Stealing
and Selling Nature: Why We Need to Reclaim “the Commons” in the Curriculum
ขโมยแล้วขายธรรมชาติ:
ทำไมเราจึงจำเป็นต้องทวง “สมบัติร่วม” ในหลักสูตร
โดย ทิม สไวน์ฮาร์ท
|
In the wake of superstorm Sandy and
a presidential election in which both candidates essentially ignored climate
change, it’s time that our schools began to play their part in creating climate literate citizens.
ตอนซุปเปอร์พายุแซนดี้เริ่มอาละวาด
และ การชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ที่คู่แข่งทั้งคู่ต่างก็เพิกเฉยกับภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง,
ก็เป็นเวลาที่โรงเรียนของเราเริ่มเล่นบทสร้างพลเมืองที่ “อ่านออกเขียนได้”
เรื่องภูมิอากาศ.
Hurricane Sandy, and the superstorms
that will follow, are not just acts of nature—they are products of a massive
theft of the atmospheric commons shared by all life on the planet. Every dollar
of profit made by fossil fuel companies relies on polluting our shared
atmosphere with harmful greenhouse gases, stealing what belongs to us all. But
if we don’t teach students the history of the commons, they’ll have a hard time
recognizing what—and who—is responsible for today’s climate crisis.
เฮอริเคนแซนดี้,
และบรรดาซุปเปอร์พายุที่จะตามมา, ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำของธรรมชาติ—มันเป็นผลผลิตของมวลการปล้นบรรยากาศที่เป็นสมบัติร่วมของชีวิตทั้งหมดในโลก. เงินกำไรทุกๆ
หนึ่งดอลลาร์ของเหล่าบริษัทเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์
มาจากการสร้างมลภาวะในบรรยากาศที่เราแบ่งกันใช้ ด้วยก๊าซเรือนกระจกที่อันตราย,
ปล้นสิ่งที่พวกเราทั้งหมดบเป็นเจ้าของ.
แต่หากพวกเราไม่สอนนักเรียนถึงประวัติศาสตร์ของสมบัติร่วม,
พวกเขาจะไม่มีทางแยกแยะออกได้ว่า อะไร—และใคร—รับผิดชอบต่อวิกฤตภูมิอากาศทุกวันนี้.
If the commons is taught at
all in history classes, it’s likely as a passing reference to English
enclosures—the process by which lands traditionally used in common by the poor
for growing food, grazing animals, collecting firewood, and hunting game were
fenced off and turned into private property. Some textbooks may mention the
peasant riots that were a frequent response to enclosures, or specific groups
like the Diggers that resisted enclosure by tearing down fences and
reestablishing common areas. But they are buried in chapters that champion
industrial capitalism’s “progress” and “innovation.”
หาก
สมบัติร่วม ได้ถูกสอนในวิชาประวัติศาสตร์ทั้งหมด, มันคงจะต้องอ้างอิงถึงการปิดล้อมของอังกฤษ
–กระบวนการที่ๆ ดินแต่เดิมถูกใช้เป็นสมบัติร่วมโดยคนยากจนสำหรับเพาะปลูกอาหาร,
ให้สัตว์เลี้ยงได้เล็มหญ้า, เก็บฟืน, และล่าสัตว์
ได้ถูกล้อมคอก และ เปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล. ตำราเรียนบางเล่มเอ่ยถึงการรุกฮือของชาวนา
ที่เป็นการโต้ตอบบ่อยๆ ต่อการปิดล้อม, หรือกลุ่มเฉพาะเช่น เดอะดิกเกอร์ (นักขุด)
ที่ต่อต้านการปิดล้อม ด้วยการถอนทำลายรั้ว และ สถาปนาพื้นที่ร่วมอีกครั้ง. แต่พวกเขากลับถูกฝังอยู่ในบทว่าด้วย
“ความก้าวหน้า” และ “นวัตกรรม” ของแชมเปี้ยนลัทธิทุนนิยมอุตสาหกรรม.
Some texts, like McDougal Littell’s
widely used Modern World History,
skip the peasants’ resistance entirely, choosing instead to sing the praises of
enterprising wealthy landowners:
ในบางเล่ม,
เช่น ประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางของ แมคดูเกิล
ลิตเทล, ตัดเรื่องการต่อต้านของชาวนาออกหมด,
เลือกที่จะร้องเพลงสรรเสริญกิจการของเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่ง:
In 1700, small farms covered
England’s landscape. Wealthy landowners, however, began buying up much of the
land that village farmers had once worked. The large landowners dramatically
improved farming methods. These innovations amounted to an agricultural
revolution.
ในปี
1700, ไร่นาย่อยๆ
ปกคลุมทั่วภูมิทัศน์ของอังกฤษ.
แต่เจ้าของที่ดินที่ร่ำรวย
ได้เริ่มทำการซื้อที่ดินส่วนใหญ่ที่ชาวนาหมู่บ้านเคยทำงาน. เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ได้ปรับปรุงวิธีกรรมเกษตรอย่างเห็นได้ชัด. นวัตกรรมเหล่านี้นำไปสู่การปฏิวัติทางเกษตร.
This is a disturbing narrative, as
much for what it leaves out as for what it gets wrong. Students could fairly
assume that enclosures involved a fair exchange between “wealthy landowners”
and “village farmers,” instead of the forced evictions that removed peasants
from land that their families had worked for generations. Take the account of
Betsy Mackay, 16, when the Duke of Sutherland evicted her family in
late-18th-century Scotland:
มันเป็นการบรรยายที่น่าโมโห,
ทั้งเรื่องที่ถูกตัดทิ้งพอๆ กับการเล่าผิดๆ.
นักเรียนคงจะสมมติไปเองง่ายๆ ว่า การปิดล้อมคงมีการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรม
ระหว่าง “เจ้าของที่ดินที่มั่งคั่ง” และ “ชาวนาหมู่บ้าน”,
แทนที่จะเป็นการบังคับไล่ที่
ที่ขับชาวนาออกจากที่ดินที่ครอบครัวของพวกเขาได้ทำงานมาหลายชั่วคน. ยกตัวอย่าง เบ็ตซี แม็กเคย์, อายุ 16, เมื่อ ขุนนางชั้นสูงแห่งซัทเธอร์แลนด์
ขับไล่ครอบครัวของเธอในปลายศตวรรษที่ 18 ในสก๊อตแลนด์:
Our family was very reluctant to
leave and stayed for some time, but the burning party came round and set fire
to our house at both ends, reducing to ashes whatever remained within the walls.
The people had to escape for their lives, some of them losing all their clothes
except what they had on their back. The people were told they could go where
they liked, provided they did not encumber the land that was by rights their
own. The people were driven away like dogs.
ครอบครัวของเราไม่ต้องการจะทิ้งที่เลย
และก็ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น, แต่พวกนักเผาวางเพลิงบ้านข้างเราทั้งหน้าและหลัง,
ทุกสิ่งภายในผนังบ้านกลายเป็นเถ้าถ่าน.
ผู้คนต้องวิ่งหนีเอาชีวิตให้รอด, บางคนสูญเสียเสื้อผ้าทั้งหมด ยกเว้นที่แบกอยู่บนหลัง. ผู้คนถูกสั่งว่า จะไปที่ไหนก็ได้,
หากไม่กีดขวางที่ดินที่โดยกรรมสิทธิ์ เป็นของพวกเขา. ผู้คนขับถูกไล่เหมือนหมา.
The McDougal Littell version of
history silences the voices of the poor, who struggled for centuries to
maintain their traditional rights to subsist from common lands—rights enshrined
in 1217 in the Charter of the Forest, the often-overlooked sister document to
the Magna Carta.
ประวัติศาสตร์ฉบับของ
แมคดูเกิล ลิตเทล หุบเสียงของคนจน, ผู้ดิ้นรนอยู่นับหลายศตวรรษเพื่อรักษาสิทธิ์ตามประเพณีนิยม
ในการหาเลี้ยงชีพจากที่ดินร่วม—สิทธิ์ที่ได้รับการปกป้องพิเศษใน กฎบัตรป่า ในปี 1217, และเอกสารควบคู่ที่มักถูกมองข้าม คือ แมกนา
คาร์ตา.
Of course, this history is not
limited to land enclosures during the British agricultural revolution. Around
the world, European colonizers spent centuries violently “enclosing” indigenous peoples’ land throughout the Americas, India,
Asia, and Africa. The Indian scholar and activist Vandana Shiva explains why this process was a necessary aspect of
colonialism:
แน่นอน,
ประวัติศาสตร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปิดล้อมที่ดินในระหว่างการปฏิวัติเกษตรกรรมของสหราชอาณาจักร.
ทั่วโลก, นักล่าอาณานิคมชาวยุโรป
ได้ใช้เวลาหลายศตวรรษ “ในการปิดล้อม” ด้วยวิธีรุนแรง ในที่ดินของคนพื้นเมืองดั้งเดิม
ทั่วทั้งอเมริกา, อินเดีย, เอเชีย และ อาฟริกา. บัณฑิตและนักกิจกรรมชาวอินเดีย วันทนา ศิวะ
อธิบายว่า เหตุใด กระบวนการนี้จึงจำเป็นสำหรับลัทธิล่าอาณานิคม:
The destruction of commons was
essential for the industrial revolution, to provide a supply of natural
resources for raw material to industry. A life-support system can be shared, it
cannot be owned as private property or exploited for private profit. The
commons, therefore, had to be privatized, and people’s sustenance base in these
commons had to be appropriated, to feed the engine of industrial progress and
capital accumulation.
การทำลายล้างสมบัติร่วม
เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม, เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติสำหรับเป็นวัตถุดิบให้อุตสาหกรรม.
ระบบค้ำจุนเกื้อกูลชีวิต
สามารถแบ่งปันกันได้, มันไม่สามารถถูกครอบครองให้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือ
ขูดรีดเพื่อทำกำไรส่วนตัว. ดังนั้น,
สมบัติร่วมจึงต้องถูกทำให้เป็นของเอกชน (เข้าระบบ),
และฐานการยังชีพของประชาชนในสมบัติร่วมเหล่านั้น จะต้องถูกจัดสรร, เพื่อป้อนเครื่องจักรของความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและการสะสมทุน.
The enclosure of the commons has
been called the revolution of the rich against the poor. . .
การปิดล้อมสมบัติร่วม
ได้ถูกเรียกว่าเป็นการปฏิวัติของคนรวย ที่ต่อต้านคนจน...
In the same way that world history
curriculum passes over the social and ecological consequences of land
enclosure, the current U.S. history curriculum contributes to a larger ecological
illiteracy by glossing over the historical role of nature. And when
we’re not taught to understand the intimate and fundamental connections between
people and the environment in our nation’s history, it should come as no
surprise that we struggle to make these same connections today.
ในวิธีเดียวกับที่หลักสูตรประวัติศาสตร์โลก
ได้ถ่ายทอดผลพวงเชิงสังคมและนิเวศของการปิดล้อมที่ดิน, หลักสูตรของสหรัฐฯ ปัจจุบัน
ได้ให้ “การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้านนิเวศ” ด้วยการฉาบปิดบทบาททางประวัติศาสตร์ของธรรมชาติ.
และเมื่อเราไม่ได้ถูกสอนให้เข้าใจความเชื่อมโยงที่แนบสนิทและพื้นฐานระหว่างคนและสิ่งแวดล้อมในประวัติศาสตร์ของชาติของเรา,
มันจึงไม่ควรเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เราดิ้นรนที่จะทำการเชื่อมต่อดังกล่าวทุกวันนี้.
One of the few places where nature
shows up in the U.S. History curriculum is with discussions of how Native
American and European concepts of land ownership differed. Textbooks could
provide a valuable opportunity for students
to analyze these differences.
Instead, they usually dismiss Native American notions of property as quaint and
in the end—just like the struggle of the Diggers—somewhat tragic in the grand
scheme of things.
หนึ่งในไม่กี่แห่งที่ธรรมชาติปรากฏตัวขึ้นในหลักสูตนประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
คือ การเปรียบเทียบความแตกต่างในกรอบคิดเรื่องการครอบครองที่ดิน ระหว่างชาวอเมริกันพื้นเมืองและชาวยุโรป.
ตำราเรียนสามารถให้โอกาสล้ำค่าเพื่อนักเรียนจะได้วิเคราะห์ความแตกต่างเหล่านี้.
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, พวกเขามักจะปัดทิ้งความเห็นของชาวอเมริกันพื้นเมืองเรื่องทรัพย์สมบัติ
ว่าเป็นเรื่องแปลกโบราณ และในที่สุด—ก็เหมือนกับการดิ้นรนของ เดอะดิกเกอร์—ก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมในโครงร่างอลังการของสิ่งต่างๆ.
Every textbook I’ve seen presents
the buying and selling of land as a normal—even inevitable—part of human
history. What’s missing from all accounts is the naked truth that land
inhabited and used in common by English peasants and Native Americans had to
first be stolen, before it could ever become the private property that
can be bought and sold today.
ตำราเรียนทุกๆ
เล่มที่ผมได้ผ่านสายตามา ล้วนนำเสนอการซื้อและการขายที่ดินว่าเป็นเรื่องปกติ—แม้แต่เลี่ยงไม่ได้—ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์.
สิ่งที่หล่นหายไป คือ ความจริงอันเปล่าเปลือย
ที่ว่า ที่ดินที่เป็นที่อยู่อาศัยและใช้สอยร่วมกันโดยชาวนาอังกฤษและชาวอเมริกันพื้นเมืองดั้งเดิม
ต้องถูก ปล้น เป็นเบื้องแรก, ก่อนที่มันจะกลายเป็นสมบัติส่วนบุคคลที่สามารถถูกซื้อและถูกขายทุกวันนี้.
Instead, we have this section
of Prentice Hall’s America, titled “Conflict with Native Americans”:
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น,
เรามีบทหนึ่งในหนังสือ อเมริกา ของสำนักพิมพ์ Prentice Hall ที่ชื่อว่า “ความขัดแย้งกับชาวอเมริกันพื้นเมือง”:
Although the Native Americans did
help the English through the difficult times, tensions persisted. Incidents of
violence occurred side by side with regular trade. Exchanges begun on both
sides with good intentions could become angry confrontations in a matter of
minutes through simple misunderstandings. Indeed, the failure of each group to
understand the culture of the other prevented any permanent cooperation between
the English and Native Americans.
แม้ว่า
ชาวอเมริกันพื้นเมืองจะได้ช่วยชาวอังกฤษให้รอดพ้นในช่วงยากลำเค็ญ,
ความตึงเครียดยังคงอยู่. ความรุนแรงปะทุขึ้น
ควบคู่ไปกับการค้าปกติ. การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้นในทั้งสองฝ่ายด้วยเจตนาที่ดี
สามารถกลายเป็นการเผชิญหน้าด้วยความโกรธในเวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงเพราะความเข้าใจผิดนิดเดียว.
ที่จริง,
ความล้มเหลวในการเข้าใจวัฒนธรรมของฝ่ายตรงข้าม ได้ขัดขวางไม่ให้เกิดความร่วมมือถาวรระหว่างชาวอังกฤษและชาวอเมริกันพื้นเมือง.
This is history of the worst kind,
in which a misguided attempt at “balance” results in a morally ambiguous
explanation for the dispossession and murder of millions of Native Americans.
นี่คือ
ประวัติศาสตร์ประเภทแย่ที่สุด, ซึ่งความพยายามผิดทางเพื่อทำให้ผลลัพธ์มีความ “สมดุล”
ในการอธิบายอย่างคลุมเครือในเชิงศีลธรรม เพื่อการยึดครองและฆาตกรรมชาวอเมริกันพื้นเมืองหลายล้านคน.
In fact, the growth of industrial
capitalism has been predicated on the private enclosure of the natural world.
And these enclosures have always met with resistance. Students need to learn
this alternative narrative for at least two reasons. First, it encourages
critical conversation about how “economic growth” has been used to justify the
private seizure of the earth’s resources for the profits of a few—while closing
off those same resources, and decisions about how they should be used, to the
rest of us. Even more importantly, this conversation about history can help us
to see today’s environmental crises—from the loss of global biodiversity to
superstorm Sandy—for what they really are: the culmination of hundreds of years
of privatizing and commodifying the natural world.
อันที่จริง,
การขยายตัวของลัทธิทุนนิยมอุตสาหกรรมตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปิดล้อมโลกธรรมชาติให้เป็นสมบัติส่วนตัว.
และการปิดล้อมเช่นนี้
ได้เผชิญกับแรงต่อต้านเสมอ. นักศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้บทบรรยายทางอื่น
อย่างน้อยด้วยเหตุผลสองประการ. ประการแรก,
มันช่วยให้เกิดมีการสนทนาเชิงวิพากษ์ถึง “การขยายตัวทางเศรษฐกิจ” ว่าได้ถูกสร้างความชอบธรรมในการยึดครองทรัพยากรของโลกให้เป็นสมบัติส่วนตัวเพียงเพื่อโกยกำไรให้เพียงไม่กี่คนอย่างไร—ในขณะที่ปิดล้อมทรัพยากรเดียวกันนั้น,
และการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้มัน, ด้วยการกีดกันพวกเราที่เหลืออยู่ข้างนอก. ที่สำคัญกว่านั้น, การสนทนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี้จะสามารถช่วยให้พวกเรามองเห็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมของทุกวันนี้—ตั้งแต่การสูญหายของความหลากหลายทางชีวภาพของโลก
จนถึง ซุปเปอร์พายุแซนดี้—อย่างที่มันเป็นจริงๆ: จุดสุดยอดของการแปลงโลกธรรมชาติให้เป็นสมบัติส่วนตัวและเป็นสินค้ามาหลายร้อยปี.
The private enclosure of nature
continues today; it’s just hard to see. Like the proverbial fish surrounded by
the water of the “free
market,” it’s easy to assume that
fossil fuel companies have some god-given right to profit from polluting our
atmospheric commons. How are young people to recognize this atmospheric grab
when the school curriculum has erased all memory of our collective right to
the natural commons?
การปิดล้อมธรรมชาติให้เป็นสมบัติส่วนตัว
ยังคงดำเนินต่อไปทุกวันนี้;
มันเพียงแต่มองเห็นได้ยาก. เหมือนคำพังเพยของปลาที่ล้อมรอบด้วยน้ำแห่ง “ตลาดเสรี”, มันเป็นการง่ายที่จะสมมติว่า
บริษัทเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์มีสิทธิที่พระเจ้าประทานให้เพื่อทำกำไรด้วยการสร้างมลภาวะในบรรยากาศอันเป็นสมบัติร่วมของเรา.
คนหนุ่มสาวจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดการฉกชิงชั้นบรรยากาศ
เมื่อหลักสูตรในโรงเรียนได้ ลบล้างความทรงจำทั้งหมดของพวกเราเรื่องสิทธิหมู่ร่วมในธรรมชาติอันเป็นสมบัติร่วมของพวกเรา?
Reclaiming these commons means
fueling students’ knowledge about a past that has conveniently disappeared.
Educators did not create the climate crisis, but they have a key role to play
in alerting students to its causes—and potential solutions.
การทวงคืนสมบัติร่วมเหล่านี้
หมายถึง เติมเชื้อเพลิงให้ความรู้ของนักเรียนนักศึกษาเกี่ยวกับอดีตที่ได้ถูกทำให้สาปสูญง่ายๆ.
นักการศึกษาไม่ได้สร้างวิกฤตภูมิอากาศ,
แต่พวกเขามีบทบาทสำคัญในการทำให้นักศึกษาเข้าใจต้นตอ—และทางออกที่เป็นไปได้.
This article originally appeared at GOOD magazine.
A longer version of this article will appear in the winter 2012-13 issue of Rethinking
Schools.
© 2012 Tim Swinehart
Tim Swinehart teaches at Lincoln
High School in Portland, Oregon, and writes regularly for Rethinking Schools magazine, including “‘Don’t
Take Our Voices Away’: A Role Play on the Indigenous Peoples’ Global Summit on
Climate Change.” “Stealing
and Selling Nature” is part of the Zinn Education Project “If We Knew Our History” series.
ทิม
สไวน์ฮาร์ท สอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมลินคอล์น, รัฐโอเรกอน,
และเขียนให้แมกกาซีนของโรงเรียน “คิดใหม่เรื่องโรงเรียน”, เช่น “ ‘อย่าเอาเสียงของเราไป’: การเล่นบทของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในการประชุมสุดยอดโลกเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง”.
“การขโมยและการขายธรรมชาติ”
เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ การศึกษาซินน์ “หากเรารู้ประวัติศาสตร์ของเรา”.
Tecumseh
is, ironically, a brand of internal combustion engine used on lawnmowers and
such - a class of engines that is particularly inefficient and polluting. The
ministry of truth says the injuns traded the land for a bunch of shiny beads,
so that's what I believe. The wealthy fathers are righteous and have the divine
duty to oversee the unruly masses, who would just mess things up in their
childish ignorance. Spare the rod, spoil the child, I always say.
When
I was young, I would have never believed how quickly things are forgotten and
rewritten to suit the narrative of the ruling class. I also could not
comprehend how subjective history is. We, human kind, I mean, need a new
relationship with the truth, or we are going to lose it forever.
The
commons we must reclaim right now is the atmosphere. If we don't stop the
polluters ( the large Energy Corps. and nations) from despoiling this resource
the land under it will become a burning desert and much of the planet will
eventually become uninhabitable.
fascinating
revelations! what a wonderful teacher you are, tim swinehart! just
yesterday as we contemplated the massive austerity protests now spreading
across europe, i said, “well, europe ’s several hundred years
ahead of the americas when it comes to over-human-populating and
destroying the commons and since the industrial revolution the destruction
moves at warp speed .” there’s no way our beltway gang can avoid what’s
coming soon to a neighborhood near you! after all, people didn’t risk
everything to sail to a strange new, ‘unsettled’ frontier because they were
happily contented with the life-style in the old world. we all saw the
same ‘cowboy and indian’ movies as kids, but I always felt the indigenous
people meant only to protect their homeland; in other words, no more savage
than the colonialist. a native friend who teaches library in a local jr,
high decided to put some first citizens’ art on display, but the administrators
thought that too controversial and forced him to remove the offensive
sculptures. ugh!
mr.
swinehart, ‘twould be wonderful if you could
make a video lecture to share with history, art and language teachers across
the country. what do you think? bet your students would enjoy taking
part!
I
recommend a book I just finished. "It All Turns On Affection" by
Wendell Berry, based on his talk as recipient of The Jefferson Lecture. He
speaks of our dealing with the land, with consumption, with industrialization,
agriculture, and how we value it.
He is a conservationist and has written over 50 books. I believe that many of the concepts in this collection of talks is relevant to all as we continue the destruction of our living environment. Thanks for the article.
Another book I recommend is by David Mongomery "Dirt: The Erosion of Civilizations". Both a bit of history of farming in the US, topsoil conservation, and the importance and use of soil, farmlands, and agriculture.
He is a conservationist and has written over 50 books. I believe that many of the concepts in this collection of talks is relevant to all as we continue the destruction of our living environment. Thanks for the article.
Another book I recommend is by David Mongomery "Dirt: The Erosion of Civilizations". Both a bit of history of farming in the US, topsoil conservation, and the importance and use of soil, farmlands, and agriculture.
Went
to the museum, red brother
Saw your ancient bloom cut, pressed and dried
A sign said wasn't it clever what they used to do
But it never did say how they died
Hey hey hey
Hey hey hey
Went to Regina, red sister
Heard a cab driver say what he'd seen
"There's a grand place to eat out on Number One
All white ladies if you know what I mean"
Hey hey hey
Hey hey hey
Went to a pow wow, red brother
Felt the people's lovejoy flow around
It left me crying just thinking about it
How they used my saviour's name to keep you down
Hey hey hey
Hey hey hey
(Bruce Cockburn)
Saw your ancient bloom cut, pressed and dried
A sign said wasn't it clever what they used to do
But it never did say how they died
Hey hey hey
Hey hey hey
Went to Regina, red sister
Heard a cab driver say what he'd seen
"There's a grand place to eat out on Number One
All white ladies if you know what I mean"
Hey hey hey
Hey hey hey
Went to a pow wow, red brother
Felt the people's lovejoy flow around
It left me crying just thinking about it
How they used my saviour's name to keep you down
Hey hey hey
Hey hey hey
(Bruce Cockburn)
In
Physic, one is taught that energy can neither be created nor destroyed; yet, if
you look closely in the Capitalist Museum (sorry, but you have to project your
imagination into the future somewhat), you will see, all who expend energy to
walk backwards are moving forward and all those expending energy walking
forward are moving backward. Must be some illusion of some kind?
If
we use cellphones or other mobile communication technologies, we are polluting
the commons with microwaves. We invisibly injure others. Life evolved in an
energetic atmosphere of sunlight, lightning, the earth's magnetic core, and
other natural frequencies. The wireless commons is being filled with hundreds
of millions of times more EMF than nature provided. There is little escape in
this world and it doesn't take much research to learn the terrible effects of
artificial EMF pollution.
The
commons is much more than land, water, and air, etc. We each have to face our own
contributions to this commons degradation and it's a tough one today.
The
vanishing bees would surely agree with you if their voice was heard, and their
"vote" felt.
The
entire concept of "privatized" land is inane -- as the Native American clearly pointed out. So
is the entire concept of "money" - dollar bills -- that are
meaningless as the Native American also pointed out.
Once
we have the claiming of privatized land the land becomes open to being stolen
over and again.
The
"heartland" was simply new immigrants seizing control of land from
the Native American. The US government in organizing the "New
Frontier" assault on Native American land, clearly understood that they
could claim land, but that they needed a population living on the land in order
to hold it.
This
isn't merely about the "commons," it's about the entire concept of
privatization which needs to be discussed more frequently by citizens.
And
since the jackal corporations have moved to claiming our water, we'd better
hurry up.
I
nearby resign from CommonDreams posting. The whole thing has stopped being
interesting and fun. People write really long posts which mostly make me think
that they are theoretical people who don't seem to have much real world
experience. Or they write short posts that order other posters do something or
stop doing something. There are some mid length postings where people brag
about what they have done, or what they've been saying for however many years
they've been logging on here.
It
has become exceedingly mean spirited and smug, an unpleasant combination of
traits. Few are even willing to consider the possibility of reaching out or
working together, being much more interested in thinking up clever put down
names like "obummer" or "betrayus," or calling people
"sociopaths" and it's not helpful and has been, lately, a waste of my
time.
I
may scroll through now and then, and see how everyone is doing. But I don't
think I'll bother replying.
I
am in the process of moving home as frigate demanded ( a perfect example of
what I'm talking about: "Go home Gringos") in a reply to the
"Dust Off Those Old Immigration Reform Deals Not So Fast" article
yesterday.
I
have a new home in a supposedly third world country where people's behavior
seems much more sensible and humane than what goes on here.
I
shall say no more.
The
fighting has indeed infected everything. You don't need to run from it. Simply
stop feeding it. Be the change you want to see.
hey!
i enjoy reading your posts! you as the offspring of an irs agent bring a
unique perspective. i don't always agree with every point, but as einstein
said, as no two of us can physically occupy the same point at the same time we
should not deny the validity of what another sees. i know what you mean about
the name-calling and feel distress when a mean-spirited post receives a
plethora of up votes.
congratulations
on your new home! take a breather, if you must, ( we all sink into depression
at times), but please, please, don't abandon us!
I
see it as people struggling with living in denial (ignorance) and/or coming to
terms with the exclusion of the breadth of life, voices and realities silenced
over centuries as the legacy of the predatory practices come home to roost. One
thing I think about is the challenge to integrity of one's own voice, actions
and engagement - particularly under stress and in crisis - perhaps one of the
greatest challenges of our time.
'Sociopaths',
as persons disconnected from the 'socius' do, in my experience, exist, but I
think I might be hearing part of your point. It is a form of name-calling -
where a person, as person, is turned into an object rather than engaging in
community, exercising coherent inclusion and 'response-ability'. We have
institutions that call themselves people without the capacity to be people - as
spiritual entities having a human experience.
I
frequently think that among our greatest strengths is to meet life fearlessly
and lovingly - these I wish for you in a life well lived..
I
became one of those mean spirited people. Something about this forum makes it
easy to be dismissive and rude. Instant publishing has become the death of me,
as a human. What this forum lacks is that human interaction, there is no
commons here or anywhere on the internet, and so no eyes triggering communal
behavior. At any rate, I will try to do better from here on out. Your words
echo my admonitions against myself, of late. I even took great pleasure when my
'down' arrows went well into the double digits.
Funny...
I don't recall seeing Kiki Zoza before?
Sure.
You'll just change screen names and repeat the same memes.
Ironically,
there is a street on one of the barrier islands of New Jersey, named Tecumseh
Street. It might have been wiped off the map by Sandy.
The schools in my area teach US Exceptionalism and blind patriotism. They even have a Cadet Program for middle school kids. It is taught by active duty and retired military.
Chances of teaching an accurate view of history are less than zero.
The schools in my area teach US Exceptionalism and blind patriotism. They even have a Cadet Program for middle school kids. It is taught by active duty and retired military.
Chances of teaching an accurate view of history are less than zero.
I
agree with your article except to say, I wish you guys would not be afraid to
mention the part TOO MANY PEOPLE on this planet plays in all environmental and
now social issues.
Santayana
said, "Those who cannot remember the past are condemned to repeat
it."
And
those who are denied the past are condemned to suffer through its repetition.
Don't
wait for government to solve problems. They won't, because they have been
bought. Teach you own children, your siblings, your parents and your neighbors
about climate change and to reject the false promises of money.
This
comment was deleted.
Good
luck, brother!
Land
is the ultimate source of capital. Thus to refuse to countenance the buying or
selling thereof, in modern terms is to advocate socialism.
And what is that anyhow but the peasant commune writ large?
And what is that anyhow but the peasant commune writ large?
There
are still commons we do own: public infrastructure, which should be included in
our concept of the commons.
Stealing
is the surely a good word. In some cases it was simply armed robbery by the
rich of others.
Learning
about the commons is very important and much needed in the educational system
as well as the media which have so neglected it.
Back
along the spring fed rivers
where
the water turns tangles of cedar feet
into steps and pools for brookies
and we could sip our thirst away,
they are making plans for fracking.
into steps and pools for brookies
and we could sip our thirst away,
they are making plans for fracking.
The
water comes out the hillside,
nests and pants everywhere, falls a hundred times;
beavers flood the trails and lowlands
and the black muck suctions my feet
nests and pants everywhere, falls a hundred times;
beavers flood the trails and lowlands
and the black muck suctions my feet
up
from under layers of fallen leaves.
Back along the spring fed river
where the silver beech trees twist up
and dark pockets of hemlock
Back along the spring fed river
where the silver beech trees twist up
and dark pockets of hemlock
announce
the rising wind
that will bring snow if there is snow
this year if we have not lost the snow
in a land made live-able only by snow
that will bring snow if there is snow
this year if we have not lost the snow
in a land made live-able only by snow
and
not far up the path, hidden
in the middle of this place designated
wild and scenic, an orange sign
Lumber Operation Ahead
in the middle of this place designated
wild and scenic, an orange sign
Lumber Operation Ahead
and
the biggest maple have been taken
the crowns lie in sloppy gathered bunches
and dead. This is where the fracking begins
deep wells for the poisoned drink forever stolen
the crowns lie in sloppy gathered bunches
and dead. This is where the fracking begins
deep wells for the poisoned drink forever stolen
from
the cycle of return return return
as the lakes sink low
and the oceans rise high, and deep wells leak
tumors and blindness into our land’s veins.
as the lakes sink low
and the oceans rise high, and deep wells leak
tumors and blindness into our land’s veins.
These
are public lands I'm told
back along the spring-fed cascades
threading and pooling, drinking –
in the places where the rare flowers live
back along the spring-fed cascades
threading and pooling, drinking –
in the places where the rare flowers live
we
walk until dusk
the birds seem silenced
back along the shale-spring rivers
where the hillsides sing with water tumbling
the birds seem silenced
back along the shale-spring rivers
where the hillsides sing with water tumbling
out
the thighs of hills
where the fracking will begin
and all this will be sullied and shorn
and we will drink from the cedar’s creek side never
where the fracking will begin
and all this will be sullied and shorn
and we will drink from the cedar’s creek side never
drink
between their tangled feet
never and no more.
never and no more.
Great
article & powerful insights, Mr. Swinehart. Bravo! Your students are
fortunate to have you as an instructor.
I
wish you were teaching MY stepson.
Deleted
duplicate.
This
is such a great idea because it means in another 20 years more people will
understand what's happening now as well as what's already been happening for
some hundreds of years. And in 20 years students can use the over-priced
history books to start a fire.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น