Why
We Should All Be Talking About Global Sharing
ทำไมพวกเราทั้งหมดจึงควรพูดเรื่องการแบ่งปันระดับโลก
โดย
อาดัม พาร์สัน
ดรุณี
ตันติวิรมานนท์ แปล
The idea of sharing is increasingly
popular today as an answer to many of our social, environmental and economic
problems. By learning how to share more in our everyday lives - in everything
from cars, clothes, couches, meals, household tools, even our time and skills -
we are able to interact more with others, build community, consume and waste
less, as well as save money. Or even make a lot more money, if you're one of
the entrepreneurs investing in the sharing economy's purported $110 billion-plus market. A whole host of different professionals are now involved
in the huge growth industry of sharing, such as the software engineers who
create shared web platforms, the architects who are designing co-housing
communities, or the lawyers
who help community groups
adopt legal structures and agreements for sharing.
ความคิดเรื่องแบ่งปัน
เริ่มเป็นที่นิยมพูดกันมากขึ้นในปัจจุบัน ว่าเป็นคำตอบของปัญหาสังคม,
สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ของเรา.
ด้วยการเรียนรู้ว่าจะแบ่งปันกันอย่างไร—ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่รถยนต์,
เสื้อผ้า, เก้าอี้โซฟา, อาหาร, อุปกรณ์ในครัวเรือน, รวมทั้งเวลาและทักษะของเรา—เราสามารถจะมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้นกับคนอื่นๆ,
สร้างชุมชน, บริโภค และฟุ่มเฟือยน้อยลง, ตลอดจนประหยัดเงินได้มากขึ้นด้วย. หรือแม้แต่ทำเงินมากๆ ได้ด้วย,
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ลงทุน ตลาด 110 พันล้านดอลลาร์
ที่ได้ถูกตั้งเป้าไว้ของเศรษฐกิจแบ่งปัน.
อาชีพต่างๆ มากมาย กำลังมีส่วนร่วมในการขยายตัวมหาศาลของอุตสาหกรรมการแบ่งปัน,
เช่น วิศวกรซ๊อฟแวร์ ผู้สร้างสถานีเว็บแบ่งปัน, สถาปนิกที่กำลังออกแบบชุมชนที่อยู่บ้านร่วมกัน,
หรือ ทนายความที่ช่วยกลุ่มชุมชนต่างๆ ให้ปรับใช้กฎหมายและข้อตกลงเพื่อการแบ่งปัน.
It's as if the age-old practice of
sharing is being recollected, re-learned and re-invented in innovative new ways
to deal with the multiple crises of the 21st Century. Far from being a
primitive behaviour practised only in traditional societies, sharing presents a
new field of study and a new way of life as well as being a simple, everyday
practice among families and friends. There is much talk now of the exciting
promise of the gift economy, barter systems, mutual aid societies, time banks
and many other modes of exchange that are outside of the mainstream monetary
system.
มันเหมือนกับว่า
แบบแผนปฏิบัติเก่าๆ ของการแบ่งปัน ได้ถูกหวนระลึกได้, หวนเรียนรู้
และหวนประดิษฐ์เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อรับมือกับวิกฤตทบทวีในศตวรรษที่ 21. โพ้นจากความเชื่อที่ว่า
มันเป็นพฤติกรรมล้าหลังที่ทำกันในสังคมดั้ง
เดิมเท่านั้น, การแบ่งปัน
นำเสนอสาขาวิชาการใหม่ และ วิถีชีวิตใหม่ รวมทั้งเป็นวิธีง่ายๆ
ในชีวิตประจำวันในระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูง.
ตอนนี้มีการพูดคุยกันมากถึงระบบเศรษฐกิจของการให้ของขวัญ,
ระบบการแลกเปลี่ยนตรงด้วยการเจรจาต่อรอง, สังคมเกื้อกูลกัน, ธนาคารเวลา และ
วิธีอื่นๆ มากมายในการแลกเปลี่ยน ที่อยู่นอกกระแสหลักของระบบเงินตรา.
At the same time, a wealth of
literature has recently emerged that emphasises how human beings are hardwired to cooperate and
share, with far-reaching implications for
how we organise our political and economic systems. Together, these findings
challenge many of the core assumptions of classical economic theory, in
particular the firmly-held notion that people are inherently selfish,
competitive, acquisitive and individualistic by nature - assumptions that have
long been used to justify an unfair economic system. Meanwhile, the resurgence
of scholarly and public interest in ‘the commons' is helping to design
new systems for sharing and conserving the resources of both society and
nature, including natural resources, cultural traditions and knowledge. As many
people from all of these diverse fields are saying, the principle of sharing is
a concept around which we can restructure our societies and use to help guide
us in the urgent process of world rehabilitation.
ในขณะเดียวกัน,
วรรณกรรมมากมายได้พรั่งพรูออกมา ที่เน้นว่า มนุษย์ถูกลากล่ามให้ติดหนึบอยู่กับบรรษัทและตลาดหุ้นอย่างไร,
พร้อมกับกล่าวถึงนัยที่ไกลโพ้นออกไปว่าเราจะจัดระบบการเมืองและเศรษฐกิจของเราได้อย่างไร. การค้นพบทั้งหมดเหล่านี้รวมๆ กัน,
ได้ท้าทายแก่นของสมมติฐานหลายประการในทฤษฎีเศรษฐกิจคลาสสิค, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ประเด็นที่เชื่อกันฝังหัวว่า เนื้อแท้ของคนโดยธรรมชาติ คือ เห็นแก่ตัว,
แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น, ละโมบ และ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว—อันเป็นสมมติฐานที่ถูกใช้มานาน
เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบบเศรษฐกิจที่อยุติธรรม. ในขณะเดียวกัน, การฟื้นคืนของการศึกษาค้นคว้า
และความสนใจสาธารณะในเรื่อง “ปัจจัยร่วม” กำลังมีส่วนช่วยในการออกแบบระบบใหม่ๆ
เพื่อการแบ่งปันและอนุรักษ์ทรัพยากรของทั้งสังคมและธรรมชาติ,
รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรมและภูมิปัญญาดั้งเดิม. ดังที่หลายๆ คนในสาขาวิชาอันหลากหลายเหล่านี้กำลังบอกกล่าว,
หลักการของการแบ่งปัน เป็นกรอบคิดมีอยู่แล้ว ที่เราจะสามารถสร้างโครงสร้างของสังคมของเราขึ้นใหม่
และที่เคยช่วยนำทางพวกเราในกระบวนการเร่งด่วนเพื่อการบำบัดโลก.
Sharing to end poverty?
การแบ่งปันเพื่อยุติความยากจน?
If this is the case, then why are
not more people talking about sharing in relation to how governments provide
welfare and public services to their citizens? And why is there so little
mention of the word ‘sharing' in relation to tackling poverty, inequality and
climate change? Despite the intense interest in the issue of inequality in
recent years, for example, there is almost no mention among academics,
campaigners or policymakers about the obvious antidote to unfairness and
exclusion in society - which is logically, as even a child might say, a fairer
sharing of wealth and resources. Just as human and animal families naturally
demonstrate sharing among themselves, so must a society demonstrate the same
principle among its citizenry in order to thrive. And so must - dare we say it
- the same principle govern wholesome relations between the family of nations
on a worldwide basis.
หากเป็นเช่นนี้,
แล้วทำไมถึงไม่มีคนมากกว่านี้พูดถึงการแบ่งปัน ที่เกี่ยวโยงกับวิธีการที่รัฐบาลจัดสรรสวัสดิการและบริการสาธารณะแก่พลเมือง? แล้วทำไมจึงไม่ค่อยเอ่ยอ้างถึงคำว่า “แบ่งปัน”
ในแง่ของการขจัดความยากจน, ความเหลื่อมล้ำ, และภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง? ทั้งๆ
ที่มีความสนใจชนิดเข้มข้นในประเด็นความไม่เท่าเทียมกันในปีที่ผ่านมา, กลับเกือบไม่มีการเอ่ยถึงเลยในหมู่นักวิชาการ,
นักรณรงค์ หรือนักวางนโยบาย
เกี่ยวกับยาถอนพิษของความอยุติธรรมและการเบียดแยกกีดกันในสังคม—ซึ่งในเชิงตรรกะ,
หรือแม้แต่เด็กๆ ก็อาจพูดได้, คือ การแบ่งปันความมั่งคั่งและทรัพยากรอย่างเป็นธรรม.
ก็เหมือนดั่งที่ครอบครัวของมนุษย์และสัตว์ที่แสดงออกถึงการแบ่งปันแบบธรรมชาติในระหว่างกัน,
สังคมก็ต้องแสดงออกถึงหลักการเดียวกันในหมู่พลเมืองเพื่อจะได้เจริญงอกงามไปด้วยกัน. และ เรากล้าพูดว่า ต้องใช้หลักการเดียวกันนี้ในการปกครอง
ความสัมพันธ์ที่ส่งเสริมเกื้อกูลกันในเชิงบวกระหว่างครอบครัวของนานาประเทศ
ทั่วหล้า.
Yet even in the influential and
important book The Spirit Level, with its compendium of research on all the social ills
that stem from increases in inequality, there is no mention of the word
‘sharing' in its later chapters that point out the road towards a more
egalitarian society. The same holds true for the countless number of reports and
manifestos that are written with prescriptions for how to transform society and
achieve a more equitable distribution of economic resources - the principle of
sharing is rarely, if ever, explicitly mentioned.
แม้แต่หนังสือที่ทรงอิทธิพลและสำคัญ
“ระดับจิตวิญญาณ”, ที่พรั่งพร้อมด้วยงานศึกษาวิจัยอ้างอิงเกี่ยวกับโรคภัยของสังคมที่งอกเงยจากความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้น,
ก็ไม่มีการเอ่ยถึงคำว่า “แบ่งปัน” ในบทท้ายๆ
ที่ชี้ทางสู่สังคมที่เท่าเทียมกัน.
นี่เป็นความจริงสำหรับรายงานและแถลงการณ์อีกมากมายที่เขียนใบสั่งของการแปรเปลี่ยนสังคม
เพื่อให้บรรลุการกระจายทรัพยากรเศรษฐกิจให้ได้เท่าเทียมมากยิ่งขึ้น—หลักการของการแบ่งปันไม่ค่อยถูกชูให้เด่นชัด
ถ้ามีการกล่าวถึง.
One of the reasons that it is now
fashionable to talk about sharing in any context except the political
economy is perhaps understandable, because there is a great danger that you
will be immediately branded a socialist or a communist. This is especially true
in the United States, the country that proclaims free enterprise and small
government louder than any other. Remember the media frenzy that erupted during
the 2008 U.S. elections when Obama told Joe the plumber that "when you spread the wealth around, it's good for
everybody". President Obama has since made it a habit to reassure voters at any opportunity that he is not trying to
"redistribute wealth from one group to another".
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้มันกลายเป็นแฟชั่นที่พูดถึงการแบ่งปันในทุกบริบท
ยกเว้น เศรษฐกิจการเมือง อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้, เพราะ
มีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่ข้างหน้า ที่จะถูกติดป้ายให้คุณทันทีว่าผู้ฝักใฝ่สังคมนิยม
หรือเป็นคอมมิวนิสต์.
นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ, ประเทศที่ได้ประกาศตัวว่าเป็น ผู้ประกอบการเสรี
และ มีรัฐบาลขนาดเล็กได้ดังกว่าใครๆ.
จำได้ไหมถึงความคลั่งไคล้ของสื่อที่ปะทุขึ้นในระหว่างการเลือกตั้งในปี 2008 เมื่อโอบามา กล่าวต่อ โจ ช่างประปา ว่า
“เมื่อคุณแพร่ความมั่งคั่งให้กระจายออกไป, มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกๆ คน”. ประธานาธิบดีโอบามา ตั้งแต่นั้นมา ก็ติดเป็นนิสัยที่จะย้ำสร้างความมั่นใจแก่ผู้มีสิทธิลงคะแนนในทุกๆ
โอกาสว่า เขาไม่ได้พยายามที่จะ “(บังคับให้) กระจายความมั่งคั่งจากกลุ่มหนึ่ง
ไปยังกลุ่มอื่นๆ”.
So in the run-up to the 2012 U.S.
elections, the word ‘sharing' was clearly never going to be a campaign slogan
to replace ‘hope' or ‘change' for any politician making a serious bid for the
White House. This is a shame - not because more politicians should associate
themselves with socialism or any other ‘ism', but because the principle of
sharing should not be associated with any political ideology at all. Indeed if
only the world's politicians would discard their ideologies and partisan
loyalties and make sharing their watchword and party banner. The principle of
sharing is not beholden to a failed economic experiment of a bygone era, but
remains a natural law of economy that has yet to be applied on a worldwide
basis within a framework of international cooperation and
democratically-determined rules.
ดังนั้น
ในการชิงตำแหน่งในปี 2012, คำว่า “แบ่งปัน” จึงไม่มีทางอยู่ในโฆษณาชวนเชื่อในการรณรงค์
ที่จะแทนที่คำว่า “ความหวัง” หรือ “เปลี่ยนแปลง”
สำหรับนักการเมืองคนใดที่เอาจริงเอาจังกับการแข่งเข้าทำเนียบขาว. น่าละอายนัก—ไม่ใช่ว่า นักการเมืองจำนวนมากขึ้น
ควรพัวพันกับลัทธิสังคมนิยม หรือ ลัทธิใดๆ ก็ตาม, แต่หลักการของการแบ่งปัน
ไม่ควรจะพัวพันกับอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งหมด.
อันที่จริง ถ้าเพียงแต่นักการเมืองของโลก
จะเปลื้องทิ้งอุดมการณ์ของพวกเขาและความจงรักภักดีของพวกเขาต่อพรรค
และทำให้การแบ่งปันเป็นคำโดดเด่นและอยู่ในป้ายของพรรค. หลักการของการแบ่งปัน
ไม่ได้รับการเชิดชูในการทดลองเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในยุคที่ผ่านมา, แต่มันยังคงเป็นกฎธรรมชาติของเศรษฐกิจ
ที่ยังไม่ได้ถูกประยุกต์ในระดับโลกในกรอบของความร่วมมือระหว่างชาติ
และการปกครองที่ใช้หลักประชาธิปไตย.
The political economy of sharing
เศรษฐกิจการเมืองของการแบ่งปัน
There are many reasons why we should
be talking more about sharing today in the field of politics and economics. For
a start, examining government policies through the lens of sharing helps us to
navigate the often complex debates of rival political parties, and not get lost
in political spin or ideological thinking. In a time of global economic
breakdown when old certainties are fast crumbling, and when no politician of
either left or right has an answer to the world's problems, it can be difficult
for ordinary citizens to see through the distorted priorities and lack of
common sense of their governments. But if we see sharing as the guiding
principle of economic policy on both a national and international basis, it becomes
a lot easier to understand the right path that governments should follow.
Clearly, this would not be in the same direction that most of the world's
policymakers are currently taking us, which increasingly involves the
dismantling of social protections and public services alongside the promotion
of unregulated ‘wealth creation' by the few.
มีเหตุผลหลายประการที่อธิบายว่า
ทำไมเราจึงควรพูดถึงการแบ่งปันมากขึ้นทุกวันนี้
ในสาขารัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์. เริ่มต้นด้วย
การตรวจสอบนโยบายรัฐบาลผ่านแว่นของการแบ่งปัน
จะช่วยให้เราคลำทางฝ่าการอภิปรายที่มักจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนระหว่างพรรคที่เป็นอริทางการเมืองต่อกัน,
และไม่หลงหลุดไปติดอยู่ในวังวนการเมืองหรือวิธีคิดเชิงอุดมการณ์. ในห้วงเวลาของการล่มสลายของเศรษฐกิจโลก
เมื่อความแน่นอนเก่าๆ เริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว, และเมื่อไม่มีนักการเมืองคนใด
ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา มีคำตอบให้กับปัญหาต่างๆ ระดับโลก, ก็ย่อมเป็นการยากสำหรับประชาชนตาดำๆ
ที่จะมองทะลุการบิดเบือนในการจัดเรียงลำดับความสำคัญของวาระต่างๆ
และการขาดสามัญสำนึกของรัฐบาลของตน.
แต่ถ้าเราใช้การแบ่งปันเป็นแว่น และใช้หลักการนี้ชี้นำนโยบายเศรษฐกิจทั้งในชาติและระหว่างชาติ,
ก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากถึงวิถีที่ถูกต้องที่รัฐบาลควรเดินตาม. แน่นอน มันไม่ใช่ทิศทางเดิม
สายเดียวกับที่นักวางนโยบายของโลกกำลังนำพวกเราไป,
ซึ่งรวมถึงการรื้อถอนกลไกการปกป้องทางสังคมและการบริการสาธารณะ
ที่ไปพร้อมกับการส่งเสริมให้ “กอบโกยก่อความมั่งคั่ง”
อย่างไม่มีการควบคุมโดยคนหยิบมือเดียว.
Understanding how the principle of
sharing relates to economic policy might be simpler than we imagine. In STWR's recent report, we expanded the existing notion of the sharing economy to
include modern systems of social welfare and public service provision, which we
argue is perhaps the most advanced form of sharing on a nationwide level that
exists in the modern world. Although few people talk about publicly-provided
welfare systems as examples of sharing, the principle of sharing is fundamental
to how members of society take collective responsibility for securing basic
human needs and rights for all citizens. Discussing progressive taxation and
redistribution in such terms may be political hot potatoes for any election
candidate vying for office in the so-called advanced economies, but it should
be common sensical to any reasonably-minded person who is concerned about
growing levels of inequality, poverty and social exclusion.
การเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการแบ่งปันและนโยบายเศรษฐกิจ
อาจทำได้ง่ายกว่าที่เราจินตนาการ.
ในรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ของ STWR, เราได้ขยายความเข้าใจที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับเศรษฐกิจแบ่งปัน
ให้รวมระบบสังคมสวัสดิการสมัยใหม่และการบริการสาธารณะเข้าไปด้วย, ซึ่งเราอธิบายว่า
มันอาจเป็นรูปแบบก้าวหน้าที่สุดของการแบ่งปันในระดับทั่วโลก
ที่มีอยู่แล้วในโลกสมัยใหม่. แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่พูดถึงระบบสวัสดิการที่รัฐจัดให้
ว่าเป็นตัวอย่างของการแบ่งปัน, หลักการของการแบ่งปันเป็นรากฐานของการที่สมาชิกในสังคมรับผิดชอบร่วมกันเพื่อจัดหาปัจจัยพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการและสิทธิของความเป็นมนุษย์สำหรับพลเมืองทั้งปวง. การอภิปรายถึงการเก็บภาษีก้าวหน้า
และการกระจาย (ความมั่งคั่ง) ใหม่ในแง่นี้ อาจเป็นเรื่องน่าระอาทางการเมืองสำหรับผู้ลงชิงตำแหน่งทุกคนในระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า
ก้าวหน้า, แต่มันควรเป็นเรื่องสามัญสำนึกสำหรับใครก็ตามที่คิดเป็นเหตุเป็นผลได้
ผู้ห่วงใยต่อความไม่เท่าเทียมที่ถ่างกว้างขึ้น, ความยากจน
และการเบียดขับทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น.
Thinking in these simple and
practical terms can also help us to grasp the basic problems of poorer
countries, many of which do not have the resources they need to build efficient
tax systems to finance essential services and national development. In other
words, many low-income countries are still struggling to establish an effective
sharing economy, and they need help from the international community to achieve this. This
points to the urgent need to finance the ‘global sharing economy' which, as
explained in STWR's report, is not just about increasing international aid.
There are many policies that governments could implement in order to raise the
finances needed to reverse austerity measures, prevent life-threatening
deprivation and mitigate the human impacts of climate change as a foremost
priority. All of the 10 policy recommendations we outline - from tax and debt
justice to redirecting perverse government subsidies - are major priorities for
campaign groups around the world, and would mark a huge step forward in terms
of sharing the world's financial resources. Even within the existing economic system
that is now breaking apart, much could be done to secure the basic rights of
the poor and vulnerable through widespread policies of redistribution, global
forms of taxation and a more equitable sharing of government revenue.
การคิดให้ง่ายขึ้นและให้ปฏิบัติใช้ได้นี้
ยังสามารถช่วยให้เราจับประเด็นปัญหาพื้นฐานของประเทศที่ยากจนกว่าได้ด้วย, หลายๆ
ประเทศ ไม่มีทรัพยากรพอที่จะก่อตั้งระบบภาษีเพื่อรวบรวมเป็นทุนสำหรับการบริการที่จำเป็นและการพัฒนาประเทศ. หรือ หลายๆ ประเทศที่มีรายได้ต่ำ
ยังต้องดิ้นรนกับการจัดตั้งระบบเศรษฐกิจแบ่งปันที่มีประสิทธิภาพ,
และพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมนานาชาติให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว. จึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสนับสนุนทางการเงินแก่
“ระบบเศรษฐกิจแบ่งปันโลก” ที่, ดังได้อธิบายในรายงาน STWR, ไม่ใช่เป็นเพียงการเพิ่มความช่วยเหลือระหว่างประเทศ. มีนโยบายมากมายที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้
ระดมการเงินที่จำเป็นเพื่อผันทิศทางของมาตรการรัดเข็มขัด, หลีกเลี่ยงความขาดแคลนที่เสี่ยงต่อชีวิต
และบรรเทาผลกระทบของภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงต่อมนุษย์ อันเป็นวาระสำคัญลำดับแรก. ในนโยบายที่เรานำเสนอทั้ง 10 ประการ—จากความยุติธรรมเรื่องภาษีและหนี้ ถึง
การผันทิศทางการอุดหนุนทางการเงินของรัฐบาลที่พิลึกพิลั่น—เป็นวาระสำคัญหลักต้นๆ
สำหรับกลุ่มการรณรงค์ทั่วโลก, และจะเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญให้มุ่งสู่การแบ่งปันทรัพยากรการเงินของโลก. แม้แต่ภายในระบบเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้ว
ที่กำลังแตกสลายลง, ก็ยังมีเรื่องที่ทำได้อีกมาก
เพื่อสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่มผู้ยากจนและเปราะบาง
ด้วยนโยบายแผ่กว้างของการกระจายใหม่, การเก็บภาษีในแบบแผนของโลก และการแบ่งปันรายได้ของรัฐบาลที่เท่าเทียมกันยิ่งขึ้น.
Sharing in the bigger picture
การแบ่งปันในภาพที่ใหญ่กว่า
In the longer term, however, sharing
has much bigger implications for the world economy if we are to end poverty and
create a sustainable and peaceful future. Within a vastly overpopulated and
over-consuming planet, and given the uneven distribution of the world's natural
resources and economic power, there is a huge challenge for the international
community to develop more inclusive systems of global governance guided by the
principle of sharing. The United Nations has a pivotal role to play in this historic endeavour, despite being in need of
significant reform and renewal, as it remains the only multilateral institution
with the necessary experience and inclusiveness to coordinate such a
restructuring of the world economy. We cannot talk about a global sharing
economy in the truest sense until agriculture, trade and industry are adequately
regulated on a global level; until cultural and natural resources are managed,
protected and held in trust for the benefit of all people and future
generations; and until consumption levels are rendered equitable and
sustainable both within and between nations.
ในระยะยาว,
การแบ่งปันมีนัยที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเศรษฐกิจโลก หากเราต้องการยุติความยากจน
และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสันติ.
ในโลกที่มีประชาชนล้นหลาม และบริโภคเกิน, และในบริบทของการกระจายทรัพยากรธรรมชาติและอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกที่ไม่สม่ำเสมอ,
มีสิ่งท้าทายที่ใหญ่หลวงสำหรับประชาคมนานาชาติในการพัฒนาระบบโลกาภิบาลที่โอบรวมทุกภาคส่วนมากยิ่งขึ้น ที่นำโดยหลักการของการแบ่งปัน.
สหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในภารกิจประวัติศาสตร์นี้, แม้ว่ามันจำเป็นต้องมีการปฏิรูปและฟื้นฟูจริงจังครั้งใหญ่,
เพราะมันยังคงเป็นสถาบันพหุภาคีเดียวที่มีประสบการณ์และการโอบรวมที่จำเป็นสำหรับการประสานงานเพื่อการปรับปรุงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก.
เราไม่สามารถพูดเกี่ยวกับเศรษฐกิจแบ่งปันของโลกได้อย่างแท้จริง
จนกว่าเกษตร, การค้า และอุตสาหกรรม จะถูกควบคุมได้อย่างเพียงพอในระดับโลก; จนกว่าทรัพยากรทางวัฒนธรรมและธรรมชาติจะถูกจัดการ, ปกป้อง
และดูแลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งปวงและอนุชนรุ่นหลัง;
จนกว่าระดับการบริโภคจะทำให้เท่าเทียมและยั่งยืนภายในและระหว่างประเทศ.
There is one other very good reason
that we should all be talking about global sharing. Because unless we do, there
is no question that governments and international institutions will pay little
heed to public demands for a fairer distribution of wealth and resources. For
many decades, policymaking at every level has been captured by dominant
corporations and business lobby groups that have no interest whatsoever in
sharing world resources, so blinded have they become by profit, ideology and
economic power. Only with a huge groundswell of public opinion in favour of
sharing and cooperation will these vested interests be forced to accede to the
global common good. Such a sentiment may still sound naïve to some, but the
extraordinary ‘people power' uprisings since early 2011 have given us concrete
evidence of where true power ultimately rests. If world public opinion
coalesces around a collective demand for a fairer sharing of the world's wealth
and resources, there is no guessing the potential power of a truly global movement of
ordinary people to
effect wholesale, systemic change.
ยังมีเหตุผลที่ดีอีกประการหนึ่งว่า
พวกเราทั้งหมดควรพูดถึงเรื่องการแบ่งปันระดับโลก. เพราะหากเราไม่ทำเช่นนั้น, รัฐบาลและสถาบันระหว่างประเทศก็จะไม่ให้ความสนใจกับการเรียกร้องของสาธารณชนที่ต้องการให้มีการกระจายความมั่งคั่งและทรัพยากรที่เป็นธรรมกว่านี้.
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ผู้กำหนดนโยบายในทุกระดับ
ได้ถูกครอบงำโดยบรรษัทและกลุ่มนักล็อบบี้ทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพล ที่ไม่มีความสนใจใดๆในการแบ่งปันทรัพยากรโลก,
ตาของพวกเขามืดบอดด้วยเงินกำไร, อุดมการณ์ และอำนาจเศรษฐกิจ.
มีแต่ความเห็นสาธารณชนที่เรียกร้องการแบ่งปันและการร่วมด้วยช่วยกันอย่างสะท้านแผ่นดินเท่านั้น
ที่จะบังคับให้กลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ ให้ยอมรับประโยชน์ร่วมระดับโลกได้. อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้
อาจฟังเหมือนไร้เดียงสาสำหรับบางคน, แต่ การลุกฮือของ “พลังประชาชน” ที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่ต้นปี
2011
(๒๕๕๔) เป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่า
อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ไหน. หากความเห็นของสาธารณชนระดับโลก
รวมตัวกันรอบๆ การเรียกร้องให้มีการแบ่งปันความมั่งคั่งและทรัพยากรโลกที่เป็นธรรมมากขึ้น,
ไม่ต้องเดาเลยว่า ศักยภาพของอำนาจแห่งการขับเคลื่อนโลกอย่างแท้จริงโดยสามัญชน
จะยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบแบบยกเครื่อง.
Of course, there are many reasons
why we may not want to place the idea of global sharing at the forefront
of our hearts and minds. Because if we do, we may no longer be able to abide
the distorted priorities of our governments, especially when we realise just
how absurdly the world's resources are currently managed, and just how
comparatively little of the world's resources are needed to tackle extreme
poverty and heal the environment. We may also begin to realise the part we play
in maintaining this unjust status quo, if only through our continued silence,
acquiescence and complacency. How can we talk about sharing and justice for
ourselves, when thousands of people continue to die needlessly each day from
hunger and social neglect? If global sharing means anything at all, it must
surely mean an end to life-threatening deprivation as a number one global
priority, even above our own community concerns. As we know, our governments
will only make it their priority if we make it our own priority first on a
massive and unprecedented scale. So even if it isn't fashionable to talk about
sharing in relation to poverty, inequality and the environment, maybe it's
about time that we made it so.
แน่นอน,
มีหลายเหตุผลว่า ทำไมเราอาจ ไม่ ต้องการวางความคิดเรื่องการแบ่งปันระดับโลกไว้ในแนวหน้าของหัวใจและจิตใจของเรา. เพราะหากเราทำเช่นนั้น,
เราอาจไม่สามารถทนต่อการจัดลำดับความสำคัญที่บิดเบี้ยวของรัฐบาลของเราได้,
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราตระหนักว่า ทรัพยากรโลกที่ถูกจัดการในปัจจุบัน
ไร้สาระเพียงไร, และเมื่อเปรียบเทียบแล้ว จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรโลกเล็กน้อยเพียงไร
เพื่อแก้ปัญหาความยากจนสุดโต่งและสมานแผลสิ่งแวดล้อม. เราอาจเริ่มตระหนักถึงบทบาทส่วนของเราในการธำรงสถานภาพปัจจุบันที่ไม่เป็นธรรม,
หากเรายังเงียบเสียง, โอนอ่อนผ่อนตาม และ ยินยอมพร้อมใจไปด้วย.
เราจะสามารถพูดเรื่องการแบ่งปันและความเป็นธรรมเพื่อพวกเราเองได้อย่างไร,
ในเมื่อประชาชนนับพันยังล้มตายอย่างไม่จำเป็นทุกวันจากความหิวโหยและการทอดทิ้งของสังคม? หากการแบ่งปันโลก จะมีความหมายใดๆ ก็ตาม,
มันต้องหมายถึงการยุติความขาดแคลนที่เสี่ยงต่อชีวิต
ให้เป็นวาระที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรก,
แม้กระทั่งเหนือความห่วงใยของชุมชนของเราเอง.
ดังที่คุณรู้, รัฐบาลของเราจะทำให้มันเป็นวาระอันดับแรกก็ต่อเมื่อเราทำให้มันเป็นอันดับแรกของเราเองในระดับมวลชนวงกว้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. ดังนั้น
แม้มันจะไม่เป็นแฟชั่นที่นิยมพูดกันเกี่ยวกับการแบ่งปันที่เชื่อมโยงกับความยากจน,
ความไม่เท่าเทียม และ สิ่งแวดล้อม, อาจถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำให้มันเป็นเช่นนั้น.
This work is licensed under a
Creative Commons License
Adam Parsons is the editor at Share The World's Resources, (STWR) a London-based NGO campaigning for essential
resources - such as land, energy, water and the atmosphere - to be shared
internationally and sustainably in order to secure basic human needs. He can be
contacted at adam(at)stwr.org.
อดัม
พาร์สัน เป็นบรรณาธิการของ “แบ่งปันทรัพยากรของโลก”, (STWR) อันเป็นเอ็นจีโอในลอนดอน
ที่รณรงค์เพื่อให้ทรัพยากรสำคัญ—เช่น ที่ดิน, พลังงาน, น้ำ และ บรรยากาศ—ได้รับการแบ่งปันระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
เพื่อสร้างความมั่นคงในปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์.
Excellent essay, Mr. Parsons. We
have developed patriarchal societies where the strongest and most intelligent
people use their strength and intelligence to exploit the rest.
We need to develop a new mindset
where we recognize our common humanity and the strongest and most intelligent
help and protect the rest. All for one and one for all.
When smart people develop new ideas,
they stand on the shoulders of earlier giants, as Newton said. But today, when
a smart person comes up with a new idea beneficial to all, that person will
exploit others to make millions. Take the computer billionaires who have made
their money by exploiting workers in China and elsewhere.
And of course today no one
recognizes that but for the accomplishments of people before them, they could
not have accomplished anything.
Isn't
that what Jesus was all about? His message seems to get drowned out by
all the Old Testament ravings about control and dominance.
What a surprise to have this article
appear on CD amid all the noise of going nowhere. Either the world is shrinking
or the population is increasing to the point where all of humanity is seen to
be on one large life-raft. Sharing the resources of the Earth's socialist
entity by nature remains the only viable option. Does anyone remember profit
sharing?
The idea that what makes you makes them and the two are intrinsically linked to be successful....they are dinosaur bones you say - maybe? But the game is not over yet.
Thank you Mr. Parsons.
The idea that what makes you makes them and the two are intrinsically linked to be successful....they are dinosaur bones you say - maybe? But the game is not over yet.
Thank you Mr. Parsons.
“Before I knowed it, I was sayin' out loud,
'The hell with it! There ain't no sin and there ain't no virtue. There's just
stuff people do. It's all part of the same thing.' . . . . I says, 'What's this
call, this sperit?' An' I says, 'It's love. I love people so much I'm fit to
bust, sometimes.' . . . . I figgered, 'Why do we got to hang it on God or Jesus?
Maybe,' I figgered, 'maybe it's all men an' all women we love; maybe that's the
Holy Sperit-the human sperit-the whole shebang. Maybe all men got one big soul
ever'body's a part of.' Now I sat there thinkin' it, an' all of a suddent-I
knew it. I knew it so deep down that it was true, and I still know it.”
― John Steinbeck, The Grapes of Wrath
― John Steinbeck, The Grapes of Wrath
Thank you. I was getting beyond old
and grumpy, just short of bitter and despairing, waiting for an echo coming
from your generation, Adam. Some of us have been shouting down the well for
forty+ years.
I deeply hope your voice continues and is heard around the world.
I deeply hope your voice continues and is heard around the world.
"Peace will be the result of
sharing and understanding and not the origin of them, as the pacifists so often
imply"
Alice Bailey
Alice Bailey
It has long since become common, to
express general disillusionment about “isms”. I am however strongly of the
opinion that any responsible search for progressive models, for more equitable
future, we need to freely borrow, and mix and match, the beneficial elements
from different systems and ideologies, and from many historical periods. You
just can’t run away from a simple fact that all-encompassing sharing of the
products and produce has always been the basic premise of communism. As the
later remained a theory only, we can still find the highest levels of worker
equality and emancipation in the past, of many socialist countries, of the
Eastern Block. Time is coming, when we must openly discuss lifestyles, those
countries afforded their citizens, starting with free education to PhD level
and free medical care, up to brain surgery. Many enabled for working class
families, to spend holidays in subsidized holiday resorts. I grew up in
Yugoslavia, and have fond memories of high standard of living, education and of
complete job security. Our economy was very successful, and I grew up as a
genuine spoiled brat, (by western criteria also) until trade sanctions and IMF
brought us down. We had sharing everywhere, most importantly also in decision
making at the workplace, where through self-management working class ruled.
Through communal decisions at workplace, equality was achieved over earnings.
Before our economy took a turn for the worse, plans were under way, to reduce
state interference into all spheres of life, where the ideal was a work-class
run society. I like to believe, we were moving towards a genuine political
democracy as well. We had regular referendums, and I genuinely had a feeling I
was living in a just and participative society. Our jokes about our politicians
were as amusing, as they were merciless. Currently, information technology can
enable previously unseen levels of participation in decision making, including
up to national level. I strongly believe citizen participation in governance
and most importantly decision making at workplace and worker-ownership of the
means of production are the cornerstones of equitable sharing in the future.
Possibly the new models of socialism from Bolivia, Venezuela and other Latin
countries will show us the way. Or will it be the progressively more socialist
character of European democracies, under the yoke of imposed austerity?
“If you're in trouble, or hurt or need - go to
the poor people. They're the only ones that'll help - the only ones.”
― John Steinbeck, The Grapes of Wrath
― John Steinbeck, The Grapes of Wrath
We "should" indeed. How to
get the conversation going for real is the question. We tried that during the
hippie era but it couldn't be sustained. If anyone remembers The Diggers of the
Lower East Side will know what we had in mind -- that and seducing the baby
boom children out from under the dominant culture which didn't work.
It
did work for a while.
Till
they became yuppie adults and become the worst parents in many generations:
hovering, obsessed with trying to get their children an "edge" by
shlepping them to multitudious events, trying to get them into schools that
will help them "succeed,"
They
succeeded, all right, and a lot of them are in financial trouble because of it.
It was a good plan and it could have worked had not things like the Manson
Family validated the straight people's (the old definition of the term:
straight = not turned on; I knew several gay straight people) view of what
being a freak was all about, plus cocaine hit and people who should have known
better (but isn't that all of us sometime?) got too deep into that, and the
overdose deaths from any and all drugs except pot took out a lot of good
people.
I
am not ashamed of what I was and how I acted in those days, but it took me a
long time to purge my vocabulary of hippie slang "O wow, that was far out,
it flashed my head to a clearer place and now my trip is so groovy that I can
really dig what I'm doing," I talked like that for more years than I care
to think about.
I
can dig what you're saying.
But
you know I don't think it was that many of us that turned yuppie. Sure we
turned to the establishment and conventional employment, but in order to raise
kids you had to. I think it was our kids that reverted or revolted to
republicanism. We just got older and bogged down.
It
was our kids that sought every advantage and protection for their kids. All the
labeled clothing and no Kmart shopping schtick. Can't really blame that on the boomers.
The old Family Ties tv show pretty much is a good example of what
happened. Hippy parents raised young republican kids.
And
those young republicans raised a totally consumer focused generation of kids.
Who in turn raised a whole new self centered nihilistic generation of
media/celebrity focused kids. Girls wanted to be Spice Girls or Hannah Montanna
and boys wanted to be "gangsta" rappers with lots of bling or
celebrity athletes.
They
had/have no Dylans,no Joan Baez, no Buffy St. Marie, no Joan Collins, no Birds,
no Richie Havens, no Cat Stevens, no Jim Cocker, no Marlin Perkins every
Sunday, no Jacques Cousteaus, etc. They've got Justin Bieber, That Seventies
Show, reality tv, and Lindsay Lohan. Even most of their movies were rehashes of
old tv shows.
But
if they were paying attention and I think a lot of kids were and were hungry
for them there were the Harry Potter books and movies. For those whose folks
weren't so radically christian they outlawed them. So there is hope for them
yet.
They
have a few. The Rage Against the Machine guy is pretty good. This is the second
generation of supposed "concerned young people" I've heard about
coming up. The Harry Potter books, which to me are long and boring -- I read
two of them to see what the fuss was about -- are still on sale most places.
Those Christians who are always trying to ban something they view as sinful
don't understand
I think that most of the human race
is hardwired to cooperate, but I believe that a small percentage, those in
charge, are hardwired to compete. It is often the case in nature that
aggression beats corporation, though not always. The cooperative majority needs
to find a way to contain those with competitive natures, but it is against
their nature to do so. I see this as a fundamental flaw in evolutionary design
that will result in our extinction as well as perhaps 50% of other life on the
planet that we take with us in the process.
Because it's happening? It will have
to be dealt with whether it's proven unquestionably to be caused by human
industrial activity or not. But it may just go away like Y2K panic.
Not
sure what your point is here, but climate change is not going to "just go
away like Y2K." The phrase makes global warming sound like this fall's
fashion line. I'm highly resistant to conspiracy theories and predictions of
doom, but climate change is real and enduring. The worst thing that could
happen is that we just shrug our shoulders and take a "wait and see"
position. What we'd "see" wouldn't be to our liking.
Here
you go with the "we" again. What action should this "we"
you refer to take right now to stave off such an enormous and multivaried list
of things that, to me, do rather indicate that predictions of doom may not be
that off, or that far off?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น