนากร
อ้วนความดันไขมันสูง
15.
นางสาวกนกวรรณ
เนื้องอกที่กระดูกสันหลังผอม
16.
นางวัชรี  คุณกิตติ
เนื้องอกที่เต้านม
17.
นางกัลยา
มะเร็งเต้านม
18.
นางชนิศา
มะเร็งเต้านมกระดูกสะโพก
19.
อาจารย์ปรีชา
ไขมันสูงเสียดแน่นหน้าท้องบริเวณชายโครง
20.
นางอำไพ  อุสบณาจิตต์
มะเร็งเต้านม  คีโมรอบ 2
21.
แม่นางอำไพ  อุสบณาจิตต์
มะเร็งเต้านมมะเร็งปอดมะเร็งลำไส้มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
22.
นายไพโรจน์  รุ้งรุจิเมฆ
ไวรัสตับอักเสบบีภูมิแพ้
23.
นางบุ้ง  แซ่เจี่ย
เบาหวานความดันหัวใจไอเรื้อรัง
24.
นางอรัญญา  ทวีลาภาภรณ์
อ้วน
25.
นายนรินทร์
อ้วน
26.
ดร.บูรพา  ชดเชย
เบาหวานโรคไต  ฟอกไต 3 ครั้ง/สัปดาห์

กราฟแสดง
สารเมตาโบไลท์เม็ดเลือดแดงสเต็มเซลล์
6-25-12

1 ความคิดเห็น:

  1. ดิฉันมีความสนใจในการทำเกษตรอินทรีย์และเพื่อสุขภาพมาก จึงตามลงไปดูที่ไร่ที่อ้างอิงไว้ที่ หมู่13 บางน้ำเปรี้ยว ฉะเชิงเทรา และได้โทรถามเบอร์ติดต่อที่ให้ไว้ในหน้าเวบที่อ้างอิงบ้านไร่ไพโรจน์ คือ 0-2320-3400-2, 08-6367-4362 และก็ยังได้รับการยืนยันว่ามีแปลงเกษตรตามที่ว่าจริง แต่ไม่สะดวกต้อนรับเนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ในวันนั้น ดิฉันเห็นว่าไหนๆ วันนี้ก็ผ่านเลยตั้งใจจะผ่านไปดู เลยกลายเป็นคนละเรื่องกับที่ชาวบ้านบอกว่า ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จักไร่นี้และบอกว่าพื้นที่นี้ไม่มีปลูกผัก ส่วนมากเป็นนาข้าว แต่มีพี่ผู้ชายที่อยู่ติดกับพื้นที่แปลงที่บอกว่าเป็นไร่ไพโรจน์ พี่เค้าบอกว่า ที่เค้าบอกว่าทำเกษตรอินทรีย์ใช่ไหม มีแต่ที่ดินนะ ไม่มีการปลูกผักอะไร เริ่มแรกเห็นมีนิดหน่อยแต่เป็นกระถางในบ้านและจ้างต่างด้าวเฝ้า แต่ไม่เคยเห็นลงแปลงอะไรฯลฯ อีกมากที่แสดงถึงทัศนคติด้านลบ .... ถึงกระนั้นดิฉันก็ยังโทรถามเบอร์ที่มีและก็ยืนยันว่ามีไร่นั้นและมีการปลูกผักจริง ...หรือว่าดิฉันจะไปผิดแปลง แต่ยืนยันว่าทั้งหมู่ 13 และพื้นที่ที่ระบุ ดิฉันขับรถหาทั่วจริงๆ ค่ะ เพราะไหนๆก็ตั้งใจแล้ว แต่ก็ได้ยินชาวบ้านบอกว่า ไม่มีจริงๆค่ะ แล้ว..........

    ตอบลบ