Superstorm
Sandy—a People's Shock?
Seizing
the climate crisis to demand a truly populist agenda
ซุปเปอร์พายุแซนดี้—ช็อคของประชาชน?
ฉวยวิกฤตภูมิอากาศ เรียกร้องวาระประชานิยมที่แท้จริง
โดย
นาโอมิ ไคลน์
ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล
Rockaway resident Christine Walker
walks along the beach under what is left of the boardwalk in the borough of
Queens, New York, Monday, November 5, 2012, in the wake of Superstorm Sandy.
(AP Photo/Craig Ruttle)
ชาวบ้าน
ร๊อค-อเวย์ คริสตีน วอคเกอร์ เดินตามชายหาดภายใต้สิ่งที่เหลืออยู่จากทางเดินในเมืองเล็กๆ
ของควีนส์, นิวยอร์ก, ในวันจันทร์ 5 พย. 2012, เมื่อซุปเปอร์พายุแซนดี้เริ่มอาละวาด.
Less than three days after Sandy
made landfall on the East Coast of the United States, Iain Murray of the
Competitive Enterprise Institute blamed New Yorkers’ resistance to big-box
stores for the misery they were about to endure. Writing on Forbes.com,
he explained that the city’s refusal to embrace Walmart will likely make the
recovery much harder: “Mom-and-pop stores simply can’t do what big stores can
in these circumstances,” he wrote.
ภายในสามวันหลังจากที่แซนดี้ได้ร่อนถล่มชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ,
เอียน เมอร์เรย์ แห่งสถาบันวิสาหกิจแนวหน้า
ตำหนิการที่ชาวนิวยอร์กต่อต้านร้านกล่องขนาดใหญ่แทนที่จะเห็นใจความทุกข์ยากจากภัยพิบัติที่พวกเขากำลังประสบ. เขาเขียนใน Writing on Forbes.com อธิบายว่า การที่เมืองปฏิเสธวอลมาร์ท จะทำให้การฟื้นชีพยากมาก: “ร้านมาม๊า-ปาป๊า ไม่มีทางทำในสิ่งที่ร้านใหญ่ๆ
จะทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้”.
And the preemptive scapegoating
didn’t stop there. He also warned that if the pace of reconstruction turned out
to be sluggish (as it so often is) then “pro-union rules such as the
Davis-Bacon Act” would be to blame, a reference to the statute that requires
workers on public-works projects to be paid not the minimum wage, but the
prevailing wage in the region.
และการเที่ยวกราดติดป้ายแพะรับบาป
ก็ไม่ได้หยุดเพียงที่นั่น. เขายังเตือนว่า
หากการบูรณะยืดยาดอืดอาด (ซึ่งมักจะเป็นเช่นนั้น) ก็ต้องโทษ
“กฎระเบียบที่เข้าข้างสหภาพแรงงาน เช่น พรบ เดวิส-เบคอน”, คือ อ้างถึงกฎหมายที่ให้จ่ายค่าแรงแก่คนงานในโครงการงานก่อสร้างงานสาธารณะในอัตราของภูมิภาค,
ไม่ใช่ค่าแรงขั้นต่ำ.
The same day, Frank Rapoport, a
lawyer representing several billion-dollar construction and real estate
contractors, jumped in to suggest that many of those public works projects
shouldn’t be public at all. Instead, cash-strapped governments should turn to
“public private partnerships,” known as “P3s.” That means roads, bridges and
tunnels being rebuilt by private companies, which, for instance, could install
tolls and keep the profits.
ในวันเดียวกัน,
แฟรงค์ ราพอพอร์ท,
ทนายความที่เป็นตัวแทนของบริษัทก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ขนาดหลายพันล้านดอลลาร์,
ได้กระโดดเข้าร่วมแนะนำว่า หลายๆ โครงการสาธารณะ ไม่ควรจะเป็นงานของรัฐ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, รัฐบาลท้องที่ที่ขาดสน
ก็ควรจะหันไปเป็น “หุ้นส่วน รัฐ-เอกชน”, หรือที่รู้จักกันเป็น “P3s”. นั่นหมายถึง ถนน, สะพาน และอุโมงค์ จะถูกสร้างใหม่โดยบริษัทเอกชน,
ซึ่งอาจติดตั้งด่านเก็บเงินค่าผ่าน และทำกำไรได้.
Up until now, the only thing
stopping them has been the law—specifically the absence of laws in New York
State and New Jersey that enable these sorts of deals. But Rapoport is
convinced that the combination of broke governments and needy people will
provide just the catalyst needed to break the deadlock. “There were some
bridges that were washed out in New Jersey that need structural replacement,
and it’s going to be very expensive,” he told The Nation. “And so the
government may well not have the money to build it the right way. And that’s
when you turn to a P3.”
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้,
สิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้คือกฎหมาย—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อยังไม่มีกฎหมายในมลรัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี
ที่ยอมให้มีการตกลงดังกล่าว.
แต่ราพอพอร์ทเชื่อมั่นว่า
การผนวกของรัฐบาลถังแตกกับประชาชนที่จำเป็นต้องใช้ จะเป็นตัวเร่งให้ทะลวงทางตันนี้ได้. “มีสะพานบางสายถูกพัดหายไปในนิวเจอร์ซี
ที่จำเป็นต้องมีการก่อโครงสร้างใหม่แทน, และมันราคาแพงมาก”, เขาบอก The Nation. “และเช่นนั้น
รัฐบาลก็คงไม่มีเงินที่จะสร้างมันทันทีได้.
และนั่นก็เป็นเวลาที่คุณต้องหันไปพึ่ง P3.”
Ray Lehmann, co-founder of the R
Street Institute, a mouthpiece for the insurance lobby (formerly a division of
the climate-denying Heartland Institute), had another public prize in his
sights. In a Wall Street Journal article about Sandy, he was quoted arguing for the eventual “full
privatization” of the National Flood Insurance Program, the federal initiative
that provides affordable protection from some natural disasters—and which
private insurers see as unfair competition.
เรย์
ลีฮ์แมนน, ผู้ร่วมก่อตั้ง สถาบัน อาร์สตรีท, กระบอกเสียงของนักล๊อบบี้ประกันภัย
(เดิมเป็นหน่วยหนึ่งของสถาบัน ฮาร์ทแลนด์ ซึ่งปฏิเสธเรื่องภูมิอากาศ), มีรางวัลสาธารณะอีกอันในสายตา. ในบทความหนึ่งใน
วารสารวอลล์สตรีทฉบับวันอาทิตย์, เขาถูกอ้างว่าได้แย้งว่า ในที่สุด
โปรแกมประกันอุทุกภัยแห่งชาติ—ซึ่งเป็นการริเริ่มของรัฐบาลกลาง
เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันจากภัยพิบัติธรรมชาติที่ทุกคนสามารถจ่ายได้ ด้วยเห็นว่า
บริษัทประกันเอกชนแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม—ก็จะต้องแปรรูปเป็นธุรกิจเอกชนเต็มรูปแบบ.
But the prize for shameless disaster
capitalism surely goes to right-wing economist Russell S. Sobel, writing in a New York Times online forum. Sobel suggested that, in hard-hit areas, FEMA should
create “free trade zones—in which all normal regulations, licensing and taxes
[are] suspended.” This corporate free-for-all would, apparently, “better
provide the goods and services victims need.”
แต่รางวัลสำหรับความไร้ยางอายของลัทธิทุนนิยมภัยพิบัติ
ต้องมอบให้นักเศรษฐศาสตร์เอียงขวา รัสเซล โซเบล ที่เขียนใน นิวยอร์กไทมส์
ออนไลน์ฟอรัม. โซเบล แนะนำว่า, ในที่ๆ ถูกกระหน่ำสูญเสียมากที่สุด,
FEMA ควรสร้าง
“เขตการค้าเสรี—ที่ซึ่งไม่มีกฎระเบียบควบคุม, การออกทะเบียน
และการเก็บภาษีตามปกติทั้งหมด”.
ความคิดที่ว่า บริษัท ฟรีสำหรับทุกอย่าง, ก็จะ
“ให้สินค้าและการบริการที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายต้องการได้ดีกว่า”.
Yes that’s right: this catastrophe
very likely created by climate change—a crisis born of the colossal regulatory
failure to prevent corporations from treating the atmosphere as their open
sewer—is just one more opportunity for more deregulation. And the fact that
this storm has demonstrated that poor and working-class people are far more
vulnerable to the climate crisis shows that this is clearly the right moment to
strip those people of what few labor protections they have left, as well as to
privatize the meager public services available to them. Most of all, when faced
with an extraordinarily costly crisis born of corporate greed, hand out tax
holidays to corporations.
ถูกต้อง: หายนะครั้งนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ—วิกฤตที่เกิดจากความล้มเหลวของกฎข้อบังคับมหึมาในการห้ามบริษัทกระทำต่อชั้นบรรยากาศดั่งบ่อน้ำเสียเปิด—เป็นเพียงอีกหนึ่งโอกาสที่จะให้เลิกการบังคับควบคุม. และความจริงที่ว่า พายุลูกนี้
ได้แสดงให้เห็นว่า คนจนและชนชั้นทำงาน มีความเปราะบางอย่างยิ่งต่อวิกฤตภูมิอากาศ
ก็แสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเปลื้องเกราะคุ้มกันแรงงานที่เหลืออีกไม่กี่ข้อจากคนเหล่านี้,
รวมทั้ง ฮุบเอาการบริการของรัฐเล็กน้อยที่จัดสรรให้พวกเขา. เหนือสิ่งอื่นใด,
เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ราคาสุดแสนแพง ที่เกิดจากความละโมบของบริษัท,
ก็ให้ยกเลิกภาษีแก่บริษัทเหล่านี้.
Is there anyone who can still feign
surprise at this stuff? The flurry of attempts to use Sandy’s destructive power
as a cash grab is just the latest chapter in the very long story I have called The
Shock Doctrine. And it is but the tiniest glimpse into the ways large
corporations are seeking to reap enormous profits from climate chaos.
มีใครบ้างไหมที่ยังเสแสร้งว่าประหลาดใจกับเรื่องพรรณนี้?
ความพยายามที่โกลาหลในการใช้อำนาจทำลายล้างของแซนดี้
เป็นเครื่องฉกฉวยเม็ดเงิน เป็ฯบทล่าสุดในนิยายที่แสนยาว ที่ฉันให้ชื่อว่า “หลักการช็อค”. และมันก็เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ
ให้เห็นถึงวิธีการของบริษัทใหญ่ๆ
ที่กำลังมองหาช่องทางเก็บเกี่ยวกำไรจากความสับสนของภูมิอากาศ.
One example: between 2008 and 2010,
at least 261 patents were filed or issued related to “climate-ready”
crops—seeds supposedly able to withstand extreme conditions like droughts and
floods; of these patents close to 80 percent were controlled by just six
agribusiness giants, including Monsanto and Syngenta. With history as our
teacher, we know that small farmers will go into debt trying to buy these new
miracle seeds, and that many will lose their land.
ตัวอย่างหนึ่ง: ในระหว่างปี 2008 และ 2010, อย่างน้อยมีการขอหรือจดลิขสิทธิ์ถึง 261เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ พืช “ที่พร้อมสู้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง”—เมล็ดที่ควรจะทนทานต่อสภาวะสุดโต่งเช่นแห้งแล้งและน้ำท่วม; ในบรรดาลิขสิทธิ์เหล่านี้ เกือบ 80% อยู่ภายใต้การควบคุมของเพียงหกธุรกิจเกษตรยักษ์,
รวมทั้ง มอนซานโต และ ซินเจนตา.
จากประวัติศาสตร์ที่เป็นครูของเรา, เรารู้ว่า เกษตรกรรายย่อยจะตกในหล่มหนี้
เมื่อพวกเขาพยายามซื้อเมล็ดมหัศจรรย์เหล่านี้, และหลายๆ คนก็จะสูญเสียไร่นาของตน.
Unlike the disaster capitalists who
use crisis to end-run democracy, a People’s Recovery... would call for new
democratic processes.
ต่างจากนายทุนภัยพิบัติ
ผู้ใช้วิกฤตเพื่อปิดเครื่องประชาธิปไตย, กลุ่ม การฟื้นคืนของประชาชน (People’s Recovery)...จะเรียกร้องให้สร้างกระบวนการประชาธิปไตยใหม่.
When these displaced farmers move to
cities seeking work, they will find other peasants, indigenous people and
artisanal fishing people who lost their lands for similar reasons. Some will
have been displaced by foreign agribusiness companies looking to grow export
crops for wealthy nations worried about their own food security in a climate
stressed future. Some will have moved because a new breed of carbon entrepreneur
was determined to plant a tree farm on what used to be a community-managed
forest, in order to collect lucrative credits.
เมื่อเกษตรกรที่ถูกไล่ที่เหล่านี้ต้องเคลื่อนตัวเข้าเมืองเพื่อหางาน,
พวกเขาจะพบชาวไร่ชาวนาอื่นๆ, ชนพื้นเมืองดั้งเดิม และช่างฝีมือชาวประมง
ผู้สูญเสียที่ดินด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกัน.
บางคนถูกฉกโดยบริษัทเกษตรพาณิชย์ต่างชาติ
ที่มองหาที่เพาะปลูกพืชเพื่อส่งออกให้ประเทศที่มั่งคั่ง
ที่กังวลถึงความมั่นคงทางอาหารของตนเอง
ในอนาคตเมื่อสภาวะภูมิอากาศกดดันยิ่งขึ้น.
บางคนต้องเคลื่อนย้าย เพราะ นักประกอบการพันธุ์ใหม่ที่ค้าขายคาร์บอน
มุ่งมั่นที่จะปลูกฟาร์มต้นไม้บนพื้นที่ที่เคยเป็นป่าชุมชน,
เพื่อเก็บเกี่ยวเครดิตคาร์บอนได้กำไรงาม.
In November 2010, The Economist
ran a climate change cover story that serves as a useful (if harrowing)
blueprint for how climate change could serve as the pretext for the last great
land grab, a final colonial clearing of the forests, farms and coastlines by a
handful of multinationals. The editors explain that droughts and heat stress
are such a threat to farmers that only big players can survive the turmoil, and
that “abandoning the farm may be the way many farmers choose to adapt.” They
had the same message for fisher folk inconveniently occupying valuable
ocean-front lands: wouldn’t it be so much safer, given rising seas and all, if
they joined their fellow farmers in the urban slums? “Protecting a single port
city from floods is easier than protecting a similar population spread out
along a coastline of fishing villages.”
ในเดือนพฤศจิกายน
2010, The Economist ได้มีบทความจ่าหน้าเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
ที่เป็นพิมพ์เขียวที่มีประโยชน์ ที่กล่าวถึงว่า
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการฉกชิงที่ดินครั้งยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้าย,
การล่าอาณานิคมเฮือกสุดท้ายที่จะกวาดป่าไม้, เรือกสวนไร่นา และชายทะเล
เข้าในเงื้อมมือของบรรษัทข้ามชาติเพียงหยิบมือเดียว. บรรณาธิการอธิบายว่า ความแห้งแล้งและร้อนจัด
เป็นภัยคุกคามเกษตรกร ที่มีเพียงตัวเล่นขนาดใหญ่จะสามรถรอดภาวะอลหม่านนี้ได้,
และว่า “การละทิ้งไร่นา อาจเป็นวิธีการที่เกษตรกรหลายๆ คนเลือกเดิน”. พวกเขาส่งสาส์นทำนองเดียวกันสำหรับชาวประมง
ที่เกะกะจองที่อยู่ในขอบมหาสมุทรอันมีค่า:
จะปลอดภัยมากกว่าไหม, ดูซิน้ำทะเลกำลังขึ้นสูง ฯลณ,
หากพวกเขาเดินทางไปอยู่ร่วมกับเพื่อนชาวนาในสลัมเมือง? “การป้องกันเมืองท่าเพียงแห่งเดียวจากน้ำท่วม
ย่อมง่ายกว่าการป้องกันประชากรกลุ่มเดียวกันที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วชายทะเลในหมู่บ้านประมง?”.
But, you might wonder, isn’t there a
joblessness crisis in most of these cities? Nothing a little “reform of labor
markets” and free trade can’t fix. Besides, cities, they explain, have “social
strategies, formal or informal.” I’m pretty sure that means that people whose
“social strategies” used to involve growing and catching their own food can now
cling to life by selling broken pens at intersections, or perhaps by dealing
drugs. What the informal social strategy should be when super storm winds howl
through those precarious slums remains unspoken.
แต่,
คุณอาจสงสัย, ในเมืองส่วนใหญ่ก็มีวิกฤตไร้งานทำไม่ใช่หรือ? ไม่มีอะไรที่ การ “ปฏิรูปตลาดแรงงาน” เล็กๆ
น้อยๆ และการค้าเสรีจะแก้ไขไม่ได้.
นอกจากนี้, พวกเขาอธิบาย, ในเมืองมี “ยุทธศาสตร์สังคม,
ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ”.
ฉันเชื่อแน่ว่า มันหมายความว่า ผู้คนที่มี “ยุทธศาสตร์เชิงสังคม”
ที่เคยเพาะปลูกและดักจับอาหารของตัวเอง ตอนนี้
สามารถเลี้ยงชีพด้วยการขายปากกาเสียๆ ที่สี่แยก, หรือบางทีก็ขายยาบ้า. ยุทธศาสตร์เชิงสังคมอย่างไม่เป็นทางการควรเป็นอะไร
เมื่อลมจากซุปเปอร์พายุกระหน่ำใส่สลัมร่อเร่เหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครพูดถึง.
For a long time, climate change was
treated by environmentalists as a great equalizer, the one issue that affected
everyone, rich or poor. They failed to account for the myriad ways by which the
superrich would protect themselves from the less savory effects of the economic
model that made them so wealthy. In the past six years, we have seen the
emergence of private firefighters in the United States, hired by insurance
companies to offer a “concierge” service to their wealthier clients, as well as
the short-lived “HelpJet”—a charter airline in Florida that offered five-star
evacuation services from hurricane zones. “No standing in lines, no hassle with
crowds, just a first class experience that turns a problem into a vacation.”
And, post-Sandy, upscale real estate agents are predicting that back-up power
generators will be the new status symbol with the penthouse and mansion set.
เป็นเวลานานแล้วที่ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงได้ถูกนักสิ่งแวดล้อมกล่าวขานกันว่า
เป็นตัวทำให้เกิดความเท่าเทียมที่ยิ่งใหญ่, นั่นคือ
เป็นประเด็นเดียวที่จะกระทบทุกๆ คน, ไม่ว่ารวยหรือจน. พวกเขาพลาดที่จะคำนึงถึงวิธีการนับไม่ถ้วนที่พวกซุปเปอร์รวยจะใช้ป้องกันตัวเองจากผลกระทบที่เผ็ดร้อนน้อยกว่าของโมเดลเศรษฐกิจ
ที่ได้ทำให้พวกเขาร่ำรวยอย่างยิ่ง.
ในช่วงหกปีที่ผ่านมา,
เราได้เห็นการผุดโผล่ขึ้นมาของนักดับเพลิงเอกชนในสหรัฐฯ,
ที่ถูกเหล่าบริษัทประกันภัยจ้างเพื่อทำหน้าที่เป็นให้บริการ “เฝ้าประตู”
แก่ลูกค้าที่ร่ำรวยกว่าของพวกเขา, รวมทั้ง “HelpJet”
อายุสั้น—สายการบินรับเหมาในฟลอริดาที่ให้บริการย้ายที่ระดับห้าดาวให้ออกจากเขตพายุเฮอริแคน. “ไม่ต้องเข้าแถว, ไม่ต้องเบียดเสียดในฝูงชน,
เป็นเพียงประสบการณ์ชั้นหนึ่งที่เปลี่ยนปัญหาให้เป็นการพักร้อน”. และ, หลังแซนดี้, พ่อค้าอสังหาริมทรัพย์คนรวยพยากรณ์ว่า
เครื่องปั่นไฟสำรองจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของความร่ำรวย
ที่จะมาเป็นชุดสำหรับเพ้นท์เฮาส์และคฤหาสน์.
It seems that for some, climate
change is imagined less as a clear and present danger than as a kind of spa
vacation; nothing that the right combination of bespoke services and
well-curated accessories can’t overcome. That, at least, was the impression
left by the Barneys New York pre-Sandy sale—which offered deals on Sencha green
tea, backgammon sets and $500 throw blankets so its high-end customers could
“settle in with style”. Let the rest of the world eat “social strategies,
formal or informal.”
ดูเหมือนว่าสำหรับบางคน,
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ได้ถูกจินตนาการว่าเป็นการพักร้อนสปาบางอย่าง
มากกว่าเป็นอันตรายที่ชัดเจนและเผชิญอยู่;
ไม่มีอะไรที่การผนวกรวมการบริการดังกล่าว และ เครื่องประดับที่จัดหาให้อย่างดี
จะไม่สามารถเอาชนะได้. อย่างน้อย,
นั่นก็เป็นความประทับใจที่ทิ้งไว้หลังจากการขายก่อนแซนดี้เข้ามาของ บาร์นีส์
นิวยอร์ก—ที่ได้นำเสนอการบริการ ชาเขียวเซนชา, ชุดเกมเบกแกมมอน และผ้าห่มราคา $500 เพื่อที่ลูกค้าร่ำรวยจะได้
“หลบหลีกอย่างมีสไตล์”. ปล่อยให้คนอื่นๆ
ที่เหลือในโลกกิน “ยุทธศาสตร์เชิงสังคม, ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ”.
So we know how the shock doctors are
readying to exploit the climate crisis, and we know from the past how that would
turn out. But here is the real question: Could this crisis present a different
kind of opportunity, one that disperses power into the hands of the many rather
than consolidating it the hands of the few; one that radically expands the
commons, rather than auctions it off in pieces? In short, could Sandy be the
beginning of a People’s Shock?
ดังนั้น
เราก็รู้แล้วว่า หมอทำช๊อค (ใช้ไฟฟ้ากระตุ้น)
พร้อมแล้วที่จะขูดรีดหาประโยชน์จากวิกฤตภูมิอกาศ, และเราก็รู้จากอดีตว่า
มันจะออกมาในรูปไหน.
แต่นี่เป็นคำถามที่แท้จริง: วิกฤตครั้งนี้
จะเปิดโอกาสแบบอื่นได้ไหม, โอกาสของการกระจายอำนาจสู่มือของคนมากขึ้น
มากกว่ากระจุกอยู่ในเงื้อมมือของคนเพียงไม่กี่คน; โอกาสของการขยายพื้นที่ร่วมอย่างถอนรากถอนโคน,
มากกว่าประมูลขายทอดตลาดเป็นชิ้นๆ?
พูดสั้นๆ, แซนดี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของพลังกระตุ้น/ช็อคของประชาชน (People’s Shock)ไหม?
I think it can. As I outlined last year in these pages, there are changes we can make that actually have a chance
of getting our emissions down to the level science demands. These include
relocalizing our economies (so we are going to need those farmers where they
are); vastly expanding and reimagining the public sphere to not just hold back
the next storm but to prevent even worse disruptions in the future; regulating
the hell out of corporations and reducing their poisonous political power; and
reinventing economics so it no longer defines success as the endless expansion
of consumption.
ฉันคิดว่า
มันทำได้.
ดังที่ฉันได้เขียนเป็นเค้าโครงปีกลายบนหน้าเหล่านี้,
เราทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถใช้โอกาสนี้
ลดการปล่อยคาร์บอนให้อยู่ในระดับต่ำเท่าที่วิทยาศาสตร์ต้องการ. อันนี้รวมถึงการย้ายที่ระบบเศรษฐกิจของเรา (ดังนั้น
เราจำเป็นต้องให้เกษตรกรอยู่ในที่ของเขา); ขยาย
และจินตนาการใหม่เกี่ยวกับพื้นที่ (การบริการ) สาธารณะ/ภายใต้การดูแลของรัฐ
(ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของธุรกิจเอกชน) ที่ไม่เพียงแต่สกัดพายุลูกหน้า
แต่ป้องกันการแตกกระเจิงที่แย่กว่านี้ในอนาคต;
ควบคุมไม่ให้พวกบริษัททำไม่ดี และลดลดอำนาจทางการเมืองที่เป็นพิษของพวกมัน; และสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ เพื่อว่า
มันจะไม่นิยามความสำเร็จว่าเป็นการขยายตัวของการบริโภคอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.
These are approaches to the crisis
would help rebuild the real economy at a time when most of us have had it with
speculative bubbles. They would create lasting jobs at a time when they are
urgently needed. And they would strengthen our ties to one another and to our
communities— goals that, while abstract, can nonetheless save lives in a
crisis.
เหล่านี้เป็นแนวทางรับมือกับวิกฤต
ที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจที่แท้จริงขึ้นใหม่
ในห้วงเวลาที่พวกเราส่วนใหญ่ได้ผ่านพ้นฟองสบู่ที่สุ่มเสี่ยง.
มันจะสร้างงานที่อยู่ได้นานในเวลาที่เราต้องการอย่างเร่งด่วน.
และมันก็จะเสริมความเข้มแข็งในความสัมพันธ์ของพวกเราระหว่างกัน และกับชุมชนของเรา—เป้าหมายที่,
ในขณะที่เป็นนามธรรม, ก็ยังสามารถรักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยได้ในยามวิกฤต.
Just as the Great Depression and the
Second World War launched populist movements that claimed as their proud
legacies social safety nets across the industrialized world, so climate change
can be a historic moment to usher in the next great wave of progressive change.
Moreover, none of the anti-democratic trickery I described in The Shock
Doctrine is necessary to advance this agenda. Far from seizing on the
climate crisis to push through unpopular policies, our task is to seize upon it
to demand a truly populist agenda.
เหมือนดัง
ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และ สงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ได้กระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนของประชาชน ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น
“ร่างแหปกป้องเชิงสังคม” (social safety nets)
อันเป็นตำนานที่น่าภาคภูมิของพวกเขาทั่วแถบโลกอุตสาหกรรม, ดังนั้น ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงก็สามารถเป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์
ที่นำทางไปสู่คลื่นยิ่งใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลงแบบหัวก้าวหน้าลูกต่อไป. เหนือกว่านั้น, ไม่มีเล่ห์กลต่อต้านประชาธิปไตยใดๆ
ที่ฉันได้บรรยายใน The Shock Doctrine
จะต้องใช้เพื่อการผลักดันวาระนี้.
แทนที่จะใช้วิกฤตภูมิอากาศในการผลักดันนโยบายที่เป็นอริกับประชาชน,
ภารกิจของเราคือ ใช้โอกาสนี้ เรียกร้องให้มีวาระ ประชานิยมที่แท้จริง.
The reconstruction from Sandy is a
great place to start road testing these ideas. Unlike the disaster capitalists
who use crisis to end-run democracy, a People’s Recovery (as many from the
Occupy movement are already demanding) would call for new democratic processes,
including neighborhood assemblies, to decide how hard-hit communities should be
rebuilt. The overriding principle must be addressing the twin crises of
inequality and climate change at the same time. For starters, that means
reconstruction that doesn’t just create jobs but jobs that pay a living wage.
It means not just more public transit, but energy efficient affordable housing
along those transit lines. It also means not just more renewable power but
democratic community control over those projects.
การบูรณะหลังแซนดี้
เป็นที่ๆ เหมาะยิ่งในการทดสอบเส้นทางของถนนเหล่านี้. ต่างจากนายทุนภัยพิบัติ
ผู้ใช้วิกฤตปิดเครื่องประชาธิปไตย, การขับเคลื่อน ฟื้นคืนประชาชน / People’s Recovery
(ดังที่หลายคนในการขับเคลื่อนยึดพื้นที่ ได้เรียกร้องไปแล้ว)
จะเรียกร้องให้มีกระบวนการประชาธิปไตยใหม่, รวมทั้ง การรวมพลในละแวกบ้าน,
เพื่อตัดสินใจว่า ชุมชนที่เสียหายอย่างแรง ควรจะบูรณะสร้างใหม่อย่างไร. หลักการสำคัญที่สุด
จะต้องแก้ไขวิกฤตคู่แฝดของความไม่เท่าเทียมและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงควบคู่กันไป. เพื่อเป็นจุดเริ่มต้น,
หมายถึงการบูรณะที่ไม่ใช่เพียงแต่สร้างงาน
แต่เป็นงานที่จ่ายค่าจ้างเพื่อให้มีชีวิตด้วย.
มันหมายความว่า ไม่เพียงแต่เพื่อให้มีการขนส่งสาธารณะ,
แต่ต้องมีที่อยู่อาศัยที่จ่ายได้และมีประสิทธิภาพเชิงพลังงาน
พร้อมไปกับการคมนาคมสาธารณะ.
มันยังหมายความว่า ไม่เพียงแต่ให้มีพลังงานหมุนเวียนใหม่
แต่มีชุมชนประชาธิปไตยที่ควบคุมโครงการเหล่านี้ด้วย.
But at the same time as we ramp up
alternatives, we need to step up the fight against the forces actively making
the climate crisis worse. Regardless of who wins the election, that means
standing firm against the continued expansion of the fossil fuel sector into
new and high-risk territories, whether through tar sands, fracking, coal
exports to China or Arctic drilling. It also means recognizing the limits of
political pressure and going after the fossil fuel companies directly, as we
are doing at 350.org with our “Do The Math” tour. These companies have shown
that they are willing to burn five times as much carbon as the most
conservative estimates say is compatible with a livable planet. We’ve done the
math, and we simply can’t let them.
ในขณะเดียวกัน
ในขณะที่เราลำเลียงทางเลือกต่างๆ,
เราจำเป็นต้องเร่งต่อสู้กับพลังขมีขมันที่ทำให้วิกฤตภูมิอากาศแย่ลง. ไม่ว่าใครจะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้,
มันหมายความว่า
เราต้องตั้งมั่นที่จะต่อต้านการขยายตัวต่อไปของการภาคเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์
ไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง, ไม่ว่าจะเป็นทรายน้ำมัน,
การขุดเจาะ, การส่งออกถ่านหินไปจีน หรือการขุดเจาะในแถบขั้วโลก.
มันยังหมายถึงการตระหนักถึงข้อจำกัดของแรงกดดันทางการเมือง และ
ต้องไล่ตามบริษัทเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์โดยตรง, ดังที่เรากำลังทำที่ 350.org กับทัวร์ “Do The
Math” (“ทำเลขคณิต”) ของเรา.
บริษัทเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขายินดีที่จะเผาผลาญมากขึ้น
ปล่อยคาร์บอนห้าเท่ามากกว่าตัวเลขที่ประเมินอย่างอนุรักษ์ที่สุดว่า
จะทำให้โลกยังคงอาศัยอยู่ได้.
เราได้ทำเลขคณิต, และเราก็เพียงแต่ไม่สามารถยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้.
We find ourselves in a race against
time: either this crisis will become an opportunity for an evolutionary leap, a
holistic readjustment of our relationship with the natural world. Or it will
become an opportunity for the biggest disaster capitalism free-for-all in human
history, leaving the world even more brutally cleaved between winners and
losers.
เราพบว่าตัวเองวิ่งแข่งกับเวลา: วิกฤตครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้เกิดวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด,
การปรับตัวใหม่แบบองค์รวมในความสัมพันธ์ของเรากับโลกธรรมชาติ. หรือ,
มันจะเป็นโอกาสสำหรับลัทธิทุนนิยมภัยพิบัติ ฟรีสำหรับทุกคน ที่ใหญ่ที่สุด
ในประวัติศาสตร์มนุษย์,
ปล่อยให้โลกแตกแยกมากขึ้นอย่างโหดร้ายระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้.
When I wrote The Shock Doctrine,
I was documenting crimes of the past. The good news is that this is a crime in
progress; it is still within our power to stop it. Let’s make sure that this
time, the good guys win.
ตอนที่ฉันเขียน
The Shock Doctrine, ฉันกำลังบันทึกอาชญากรรมในอดีต. ข่าวดีคือว่า
นี่เป็นอาชญากรรมที่กำลังก้าวไปข้างหน้า;
มันยังอยู่ในอำนาจของเราที่จะหยุดยับยั้งมัน.
ขอให้เราทำให้มั่นใจครั้งนี้ว่า, ฝ่ายดีจะชนะ.
© 2012 The Nation
Naomi Klein is an award-winning
journalist and syndicated columnist and the author of the international and New
York Times bestseller The Shock Doctrine: The Rise of
Disaster Capitalism, now out in paperback. Her earlier
books include the international best-seller, No Logo: Taking Aim at the Brand
Bullies (which has just been re-published
in a special 10th Anniversary Edition); and the collection Fences and Windows: Dispatches from
the Front Lines of the Globalization Debate (2002). To read all her latest writing visit www.naomiklein.org. You can follow her on Twitter: @NaomiAKlein.
The right wing radicals in this
country, (no they are NOT conservatives, and we should stop calling them such),
played the long game and have "won".
They did away with the fairness
doctrine and took over pretty much all of the airwaves and print media and have
used a lot of the money they sucked out of the economy to rain down upon the
country a blizzard of the corporate propaganda that has left USAn's buried in
it.
Ideas like Naomi's are not allowed
into the buffet of bullshit that is peddled to the Amerikan masses. Most now
believe the private sector and the corporations are the their saviors. Down
here in the bible diaper of the country, "Jesus Loves You!" bumper
stickers have been replaced with "The Vulture Capitalist Romney Loves
You!". You would me amazed to see how many single wide trailers in these
parts that have Romney/Ryan campaign signs duct taped onto the refrigerators
that sit on their front porches.
The govern-a-tor in NC's knocked up
sister state of SC can publicly speak of labor unions in total contempt and
still be popular with the Koch-brother-sucker-voters there. WTF is all you can
say to that... The fact that roughly half the people who will vote in todays
farce, I mean election actually believe that voting for a Romney/Ryan ticket is
in their best interest shows how almost hopeless the whole thing is now.
If you go out to M$M sources and
read the comments people make on them, there are still turnip trucks full of
readers that don't believe in man made climate change even after all the
climate disasters that have occurred over the last decade, punctuated with a
giant exclamation mark of crazy weather this year.
IMHO things are looking VERY grim
for average people. What we need is a revloution against the 1% but what we are
probably going to get is a civil war as the Jay Gould's of OUR time "Hire
one-half of the working class to kill the other half".
"...The
right wing radicals in this country, (no they are NOT conservatives, and we
should stop calling them such)"
EXACTLY,
Tom. Or the other acceptable term: NEO-Conservative.
Another option: Destroyers of freedom, economy, and Middle East sovereign nations.
Another option: Destroyers of freedom, economy, and Middle East sovereign nations.
How
about the American Taliban? Christian Extremiists who apparently have forgotten
Christ's message of Love, take care of the poor, and Bless the Children. Even
after they are born, not just a bunch of cells.
I
think the term "rapacious psychopaths" fits them well.
'Neoconservative'
is fine, but unecessarily delimitting. It only refers to self-identified
'conservatives'. Neoliberals refers to any, in any party, who espouse
neoliberalism. 'Neoliberal' therefore refers to Republican party members as
well as Democratic party members.
That's
probably all major political parties on the planet. I just got up to page 332
of "Imperialist Canada," by Todd Gordon. Here's an excerpt from pages
328 & 329 of that myth-busting ('Canada is really nice, but uncle Sam
forces it to be nasty') book:
"The
imperialist powers had in fact already decided as early as 2000 (if not
earlier), following the legislative and presidential elections, that Lavalas
and Aristide were problems that would have to be dealt with firmly. As [Peter]
Hallward observes, for the Haitian elite, "[i]t was no longer possible to
deny the fact that so long as Aristide was around, Lavalas would remain in
power for the foreseeable future...
"Canadian
politicians and officials were centrally involved in the destabilization
campaign from the beginning and saw it right through to its successful
conclusion. They directly funded many opposition groups with very poor human
rights records. But they also participated at least twice in high-level
meetings with their counterparts from France and the United States to develop a
coordinated strategy to undermine Aristide's government. As early as 2000, then
Liberal Foreign Affairs Minister Lloyd Axworthy travelled to Washington for a
"Friends of Haiti" meeting. [Anthony] Fenton argues that "These
'friends' of Haiti feared that unless Aristide's Lavalas Party was reined in,
the neoliberal vision for that country was in dire jeopardy.""
And
progressives, like Canada's Maude Barlow, refers to Lloyd Axworthy as a social
Liberal and one who lost political battles with business Liberals. It's all
very, very relative.
Here's
an interesting quote from Maude Barlow and Bruce Campbell's book,
"Straight Through The Heart." She quotes former prime minister Brian
Mulroney, a Progressive Conservative (and name dropped by the federal
Conservative Party, leaving it at just The Conservative Party):
"They've
endorsed our agenda pretty well, and I'm very pleased with that. The free-trade
agreement with the United States, the North American free-trade agreement, the
GST, privatizations and our low-inflation policy. I was very pleased to see
that those main policies have been maintained intact by the new government, and
they're taking them a little further." - Brian Mulroney on Jean Chrétien's
Liberals
The
neoliberal agenda is all about deregulation, or more freedom for corporations
and capitalists, and privatization. The idea of smaller government is also a
component. The size of government isn't so much the neoliberal's concern,
though, as is it's composition. But it's easier for capitalists to control
governments that are smaller in size. There's less room for principled
politicians to slip past the screening. Such ones (George McGovern down south,
Joey Smallwood here) tend to channel the people's voice which elites and their
tools don't really want to hear (unless they are people like Bruce
Springsteen).
Glenn
Greenwald recently wrote:
"Last
week, the journal Foreign Policy published an extraordinary article – not
extraordinary because of what it says, but because of who said it. It was
written by Aaron David Miller, a lifelong D.C. foreign policy bureaucrat who
served as a Middle East adviser to six different Secetaries of State in
Democratic and GOP administrations. Miller’s article, which compared Barack
Obama and Mitt Romney on foreign policy, was entitled “Barack O’Romney,” and
the sub-headline said it all: “Ignore what the candidates say they’ll do
differently on foreign policy. They’re basically the same man.” It began this
way: “If Barack Obama is reelected, he ought to consider making Mitt Romney his
new secretary of state” because “despite his campaign rhetoric, Romney would be
quite comfortable carrying out President Obama’s foreign policy because it
accords so closely with his own.” - "Obama The Warrior," Salon (http://bit.ly/LC2dYu)
And
so on...
have
you read peter newmans " Canadian Establishment" ..now that is
enlightening
Yes
I have. It was a great read. But it was long ago. Peter Newman is a 'go to'
Canadian author for much info on the movers and shakers in the Canadian establishment.
I probably could profitably re-read that book, and read for the first time some
of his other books. But I don't know whether Newman is of the people. I don't
know a lot about him, actually. That's because his name doesn't come up often
in alternative media.
Why
single out Middle Eastern nations? Western nations are IMPERIALISTS. So is
Israel.
destroyers
of freedom? you must means Marx' definition of socialisms "new kind of
freedom" , right?
Here
again, everyone seems to think that if we only find the right insulting name to
call them, they will cease to be a problem. Wrong, wrong, wrong. Call them what
you like, you are only speaking to other folks here on Common Dreams, but if it
makes you feel better . . .
I'd
caution only that the Jay Gould's of our time don't need to hire 50% to kill
the other... with today's technology they only need to hire a much smaller
fraction to kill the remainder.
Isn't P3 arrangement between the
private sector and government just another way of taxing us to death for
services the government should be providing through the taxes we are already
paying, only that the money collected go to rich who own the coporations?
With
massive inefficiency and corruption besides, naturally!
I'm
not sure, dranks, why don't you look up the record of P3's in Chicago, where
slumlords who now sit at Obama's right hand made their first millions.
P3's
mean that the Public takes care of all expenses and the Private hauls in the
profits. The Private part also sets the wages for the CEO without any Public
input, or any way to change this. We have some of this in Canada, it costs the
Government MORE.
“Mom-and-pop stores simply can’t do what big
stores can in these circumstances,” he [Iain Murray} wrote.
translation “hey folks, the new
financial wisdom says, “put all your eggs in one basket—mine!”
the presumption that the few can
encompass the needs of the many just doesn't add up. the nobility like
the noble gases float above and don’t mingle well with us heavier gases.
therefore, these “great ones” accustomed to giving orders, cannot stoop to ask
“how can I help you?” while fema gets busy handing out phone #s
and claim forms, the american red cross offers excuses and the national
guard (bless them) bring drinkable water and c rations OWS has transformed
itself into effective first responders. listen to or read the transcript
from yesterday’s democracy NOW!. wow! people before profits—because
“life is good!”
Sandy Relief and OWS.
I am good friends with Elizabeth
Gilchrist, who owns Veggie Island. The people are bringing by the car loads
in clothes, food, cans goods, diapers, batteries, flashlights, everything under
the sun, you know, that we kind of need right now!.
p.s.
also from the headlines on monday's broadcast amy brought news from haiti.
remember when the quick clinton/h.w. bush/monsanto rush to take the
reins and rebuild haiti in the empire's image? gee, i wouldn't wish
"help" like this on my worst enemies! (my bold)
"Haiti
is grappling with yet another crisis one week after Hurricane Sandy hit. The
United Nations is warning that Sandy destroyed 70 percent of Haiti’s crops
and left a million-and-a-half people at serious risk of hunger. The death
toll stands at 54 but is expected to rise. The storm destroyed some 21,000
homes and caused more than $104 million of damage. Large parts of Haiti’s
south are still unreachable by land due to massive flooding, sparking fears of
a new outbreak of cholera. The new devastation brought by Sandy comes as
Haiti still tries to rebuild from the massive 2010 earthquake that killed some
300,000 people."
Good and needed story!
So basically, the 32 trillion
sitting in those offshore accounts are going to be invested in American
infrastructure??? Or are we going to have to foot the bills, and ensure more
profits for these hyenas.
Naomi has written a nice, feel-good
article, albeit with some understandable facts, but her conclusion is wrong.
She states, "The overriding
principle must be addressing the twin crises of inequality and climate change
at the same time."
No, Naomi, the real 'overriding
principle' is to expose, educate, and engender confrontation with the Disguised
Global Empire (DGE), the global corporate/financial/militarist (and media)
EMPIRE, that has 'captured' and now fully "Occupies" our former
country, by hiding behind the facade of its modernized and DUAL-Party 'Vichy'
sham of faux-democratic and totally illegitimate government ---- just as the
earlier Nazi Empire tried to hide behind its crude, first-generaltion,
single-party Vichy facade in 'captured' and "Occupied" France c.
1940.
Empire is the causal cancerous tumor
at the heart of both "inequality" and "climate change" ----
as well as all other 'symptom problems' like; increasing global wars, domestic
police-state tyranny, spying/lying, detention/being 'disappeared', vast
economic inequality/looting, destruction of democracy, etc. etc. and this
'faux-democracy' which is the new "opiate of the masses".
Empire is the singular cause that
needs to be diagnosed --- all else are merely 'symptoms' of the EMPIRE.
As Zygmunt Bauman hauntingly puts
it, “In the case of an ailing social order, the absence of an adequate
diagnosis…is a crucial, perhaps decisive, part of the disease.”13
Berman, Morris (2011-02-07). Dark
Ages America: The Final Phase of Empire (p. 22). Norton. Kindle Edition.
Best luck and love to the fast
expanding 'Occupy Empire' educational and revolutionary movement against this
deceitful, guileful, disguised EMPIRE, which doesn't wear Red Coats, Red Stars,
nor funny looking Nazi helmets.
Liberty, democracy, justice, and
equality / Over Violent/Vichy II Empire,
Your
opinion, which has merit, does not make Naomi wrong.
In
MY opinion, "empire" or imperialism is also a symptom. Keep in mind
that there was a time before imperialism appeared. Something changed in the way
humans looked at each other and the rest of the world that led to such negative
"isms". To find out what's "at the heart" of our problems
requires a bit more digging than to just recognize imperialism.
I
agree. Imperialism is simply capitalism writ large.
Yes,
you're looking in the right direction. The next step: Capitalism is a symptom
of .....?
The
top-down rationale for hierarchy that comes from patriarchal religious
systems... these are at the root of law, societal "order," and
existing culture, i.e. the Dominator Society.
That's
more what I was looking for, though I might l call it "supremacist"
thinking.
Yes,
Don, you have raised this valid semantic truth before --- it could be called
"supremacist-thinking", and it IS supremacist-thinking,
hierarchical-thinking, selfish-thinking, domination-thinking,
manipulative-thinking, destructive-thinking, capitalist-thinking, look-out-for-number-one-thinking,
un-democratic-thinking, and even un-Godly-thinking.
The
reason that I personally choose to call it 'Empire-thinking' and the ONLY
reason that I highly recommend that a successful movement, education campaign,
and revolution can best be started by calling it 'Empire-thinking' and
targeting EMPIRE rather than capitalism, or greed, or vainglory, or plutocracy,
or oligarchy, or fascism, or corporatism, or neoliberalism, or any of the other
valid names that might be targeted is that the first (and only successful)
American Revolution was against Empire, that American people remember that
Empire is Evil (even our dullest President knew this), that history shows that
Empires are always bad, that the word Empire is understandable by average
people, and that the entire rest of the world, that the people who have the
'spear of the Empire directly thrust in their face' --- already fully know and
understand that America is acting like a Global Empire --- and, finally, that
these reasons will make the coming confrontation with the last Empire on earth
more likely to succeed.
1.
Money exists so that some can have more of it, and more of what (some believe)
it can buy, than others. plus
1.
Imperialism is state aggression for gain, outside of the need to defend the
country from aggression.
equals
fascism (or corporatism or neoliberalism), in which a minority of parasites
(the capitalist, or business class together with the political class) survive,
primarily, by taking the means of survival from others (the majority).
Asolutely
agree. Money is at the heart of it. And the absolute lack of a true vision for
a better world. Address those things, and we are suddenly there.
You're
on the right track. See chapter 26 of "Capital" Vol 1 on
"primitive accumulation."
In
the marxist tradition, imperialism is known as the "highest form of
capitalism."
Thanks
much, Tom, for a very good point, and one that I have not used to further
discuss why Empire is the sine qua non (and the causal heart) of all the
'symptom problems' that we face.
As
the text that you reference accurately points out, "capitalism is a 14th
to 16th century" invention --- and Empire, of course, is timeless, and
dominates all of recorded history.
So
yes, Tom, the Marxist analysis is correct both with respect to our current age,
that "imperialism (or Empire) is the highest (last) form of
capitalism", and also that Empire is the oldest form of domination,
oppression, looting, destruction, war, murder, etc. etc.
Empire
begins all things evil and is the 'end things' (or 'end times') of evil.
Empire
is the "Heart of Darkness" of Evil.
The
other point that I would like to make in this, your thoughtful reply to Don's
earlier question of whether "imperialism" (or Empire) is merely
"a symptom" itself of 'something' that pre-dated Empire, or
'something', like the -isms, which post-dated Empire, is the point that Empire
pre-dates all and post-dates all.
Empire
is the seminal evil, which over history merely takes different names,
disguises, and most importantly, abuses different tools --- like the tools of
myth, magic, religion, race, homeland, nationalism, self-identification,
ideology, money, technology, science, patriotism, politics, economics, law,
media, etc. etc.
Although
it seems possible, and hopeful, to me that the one tool which Empire may have
the greatest difficulty in abusing is education.
Thanks
again, Tom, for your insightful and broadening viewpoint on the critical issue
of diagnosing, debating, educating, and taking constructive/revolutionary
action against the heart of all our problems.
First
there is a very big difference between modern imperialism and the empires of
the ancient world, which I will not expand on here. (E.g. Ancient empires had
to physically dominate the colonized areas, while modern imperialism does it by
proxy or economic coercion.)
RE:
Empire begins all things evil and is the 'end things' (or 'end times') of evil.
Ok,
but where does empire come from?
To
harbor serious imperial ambitions you first have to be at least a regional
hegemonic power. How do you acquire that level of concentrated power? First you
must have a highly unequal society, you must have a standing army, police etc
to enforce that inequality. In short, you have to have a class divided society.
(Class divided societies are maintained not only by coercion, but by ideologies
that divide-and-rule the majority: sexism, racism, bigotry, nationalism etc.)
Class
divided societies are a relatively new phenomena. Humans have been around in
our current form for at least 100, 000 years. 90% of that has been relatively
egalitarian (and sustainable), only in the last 10,000 years do we see the
formation of minority ruling classes dominating the vast majority. The solution
then, is to create a classless society. To end empire we have to end class
divided societies. The system which generates class divisions today (and for
the last 300+ years) is capitalism. Hence, the focus on capitalism, not empire.
Empire is product of capitalism via the competition between capitalist states.
Male
violence is a primary factor --
Patriarchy and violence are mirror images of one
another --
Only males seem to be able to ignore the male war
on nature -- and the male war on women who
comprise more than half of our species --
Tens of millions of women are missing all over the
world and tens of millions more the victims of male
violence and abuse and sexual abuse.
Women are the natural protectors of children, thus
the war on women makes children ever more vulnerable
to exploitation, including sexual abuse.
It is male violence which keeps Patriarchy in place --
Without violence there is no oppression.
Patriarchy and violence are mirror images of one
another --
Only males seem to be able to ignore the male war
on nature -- and the male war on women who
comprise more than half of our species --
Tens of millions of women are missing all over the
world and tens of millions more the victims of male
violence and abuse and sexual abuse.
Women are the natural protectors of children, thus
the war on women makes children ever more vulnerable
to exploitation, including sexual abuse.
It is male violence which keeps Patriarchy in place --
Without violence there is no oppression.
There
are forms of oppression that are nonviolent, like what most of this country is
under. The powers that be haven't had to resort to even a small portion of the
violence they could afflict. Has anyone posting here been beat up for doing so?
Made to disappear? Waterboarded? Did Chris Hedges do any more than a short term
in jail, then allowed to be back, fat and sassy, writing critical things about
society and government?
So
it's all us men and our desire to oppress that causes the problem. Tell it to
Margaret Thatcher, the German Lady, Indira Gandhi, Elizabeth the Ist, etc.,
etc., It is the human desire to control and be in charge through any means
necessary, including oppression with force, that is one source of the troubles.
Any
policeman will tell you that, in domestic violence cases, half of the
perpetrators of violence are women, and cops are often more afraid of them than
the men because they are often willing to take it further.
Blaming
men for everything plays right into the "keep 'em after each other then
the won't come after us" strategy that makes the U.S. elites so successful
at staying on top.
Good
post. It is true that we live in a very violent country, but it is also true
that those males that do commit violence are small minority of the male
population. If violence were inherent to the male gender shouldn't we expect to
see much MORE violence? If violence were inherent why would corporate media
(and entertainment industry, games, toys) need to constantly glorify war and
violence? Violence (and indeed sexism) must be taught, it must be inculcated in
our youth early on.
Whose
interests are served by the dominant form of violence our society produces -
war? It certainly isn't the soldiers drawn from working class families who come
back with PTSD and no prospect of a good job (except maybe with the police.)
The
violence (and the creation of a "warrior society") serves the
imperial interests of the ruling class. The culprit here is ruling class
ideology.
Great
point, GreenwichAve, yes, violence is one of the key 'tools' of Empire, and you
are absolutely correct that the oldest and most basic aspect of violence is
physical strength (and the abuse of this 'tool') against the oppressed.
Later
'tools' that are abused by Empire-thinking (or more precisely the psychotic and
abusive-thinking) are the invented 'tools' that can be used for more extensive
abuses, like; guns, weapons in general, very advanced technical and scientific
abuses of the 'tools' of chemical and nuclear explosions, etc. , and the
psychological torture of abusive misuse of the modern social sciences, which
make propaganda, et al possible among those in the Empire who prefer
non-physical abuse of 'the Other'.
Alan,
You are correct in your analysis of imperialism and capitalism, but Naomi Klein
did everything you ask her to do in her seminal SHOCK DOCTRINE;THE RISE OF
DISASTER CAPITALISM. Have you read it? If not, you need to get it, because IMHO
it is the best book on imperialism since Fanon's WRETCHED OF THE EARTH.
Clearly, she was alluding to that work in this article, and if you haven't read
the book, what you say is fair enough, but you really need to see how she
explains globalization of capitalism.
Hajja,
yes, I've read Naomi's "Shock Doctrine" --- loved it and consider it
one of the most important 'diagnostic tools' in understanding more deeply how
Empire works today through the abuse of the modern 'tools' of PR, propaganda,
fear, economic manipulation, etc.
Shock
has always been a 'tool' of Empire. Shock can be delivered to those people
being abused and manipulated by many means; military shock, torture,
starvation, public execution, setting dogs upon people, etc. --- just as a herd
of sheep can be shocked by use of dogs, or cattle in a slaughter-house by an
electric shock. Naomi broadens our view of modern shocks in our society being
'gamed' (and often caused) by veiled powers.
Yes,
I consider Naomi's insight regarding the 'tools' that Empire uses to shock,
confuse, move, displace, and 'herd' people as valuable as the contributions
made by Karl Polanyi, Hannah Arendt, Neva Goodwin, Simone Weil, Loretta
Napoleoni, William Appleman Williams, Christopher Lasch, Earl Shorris, Howard
Zinn, Sheldon Wolin, Michael Parenti, Antonio Negri, et al.
Alan,
You are right about the kinds of shocks that can be used to manipulate and
change people. The army calls some of that sort of thing "boot camp,"
I think. George Orwell wrote about it in 1984, and I would also add
"sensory deprivation" to your list.
In
any case, I thank you very much for your "reading list." I have to
confess I am not familiar with many of those names, but I am copying it, and I
will look for some of these people.
In
the past few years, I have been very interested in the difficulties experienced
by indigenous peoples around the world, and particularly, native Americans. I
would like to suggest to you that another person you really ought to read is
Eduardo Galeano. His OPEN VEINS OF LATIN AMERICA is a great classic (Hugo
Chavez gave it to Obama, if you will recall, shortly after Obama's election),
and his trilogy MEMORY OF FIRE is a wonderful history and continuation of the
story of colonialism in the Americas. Happy Reading!
I
agree with HajjaRomi about Naomi's book "The Shock Doctrine." It's
indispensable - for progressives. Real progressives that is.
I
couldn't help myself. I'm so... bothered. The American election was depressing
for many reasons, including the way it brought out all of the fake progressives
as they shilled for Obama and his corporatocracy party. However, Chris Hedges
recent article on the undemocratic electoral system was a good tonic for the
condition this season of darkness brought upon me. See "The S & M
Election" (http://bit.ly/Py3RRZ).
What
a necessary book for all to read!
Thank
you! I can't think of any book in the past generation that comes close to
explaining the present state of capitalism.
I
would not be so quick to jump to that conclusion as this book goes a long way
in proving how rapacious the capitalist system truly is: http://www.powells.com/biblio/...
Thank
you for this suggestion. I will certainly look at it.
I
totally agree. The corporate state sprung a leak in the '60s when protesters
got too strong. But, especially since Reagan, that leak has or is being
plugged. As Frederick Douglass said, power doesn't respond to anything but
power. Most access to the ignorant masses has been closed and the nationwide
security system (similar to those put into states like Virginia when it was
afraid of plantation uprisings before the Civil War) is nearly in full
totalitarian mode. When the next extinction begins, the crisis may trigger spending
by the billionaires as their steel palaces face destruction via extreme climate
or slowdowns simply because no cheap support workers are available. But, of
course, that late of a reaction will be too late. I've been indoctrinated also
in my 50-something years. It is only now that I would like to read articles by
capitalism's critics, including Marx. Because Ocpy has adopted MLK's approach,
instead of Malc X's or Douglass's, the extinction already may be unavoidable.
Just as racism still exists in the U.S. 50 years after MLK, an elite class will
exist 50 years from now--if we're around. Ocupi isn't going to help w/o massive
work slowdowns or force. Good luck there! Capitalism is like the ARDS (acute
respiratory distress syndrome) I had a few years ago: My lungs were so
desperate for oxygen/energy that they started to feed upon themselves. I was in
a coma for one month. Capitalism will feed upon itself in its search for its
oxygen (profits), even if it means death. Perhaps that was the point Marx made.
I will check while I'm still alive and/or not imprisoned for writing these
words.
Garland,
aside from calling the Empire, the "corporate state" (an oversight
that even the great C. Wright Mills made BTW), I applaud your comments.
Sharing
the analogy of your own ARDS and the 'diagnosis' of capitalism eating away and
nearly killing America caused me to immediately think of Earl Shorris's last
essay, "American Vespers" ---- which I think you would relate to:
I'm
glad you have recovered, Garland, and I hope we can all recover from the
disease of Empire which inflicts our country.
Global
Warming is going to have a huge say --
Do we seriously think that insurance companies
can absorb the losses from GW that we have
seen over the past 20 years?
Is this why we've seen such a huge effort by elites
to steal and confiscate private pensions and Social
Security funds?
We have been living under a very destructive economic
system -- capitalism -- and we need to stop supporting
and cooperating with corporate-fascism.
Do we seriously think that insurance companies
can absorb the losses from GW that we have
seen over the past 20 years?
Is this why we've seen such a huge effort by elites
to steal and confiscate private pensions and Social
Security funds?
We have been living under a very destructive economic
system -- capitalism -- and we need to stop supporting
and cooperating with corporate-fascism.
In
truth, only because of INEQUALITY do we have
Global Warming --
Domination of our nation by Elites from the very beginning
of our "democracy" --
moving the wealth and natural resources into private hands
and exploiting all of nature and humanity/labor for the profit
of the few.
The desire to dominate, even if it means total destruction,
is suicidal.
Global Warming --
Domination of our nation by Elites from the very beginning
of our "democracy" --
moving the wealth and natural resources into private hands
and exploiting all of nature and humanity/labor for the profit
of the few.
The desire to dominate, even if it means total destruction,
is suicidal.
Capitalism's last stand. And the
planet's.
Never have so few owed (they'll lie
and deny, but it's true) owed so much to...well, what used to be a lovely,
habitable planet.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น