Barry Commoner, Pioneering
Environmental Scientist and Activist, Dies at 95
by Peter Dreier
แบรีย์ คอมมอนเนอร์,
นักวิทยาศาสตร์และนักกิจกรรมบุกเบิกด้านสิ่งแวดล้อม, ถึงแก่กรรม อายุ 95
โดย ปีเตอร์ เดรอิเยอร์
(ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล)
Barry Commoner, a pioneering environmental scientist and
activist, died Sunday at age 95.
แบรีย์ คอมมอนเนอร์,
นักวิทยาศาสตร์และนักกิจกรรมบุกเบิกด้านสิ่งแวดล้อม, ได้ถึงแก่กรรม ศิริอายุ 95 ปี.
Barry Commoner, a founder of modern ecology
and one of its most provocative thinkers and mobilizers, died Sunday, September
30,
2012
in Manhattan. He was 95 and lived in Brooklyn Heights. His wife, Lisa Feiner,
confirmed his death. (Time Magazine cover from February 2, 1970)
Described in 1970 by Time magazine as the
"Paul Revere of ecology," Commoner followed Rachel Carson as
America's most prominent modern environmentalist. He viewed the environmental
crisis as a symptom of a fundamentally flawed economic and social system. A
biologist and research scientist, he argued that corporate greed, misguided
government priorities, and the misuse of technology undermined "the finely
sculptured fit between life and its surroundings."
ดังที่แมกกาซีนไทมส์ได้บรรยายในปี 1970 ที่ยกย่องให้เขาเป็น
“พอล ผู้เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงของนิเวศวิทยา”, คอมมอนเนอร์ ได้เดินตามรอย
เรเชล คาร์สัน
ในฐานะที่เป็นนักสิ่งแวดล้อมยุคใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของอเมริกา. เขามองเห็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมว่าเป็นอาการส่อความบกพร่องของระบบเศรษฐกิจและสังคมในระดับรากฐาน.
ในฐานะที่เป็นนักชีววิทยาและนักวิทยาศาสตร์วิจัย, เขาโต้แย้งว่า ความโลภของบริษัท,
การจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลอย่างหลงทาง, และการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด
ได้กัดเซาะ “ลวดลายการสลักเสลาอย่างละเอียดยิบที่ให้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมสวมเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ”.
Commoner insisted that scientists had an obligation to make
scientific information accessible to the general public, so that citizens could
participate in public debates that involved scientific questions.
Citizens, he said, have a right to know the health hazards
of the consumer products and technologies used in everyday life. Those were
radical ideas in the 1950s and 1960s, when most Americans were still mesmerized by the
cult of scientific expertise and such new technologies as cars, plastics,
chemical sprays, and atomic energy.
คอมมอนเนอร์ยืนกรานว่า
นักวิทยาศาสตร์มีพันธะหน้าที่ในการทำให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เข้าถึงสาธารณชน,
เพื่อว่า พลเมืองจะสามารถมีส่วนร่วมในการโต้วาทีสาธารณะ
ที่เกี่ยวข้องกับคำถามเชิงวิทยาศาสตร์.
เขากล่าวว่า พลเมืองมีสิทธิ์ที่จะรู้ถึงภัยต่อสุขภาพอันเกิดจากผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคและเทคโนโลยีที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน. ความคิดเหล่านั้น เป็นความคิดสุดโต่งในทศวรรษ
1950s และ 1960s, เมื่อชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังหลงใหล
ต้องมนต์สะกดของผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น รถ, พลาสติก,
สเปรย์เคมี, และพลังงานอะตอม.
Commoner linked environmental issues to a broader vision of
social and economic justice. He called attention to the parallels among the
environmental, civil rights, labor, and peace movements. He connected the
environmental crisis to the problems of poverty, injustice, racism, public
health, national security, and war.
คอมมอนเนอร์
เชื่อมโยงประเด็นสิ่งแวดล้อมกับวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางของความเป็นธรรมเชิงสังคมและเศรษฐกิจ. เขาได้เรียกร้องให้สนใจต่อความคู่ขนานระหว่างสิ่งแวดล้อม,
สิทธิพลเรือน, แรงงาน, และขบวนการสันติ.
เขาเชื่อมต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมกับปัญหาความยากจน, ความอยุติธรรม,
การกีดกันเชิงเชื้อชาติ, สาธารณสุข,
ความมั่นคงของชาติ และสงคราม.
Commoner first came to public attention in the late 1950s when he warned about the
hazards of fallout caused by the atmospheric testing of nuclear weapons. He
later used his scientific platform to raise awareness about the dangers posed
by the petrochemical industry, nuclear power, and toxic substances such as dioxins.
He was one of the first scientists to point out that although environmental
hazards hurt everyone, they disproportionately hurt the poor and racial
minorities because of the location of dangerous chemicals and because of the
hazardous conditions in blue-collar workplaces. Commoner thus laid the
groundwork for what later become known as the environmental justice movement.
คอมมอนเนอร์
ปรากฏตัวสู้สาธารณชนในปลายทศวรรษ 1950s เมื่อเขาเตือนถึงภยันตรายจากผลข้างเคียงที่เกิดจากการทดลองยุทโธปกรณ์นิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ. ต่อมา เขาได้ใช้เวทีวิทยาศาสตร์ของเขาในการปลุกให้ตื่นตัวต่ออันตรายจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี,
พลังงานนิวเคลียร์, และสารพิษต่างๆ เช่น ไดท๊อกซิน. เขาเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ
ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้อันตรายเชิงสิ่งแวดล้อมจะทำร้ายทุกๆ คน, มันจะทำร้ายคนยากจนและเชื้อชาติคนกลุ่มน้อยในสัดส่วนที่มากกว่าอย่างยิ่ง
เพราะตำแหน่งแหล่งที่ของสารเคมีอันตราย และเพราะสภาพแวดล้อมอันตรายในที่ทำงานของคนปกคอน้ำเงิน
(แรงงงาน). ดังนั้น คอมมอนเนอร์
ได้วางพื้นฐานสำหรับการขับเคลื่อน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามของ ขบวนการสิ่งแวดล้อมเป็นธรรม.
Born in 1917, Commoner grew up in Brooklyn, New York, the child of
Russian Jewish immigrants. He studied zoology at Columbia University and
received a doctorate in biology from Harvard University in 1941. After serving in the
Navy during World War II, Commoner was an associate editor for Science
Illustrated and then became a professor at Washington University in St. Louis,
Missouri, a position he held for thirty-four years. There he founded, in 1966, the Center for the
Biology of Natural Systems to promote research on ecological systems. He later
moved the center to Queens College in New York.
คอมมอนเนอร์
เกิดในปี 1917, เติบโตใน ย่านบรู๊คลิน, นิวยอร์ก,
เป็นลูกของครอบครัวรัสเซีย-ยิว ย้ายถิ่นเข้ามา.
เขาเรียนสัตว์วิทยา ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
และได้รับปริญญาเอกสาขาชีววิทยา จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี 1941. หลังจากทำหน้าที่ในกองทัพเรือในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง,
คอมมอนเนอร์ ได้เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการของ Science
Illustrated และ ได้เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในเซนต์หลุยส์,
มิสซูรี, อันเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ถึง 34 ปี. ที่นั่น, เขาได้ก่อตั้ง, ในปี 1966, ศูนย์ระบบธรรมชาติชีววิทยา
เพื่อส่งเสริมงานวิจัยระบบนิเวศวิทยา.
ต่อมาเขาได้ย้ายไปสอนที่ วิทยาลัยควีนส์ ในนิวยอร์ก.
While serving in the Navy, Commoner discovered the
disturbing unintended consequences of technology. He was put in charge of a
project to devise an apparatus to allow bombers to spray DDT on beachheads to
kill insects that caused disease among soldiers. The military wanted to remove
the insects before troops landed. Commoner's crew discovered that the DDT
sprayed from bombers effectively eliminated hordes of flies on the beach, but
also that more flies soon came to feast on the tons of fish that the DDT had
also killed. This lesson became a central theme for Commoner throughout his
career: humans cannot take action on one part of the ecosystem without
triggering a reaction elsewhere.
ตอนที่เขาปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพเรือ,
คอมมอนเนอร์ ได้พบผลข้างเคียงที่น่าขุ่นเคือง ที่เทคโนโลยีไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดขึ้น. เขาถูกสั่งให้ดูแลโครงการคิดค้นอุปกรณ์เพื่อให้เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถออกไปฉีดพ่น
ดีดีที ตามหัวหาด เพื่อฆ่าแมลงที่ทำให้ทหารล้มป่วย. กองทัพต้องการให้กวาดล้างแมลงเหล่านั้นก่อนที่กองทหารจะขึ้นฝั่ง. ทีมของคอมมอนเนอร์ ได้พบว่า ดีดีที
ที่ฉีดพ่นจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ได้กำจัดยุงหลายโขยงบนชายหาด,
แต่ก็ได้ดึงดูดแมลงวันมากขึ้นให้เข้ามาเลี้ยงฉลองบนซากปลาเป็นตันที่ถูก ดีดีที
ฆ่าตายไปด้วย. บทเรียนบทนี้
ได้กลายเป็นหัวข้อหลักในตลอดชั่วอายุวิชาชีพของเขา: มนุษย์ไม่สามารถปฏิบัติการกระทบส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ
โดยไม่กระดิกไกให้เกิดปฏิกิริยาใดๆ ในที่อื่น.
After the war, many scientists, including Albert Einstein,
alarmed by America's use of the atomic bomb on Japan in 1945, began to rethink their
role in society. They questioned whether dropping the bomb had been necessary
for the United States to win the war. They were shocked by the scale of the
damage in terms of both immediate deaths and long-term human suffering. And they
worried about the potential for a prolonged arms race between the United States
and the Soviet Union, which, they feared, could end in a nuclear war in which
all humanity would be the losers.
หลังสงคราม,
นักวิทยาศาสตร์หลายคน, รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์,
ที่ตื่นตระหนกจากการที่อเมริกาใช้ระเบิดอะตอมในญี่ปุ่นในปี 1945, ได้เริ่มทบทวนบทบาทของพวกเขาในสังคม. พวกเขาตั้งคำถามว่า
การทิ้งระเบิดเป็นสิ่งจำเป็นไหม เพียงเพื่อให้สหรัฐฯ ชนะสงคราม.
พวกเขาตะลึงงันกับปริมาณและขอบเขตของการทำลายล้างทั้งในแง่ความตายเฉียบพลัน
และความทุกข์ทรมานของคนในระยะยาว.
และพวกเขาก็กังวลถึงการความเป็นไปได้ในการประชันอาวุธยุทโธปกรณ์ระหว่างสหรัฐฯและสหภาพโซเวียต,
ซึ่ง, พวกเขากลัวว่า, อาจจบลงด้วยสงครามนิวเคลียร์
ที่มนุษยชาติทั้งมวลจะเป็นผู้พ่ายแพ้.
As Commoner told Scientific American in a 1997 interview:
ดังที่ คอมมอนเนอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อ Scientific American ในปี 1997:
The Atomic Energy Commission had at its command an army of
highly skilled scientists. Although they knew how to design and build nuclear
bombs, it somehow escaped their notice that rainfall
washes suspended material out of the air, or that children
drink milk and concentrate iodine in their growing thyroids. I believe that the
main reason for the AEC's failure is less complex than a cover-up but equally
devastating. The AEC scientists were so narrowly focused on arming the United
States for nuclear war that they failed to perceive facts -- even widely known
ones -- that were outside their limited field of vision.
คณะกรรมาธิการพลังงานอะตอม
มีอำนาจบัญชาการเหนือกองทัพที่มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง.
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจะออกแบบและสร้างระเบิดอะตอมได้อย่างไร,
แต่พวกเขาก็หลุด ไม่ทันสังเกตว่า เมื่อฝนที่ตกลงมา จะพลอยชะล้างสารแขวนลอยทั้งหลายในอากาศกลับสู่พื้นดินด้วย,
หรือว่า เด็กๆ ดื่มนมและสะสมไอโอดีนในไทรอยด์ของพวกเขา. ผมเชื่อว่า เหตุผลหลักที่
คณะกรรมาธิการพลังงานอะตอม (AEC) ล้มเหลว
เป็นเรื่องซับซ้อนน้อยกว่าการปกปิด แต่ก็สร้างหายนะพอๆ กัน. นักวิทยาศาสตร์ของเออีซี พากันเพ่งแคบๆ
ไปที่ติดอาวุธให้สหรัฐฯ ในการทำสงครามนิวเคลียร์ จนมองไม่เห็นข้อเท็จจริง—แม้แต่ความจริงที่รู้กันทั่ว—ที่อยู่นอกกรอบวิสัยทัศน์อันจำกัดของพวกเขา.
Commoner and other scientists -- including chemist Linus
Pauling (a professor at the California Institute of Technology and a Nobel
Prize winner) -- believed they had a responsibility to sound the alarm about
the potentially devastating effects of nuclear fallout. In 1956, when Adlai Stevenson ran
for president as the Democratic Party nominee, he sought Commoner's advice and
then called for the United States to take the lead in ending nuclear testing.
คอมมอนเนอร์
และ นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ—รวมทั้ง ลินุส พอลลิง (ศาสตราจารย์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย
และผู้ได้รับรางวัลโนเบล)—เชื่อว่า พวกเขามีความรับผิดชอบที่จะกดปุ่มเตือนภัย
ให้รู้ถึงศักยภาพแห่งผลกระทบหายนะของผลข้างเคียงจากระเบิดนิวเคลียร์. ในปี 1956, เมื่อ แอ็ดไล สตีเวนสัน
ลงท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในฐานะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต,
เขาได้ขอคำปรึกษาจากคอมมอนเนอร์ และได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ
เป็นผู้นำในการยุติการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์.
In 1958 Commoner and other scientists and activists formed the
Committee for Nuclear Information with the goal of educating the public to
understand how, in Commoner's words, "splitting a few pounds of atoms
could turn something as mild as milk into a devastating global poison."
They started a new publication, Nuclear Information (later renamed Scientist
and Citizen), to discuss the responsibility of scientists to the larger
society. They drafted a petition, signed by 11,021 scientists worldwide,
urging that "an international agreement to stop the testing of nuclear
bombs be made now." These activities created a groundswell of public
opinion that eventually helped persuade President John F. Kennedy to propose
the 1963
Nuclear Test Ban Treaty.
ในปี 1958 คอมมอนเนอร์ และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ และนักกิจกรรม
ได้ก่อตั้ง คณะกรรมการสารนิเทศนิวเคลียร์ ด้วยเป้าหมายเพื่อให้การศึกษาแก่สาธารณชนให้เข้าใจ,
ในคำพูดของคอมมอนเนอร์, ว่า “การกระแทกให้อะตอมเพียงไม่กี่ปอนด์แตกสลาย
สามารถเปลี่ยนบางอย่างที่ธรรมดาๆ เช่น นม ให้กลายเป็นยาพิษโลกที่สร้างหายนะมหาศาลได้”
อย่างไร. พวกเขาได้เปิดตัวตีพิมพ์, สารนิเทศนิวเคลียร์ หรือ Nuclear Information (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Scientist and
Citizen),
เพื่ออภิปรายถึงความรับผิดชอบของนักวิทยาศาสตร์ต่อสังคมที่กว้างใหญ่กว่า. เขาได้ยกร่างคำร้อง, ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
11,021 คน ได้ร่วมลงนาม, ขอให้
“มีข้อตกลงระหว่างประเทศในการยุติการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ เดี๋ยวนี้”. กิจกรรมเหล่านี้
ได้ทำให้เกิดความเห็นสาธารณะล้นหลามแผ่นดิน ที่ในที่สุดได้ช่วยชักจูงให้ประธานาธิบดี
จอห์น เอฟ. เคนเนดี ให้นำเสนออนุสัญญาห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์.
Commoner's early experience with DDT led him to espouse what
scientists call the "precautionary principle" -- that new chemicals
and technologies should not be introduced into society if there is reason to
believe that they pose a significant public health risk. They should be
approved only after it can be demonstrated that they are safe. Commoner warned
about the risks to human health posed by detergents, pesticides, herbicides,
radioisotopes, and smog. He argued that polluting products (such as detergents
and synthetic textiles) should be replaced with natural products (such as soap,
cotton, and wool). He alerted the public to the negative effects of nuclear
power plants, toxic chemicals, and pollution on the economy, birth defects, and
diseases like asthma.
ประสบการณ์ก่อนหน้าของคอมมอนเนอร์กับ
ดีดีที ได้ทำให้เขานำความคิด ดังที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า
“หลักการระมัดระวังไว้ก่อน”—ที่ว่า สารเคมีและเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ควรถูกนำเข้าสู่สังคม หากไม่มีเหตุผลรองรับให้เชื่อได้ว่า
มันจะไม่สร้างความสุ่มเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อสาธารณสุข.
มันควรได้รับการอนุมัติต่อเมื่อมันสามารถสาธิตให้เห็นว่า ปลอดภัย. คอมมอนเนอร์ได้เตือนถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพคน
ที่มาจากผง/น้ำยาซักฟอก, ยากำจัดศัตรูพืช, ยากำจัดวัชพืช, สารกัมมันตรังสี,
และหมอกควันจากอุตสาหกรรมและท่อไอเสีย.
เขาแย้งว่า ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมลภาวะ (เช่น ผงซักฟอก และเส้นใยสังเคราะห์)
ควรถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (เช่น
สบู่, ฝ้าย, และขนแกะ). เขาปลุกสาธารณชนให้ตื่นรู้ถึงผลกระทบด้านลบของโรงงานพลังนิวเคลียร์,
สารเคมีพิษ, และมลภาวะต่อเศรษฐกิจ, ความบกพร่องแต่กำเนิด, และโรคภัยเช่น หืดหอบ.
In the 1970s Commoner spoke out against the view that
overpopulation, particularly in the Third World, was responsible for the
increasing depletion of the word's natural resources and the deepening
ecological problems. The thesis was popularized by Paul Ehrlich (in his book
The Population Bomb) and other scientists, but Commoner challenged those who
echoed the ideas of the 19th-century British thinker Thomas Robert Malthus.
ในทศวรรษ
1970s คอมมอนเนอร์ ได้ลุกขึ้นพูดต่อต้าน
มุมมองเกี่ยวกับการมีประชากรมากเกิน, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่สาม, ว่าเป็นตัวการทำให้โลกสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติเร็วขึ้น
และทำให้ปัญหาเชิงนิเวศบาดลึกยิ่งขึ้น.
ทฤษฎีนี้ได้ถูกแพร่ขยายโดย พอล เออร์ลิช (ในหนังสือ “ระเบิดประชากร”)
และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ, แต่คอมมอนเนอร์
ท้าทายคนที่สะท้อนก้องความคิดของนักคิดอังกฤษยุคศตวรรษที่ 19 โทมัส โรเบิร์ต มัลธทุส.
As Commoner argued, it is rich nations that consume a
disproportionate share of the world's resources. And it was their systems of
colonialism and imperialism that led to the exploitation of the Third World's
natural resources for consumption in the wealthy nations, making the poor even
poorer. Without the financial resources to improve their living conditions,
people in developing countries relied more heavily upon increased birthrates as
a form of social security than did people in wealthier nations.
ดังที่
คอมมอนเนอร์ ได้แย้งไว้,
มันเป็นเพราะประเทศที่ร่ำรวยต่างหากที่บริโภคมากเกินส่วนแบ่งที่พึงมีในทรัพยากรของโลก,
และมันเป็นเพราะระบบล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมของพวกเขา
ที่นำไปสู่การกดขี่ขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติของโลกที่สาม เพื่อนำไปบริโภคในประเทศร่ำรวย,
ทำให้คนจน ยิ่งจนลงใหญ่. เพราะปราศจากแหล่งการเงินเพื่อปรับปรุงสภาพการดำรงชีพ,
ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาจึงต้องหันไปพึ่งอัตราการเกิดมากขึ้น
ในฐานะที่เป็นหลักประกันความมั่นคงทางสังคม มากกว่าประชาชนในประเทศที่ร่ำรวยกว่า.
As Commoner wrote, "The poor countries have high
birthrates because they are extremely poor, and they are extremely poor because
other countries are extremely rich." His solution to the population
problem was to increase the standard of living of the world's poor, which would
result in a voluntary reduction of fertility, as has occurred in the rich
countries.
ดังที่
คอมมอนเนอร์ ได้เขียนว่า, “ประเทศยากจนมีอัตราการเกิดสูง เพราะ พวกเขายากจนสุดๆ,
และพวกเขายากจนสุดๆ เพราะประเทศอื่นๆ ร่ำรวยสุดๆ”. ทางออกของเขาต่อปัญหาประชากร คือ
เพิ่มมาตรฐานการครองชีพในส่วนของคนจนของโลก,
ซึ่งจะนำไปสู่การลดการเจริญพันธุ์ด้วยจิตอาสา, ดังที่ได้เกิดขึ้นในประเทศร่ำรวย.
In The Closing Circle (1971), Commoner argued that our
economy -- including corporations, government, and consumers -- needs to be in
sync with what he called the "four laws of ecology":
ใน “วัฎจักรปิด” (1971), คอมมอนเนอร์ แย้งว่า ระบบเศรษฐกิจของเรา—รวมทั้งเหล่าบรรษัท,
รัฐบาล, และผู้บริโภค—จำเป็นต้องเต้นไปด้วยกันในจังหวะเดียวกันกับสิ่งที่เขาเรียกว่า
“สี่กฎแห่งนิเวศวิทยา”:
Everything is connected to
everything else.
Everything must go somewhere.
Nature knows best.
There is no such thing as a free
lunch
ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างอื่นๆ.
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีที่ไปที่ใดที่หนึ่ง.
ธรรมชาติรู้ดีที่สุด.
ไม่มีอะไรที่เรียกว่า “กินฟรี”.
The Closing Circle helped introduce the idea of
sustainability, a notion that is now widely accepted but was controversial at
the time. As Commoner pointed out, there is only one ecosphere for all living
things. What affects one, affects all. He also noted that in nature there is no
waste. We can't throw things away. Therefore, we need to design and manufacture
products that do not upset the delicate balance between humans and nature. We
need to utilize alternative forms of energy, such as wind, solar, and
geothermal power. And we need to change our consumption habits accordingly --
to use fewer products with plastics (which are based on oil), aerosol cans
(which harm the atmosphere), and industrial-grown food (which is produced with
harmful chemicals).
“วัฏจักรปิด”
ได้ช่วยแนะนำความคิดเรื่องความยั่งยืน,
แนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
แต่เป็นเรื่องที่คนเห็นขัดกันมากในตอนนั้น.
ดังที่ คอมมอนเนอร์ ได้ชี้แจง, มีพื้นที่นิเวศเพียงวงเดียวสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล. อะไรที่กระทบสิ่งหนึ่ง,
ก็จะกระทบทุกสิ่ง. เขากล่าวด้วยว่า
ในธรรมชาติ ไม่มีขยะ การสิ้นเปลือง. เราไม่สามารถโยนของทิ้ง. ดังนั้น, เราจำเป็นต้องออกแบบ และ
สร้างผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ป่วนความสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างคนและธรรมชาติ. เราจำเป็นต้องใช้พลังงานรูปแบบอื่น, เช่น พลังจากลม,
แสงอาทิตย์, และความร้อนเชิงธรณีวิทยา.
และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนนิสัยการบริโภคตามด้วย—ใช้ของเหล่านี้ให้น้อยลง
เช่น ของที่ทำด้วยพลาสติก (ที่ทำจากน้ำมัน), กระป๋องฉีดพ่น
(ที่ทำร้ายชั้นบรรยากาศ), และอาหารปลูกแบบอุตสาหกรรม (ที่ใช้สารเคมีอันตราย).
In his best-selling book The Poverty of Power (1976), Commoner introduced
what he called the "Three Es" -- the threat to environmental
survival, the shortage of energy, and the problems (such as inequality and
unemployment) of the economy--and explained their interconnectedness:
Industries that use the most energy have the most negative impact on the
environment. Our dependence on nonrenewable sources of energy inevitably leads
to those resources becoming scarcer, raising the cost of energy and hurting the
economy.
ในหนังสือขายดีของเขา
“ความยากจนของพลังงาน” (1976), คอมมอนเนอร์
ได้แนะนำสิ่งที่เขาเรียกว่า “สาม Es”—การคุกคามการอยู่รอดของสิ่งแวดล้อม
(environment), การขาดแคลนพลังงาน (energy), และปัญหาเศรษฐกิจ (economy) เช่นความเหลื่อมล้ำและไร้งานจ้าง—และได้อธิบายความสัมพันธ์ของมัน: อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด ย่อมมีผลกระทบด้านลบมากที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม. การพึ่งแหล่งพลังงานที่ไม่หวนคืนมาได้ ย่อมนำไปสู่การลดลงจนขั้นขาดแคลนทรัพยากรเหล่านั้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้,
ทำให้ราคาต้นทุนพลังงานสูงขึ้น และทำร้ายระบบเศรษฐกิจ.
Commoner was neither a back-to-the-land utopian nor a
Luddite opposed to modern industrial civilization. He did not place the burden
of blame on the consumers who buy these products or the workers who produce
them. He believed that big business and their political allies dominate
society's decision making, often leading to misguided priorities, a theme that
paralleled the ideas of economist John Kenneth Galbraith and, later, Ralph
Nader.
คอมมอนเนอร์
ไม่ใช่ทั้งพวกยูโทเปี้ยน ที่ให้กลับคืนสู่แปลงดิน หรือ ลัดได๊ท์ ที่ให้ต่อต้านอารยธรรมอุตสาหกรรมสมัยใหม่. เขาไม่ได้ผลักภาระการตำหนิกล่าวโทษไปที่ผู้บริโภค
ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้น หรือ คนงานที่ผลิตมัน.
เขาเชื่อว่า ธุรกิจใหญ่ๆ
และพันธมิตรการเมืองของพวกเขาครอบงำการตัดสินใจของสังคม, และบ่อยครั้ง
ก็นำไปสู่การจัดลำดับความสำคัญผิดทาง,
อันเป็นหัวข้อที่คู่ขนานกับความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ จอห์น เคนเน็ท กัลเบรียท และ,
ภายหลัง, ราล์ฟ เนเดอร์.
Commoner believed that the corporate imperative for wasteful
growth is the root cause of the environmental crisis and must be corralled by
responsible public policies demand by a well-educated public. As he told
Scientific American:
คอมมอนเนอร์
เชื่อว่า คำบงการจากบรรษัทให้เติบโตอย่างสิ้นเปลือง
เป็นรากเหง้าของวิกฤตสิ่งแวดล้อม และจะต้องถูกล้อมคอกด้วยนโยบายสาธารณะที่มีความรับผิดชอบ
ตามคำเรียกร้องของสาธารณชนที่ได้รับการศึกษาดี.
ดังที่เขากล่าวต่อ Scientific
American:
The environmental crisis arises from a fundamental fault:
our systems of production -- in industry, agriculture, energy and
transportation -- essential as they are, make people sick and die.
วิกฤตสิ่งแวดล้อมเกิดจากความผิดพลาดระดับรากฐาน: ระบบการผลิตของเรา—ในอุตสาหกรรม, เกษตรกรรม,
พลังงานและการขนส่ง—แม้จะมีความจำเป็นยิ่ง, ก็ได้ทำให้คนล้มป่วยและตายไป.
Commoner's proposals for addressing these problems reflect
his lifetime of promoting a progressive agenda. He told Scientific American:
ข้อเสนอของ คอมมอนเนอร์
ในการแก้ไขปัญหา สะท้อนถึงทั้งชีวิตของเขาในการสนับสนุนวาระก้าวหน้า. เขากล่าวว่า:
What is needed now is a transformation of the major systems
of production more profound than even the sweeping post-World War II changes in
production technology. Restoring environmental quality means substituting solar
sources of energy for fossil and nuclear fuels; substituting electric motors
for the internal-combustion engine; substituting organic farming for chemical
agriculture; expanding the use of durable, renewable and recyclable materials
-- metals, glass, wood, paper -- in place of the petrochemical products that
have massively displaced them.
สิ่งที่จำเป็นตอนนี้ คือ
การแปรเปลี่ยนระบบหลักๆ ในการผลิต ซึ่งลึกซึ้งมากกว่าการเปลี่ยนแปลงในการผลิตเทคโนโลยีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง. การกู้คืนคุณภาพสิ่งแวดล้อม หมายถึง
การหันไปใช้แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์แทนซากดึกดำบรรพ์และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์; ใช้มอเตอร์พลังไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน; ใช้เกษตรอินทรีย์แทนเกษตรเคมี; ขยายการใช้วัสดุทนทาน, ใช้ใหม่ได้
และรีไซเคิล—โลหะ, แก้ว, ไม้, กระดาษ—แทนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี.
Commoner acknowledged some of the environmental movement's
victories, including bans on DTT and on lead in gasoline. Commoner saw this as
a evidence that society can prevent environmental hazards by changing the way
we produce and consume. But in a 2007 interview with the New York
Times, he warned that these measures did not go far enough.
คอมมอนเนอร์
ได้ยอมรับชัยชนะของการขับเคลื่อนทางสิ่งแวดล้อมบางประการ, รวมทั้งการห้ามใช้
ดีดีที และขจัดตะกั่วในน้ำมันรถ.
คอมมอนเนอร์ มองว่า มันเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
สังคมสามารถขัดขวางภยันตรายสิ่งแวดล้อมด้วยการเปลี่ยนวิธี/แนวทางที่เราผลิตและบริโภค. แต่ในการสัมภาษณ์ปี 2007 กับนิวยอร์กไทมส์, เขาได้เตือนว่า มาตรการเหล่านี้ไปได้ไม่ไกลพอ.
Environmental pollution is an incurable disease. It can only
be prevented. And prevention can only take place at the point of production. If
you insist on using DDT, the only thing you can do is stop. The rest has really
been sort of forgotten about.
มลภาวะในสิ่งแวดล้อม
เป็นโรคที่ไม่มีทางแก้.
มันได้แต่หลีกเลี่ยง.
และการหลีกเลี่ยงเป็นไปได้เพียงที่จุดการผลิต. หากคุณยังขืนใช้ดีดีที, สิ่งเดียวที่คุณทำได้ก็คือ
หยุด. ส่วนอื่นๆ ที่เหลือ ก็คงถูกลืมไปเอง.
Many Americans embraced Commoner's ideas about workplace
hazards, nuclear power plants, and recycling. But he grew frustrated by the
influence of corporate America over both political parties and by the failure
of the mainstream environmental movement to join forces with other progressive
movements to heed his warnings and challenge the basic tenets of the
free-market system.
ชาวอเมริกันหลายคนยอมรับความคิดของ
คอมมอนเนอร์ เรื่องภัยในที่ทำงาน, โรงงานพลังงานนิวเคลียร์, และการรีไซเคิล. แต่เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น
กับการที่บรรษัทอเมริกาก่ออิทธิพลเหนือพรรคการเมือง
และการที่ขบวนการสิ่งแวดล้อมกระแสหลักล้มเหลวที่จะผนึกกำลังกับขบวนการหัวก้าวหน้าอื่นๆ
ในการเอาใจใส่ต่อคำเตือนและคำท้าทายของเขาต่อหลักการพื้นฐานของระบบตลาดเสรี.
In 1979 Commoner helped form the Citizens Party, hoping it
would gain influence similar to that of the Green Party in Europe. The next
year Commoner ran as the party's presidential candidate. He got on the ballot
in twenty-nine states but received less than one-third of 1 percent of the national
vote. Like most third parties in the American system, the Citizens Party wound
up being a minor fringe force. Commoner did not run again for office, but he
advised Jesse Jackson's Democratic Party presidential campaigns in the 1980s.
ในปี 1979 คอมมอนเนอร์ ได้ช่วยจัดตั้งพรรคพลเมือง,
ด้วยหวังว่าจะสร้างอิทธิพลได้เหมือนกับพรรคกรีนในยุโรป. ปีต่อมา คอมมอนเนอร์
ได้ลงแข่งให้เป็นตัวเลือกเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี. เขาได้ไปถึงขั้นถูกบรรจุในใบลงคะแนนของ 29 รัฐ แต่ได้รับคะแนนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของ 1% ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดในประเทศ. เช่นเดียวกับพรรคที่สามส่วนใหญ่ในระบบอเมริกัน,
พรรคพลเมืองก็กลายเป็นเพียงกระแสชายขอบน้อยๆ.
คอมมอนเนอร์ ไม่ได้ลงชิงตำแหน่งอีก,
แต่เขาได้ให้คำปรึกษาแก่การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตของ เจสซี
แจ๊คสัน ในทศวรรษ 1980s.
In the 2007 interview with the New York Times, then-90-year-old Commoner remained
the relentless radical:
ในการสัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ในปี
2007, คอมมอนเนอร์ ซึ่งอายุ 90 แล้ว ยังคงเป็นคนหัวรุนแรงที่ไม่ลดราวาศอก:
I think that most of the 'greening' that we see so much
of now has failed to look back on arguments such as my own -- that action has
to be taken on what's produced and how it's produced. That's unfortunate, but
I'm an eternal optimist, and I think eventually people will come around.
ผมคิดว่า
‘การทำให้เขียว’ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นมากมายตอนนี้
ต่างล้มเหลวที่จะมองย้อนกลับไปที่ข้อโต้แย้งเช่นที่ผมได้ทิ้งไว้—ว่า
ปฏิบัติการจะต้องกระทำต่อสิ่งที่ถูกผลิต และที่กระบวนการผลิต. โชคไม่ดีเลย,
แต่ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีตลอดกาล, และผมคิดว่า ในที่สุด ผู้คนจะมาถึงจุดนั้นเอง.
Peter Dreier is professor of politics and chair of the Urban
& Environmental Policy Department at Occidental College. His book, The 100 Greatest Americans of the 20th Century: A Social Justice
Hall of Fame, was recently published by Nation Books. Barry Commoner is one of
the people profiled in that book.
ปีเตอร์ เดรอิเยร์
เป็นศาสตราจารย์รัฐศาสตร์ และคณบดีของคณะนโยบายเมืองและสิ่งแวดล้อม ที่ Occidental College.
หนังสือของเขา
“หนึ่งร้อยอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 : หอเกียรติยศสังคมเป็นธรรม”.
Published on Monday, October 1, 2012 by Common Dreams
sail • an hour ago
Dr. Commoner was my hero. I first
discovered him through reading the Closing Circle in grad school and then
followed him through The Poverty of Power. I had the honor of meeting him at a
reception following a speech he gave in Minnesota. I got to speak with him
briefly. We talked about the possibilities of cogeneration of electricity and
using the heat in district heating systems. He was a brilliant, insightful and
dedicated thinker and activist.
I didn't know his activism went
back as far as the 1940's and 50's. It is amazing that he articulated root
causes of environmental degradation so early on, that he has largely been
proven right, and that we have still not fundamentally embraced environmentally
sound principles of economy and production not to mention social justice.
2 /
cleanearth • 10 hours ago
Dr. Commoner was an important
political, environmental, and social activist for our times. I remember reading
his books and voting for him for President.
In the late 1980's we were
fighting a proposed huge dump up here in the Maine Woods which would have been for
out-of-state garbage and toxic waste from the Eastern half of the USA. This was
before reuse and recycling came to be popular concepts (at least in talk, if
not action)
As I was the volunteer citizen organizer of our county-wide
group, I had to come up with credible witnesses as to why this monstrous dump
should not be permitted, and these witnesses could not be paid because we had
few funds.
So I called Dr. Commoner at his
university in New York and pleaded with him to come up and talk about reuse and
recycling at the official public hearings with the Dept. of Environmental Protection
[sic].
He had written extensively about
reuse and recycling in the New York Times and other publications, so he was
perfect for our needs.
Although he could not come himself,
he did send a very competent guy who spoke and wrote so that we got brilliant
testimony on the record about how garbage could be minimalized through reuse
and recycling and composting of kitchen and yard wastes.
And Dr. Commoner absorbed the
expenses so they charged us nothing.
We won that 3-year fight, and
have kept subsequent proposals to dump other people's garbage in our woods and
waters out of here. It does take constant vigilance and the willingness to give
up a good part of one's personal life, but it can and must be done.
We up here in Washington County,
Maine will always be grateful to Dr, Commoner for being one of the handful of
professional people who helped us keep the "mob rule" garbagemen out,
thus helping protect our woods and clean waters.
Brave, honest, brilliant man. We
need many more of his kind if we are to survive.
10 /
ceti • 7 hours ago • parent
Great story, about a great man.
One of the originals.
3 /
webwalk • 7 hours ago
One of my most honored heroes. i
read "The Closing Circle" in 1971 when i was 12 years old, and
Commoner helped crystallize my understanding of the world, and the place of
humans in it.
Hard to see any of Commoner's
ideas, laid out here in his obit, that are not valid. Tragic that his ideas
have been ignored by the corporate rulers of the political economy and their
lackeys in office, and have not helped fuel an uprising of common folk to stop
those rulers.
i encourage everyone to go ahead
now and read Commoner. Still incisive and hugely relevant today!
5 /
peter knopfler • 3 hours ago
BARRY COMMONER;"a busy
man,welcomes death".B.Franklin, 95 yrs old that says it all.We lost a good
man who gave it his all to us all. GOD BLESS Mr.Commoner.
Yet not the first 1649 Gerrard
Winstanley wrote Utopian Communism.
George Perkins Marsh 1864 wrote Man and Nature,"the
dangers of imprudence and the necessity of caution in all operations
which...interfere with the spontaneous arrangements of the organic and
inorganic world" Look MONSANTO CRIMES AGAINST HUMANITY.
And Remember Fredrick Law OLMSTED
a pioneer landscape architect, designer of New York`s Central Park 1857, he
stressed the importance of respecting the natural environment, of organizing
space in accord with the contours of the land.
2 /
Tom_Larsen • 10 hours ago
“Commoner remained the relentless
radical” - ahead of his time, even now:
Unlike mainstream (liberal)
environmental groups:
“Commoner … connected the
environmental crisis to the problems of poverty, injustice, racism, public
health, national security, and war.
Unlike mainstream (liberal)
environmental groups who argue that nuclear power is “green” Commoner argued
that:
"splitting a few pounds of
atoms could turn something as mild as milk into a devastating global
poison."
Unlike mainstream and even many
progressive environmental groups:
“... Commoner spoke out against
the view that overpopulation, particularly in the Third World, was responsible
for the increasing depletion of the word's natural resources and the deepening
ecological problems. The thesis was popularized by Paul Ehrlich (in his book
The Population Bomb) and other scientists, [“The Limits to Growth” (1972) would
apply too] but Commoner challenged those who echoed the ideas of the
19th-century British thinker Thomas Robert Malthus.”
“As Commoner argued, it is rich
nations that consume a disproportionate share of the world's resources. And it
was their systems of colonialism and imperialism that led to the exploitation
of the Third World's natural resources for consumption in the wealthy nations,
making the poor even poorer. Without the financial resources to improve their
living conditions, people in developing countries relied more heavily upon
increased birthrates as a form of social security than did people in wealthier nations.”
“As Commoner wrote, ‘The poor
countries have high birthrates because they are extremely poor, and they are
extremely poor because other countries are extremely rich.’ His solution to the
population problem was to increase the standard of living of the world's poor,
which would result in a voluntary reduction of fertility, as has occurred in
the rich countries.”
Unlike all mainstream and even
many progressive environmental groups:
“[Commoner] did not place the burden of blame on the
consumers who buy these products or the workers who produce them. He believed
that big business and their political allies dominate society's decision
making, often leading to misguided priorities…”
Unlike all mainstream and all
progressive environmental groups:
“The environmental crisis arises from a fundamental fault:
our systems of production [aka CAPITALISM] -- in industry, agriculture, energy
and transportation -- essential as they are, make people sick and die.”
~~~
Barry Commoner: Capitalism versus the environment:
http://climateandcapitalism.co...
6 /
Daria Rizzi • 3 hours ago • parent
what do you mean when you say "unlike all liberal
mainstream and progressive environmental groups?" What do you think your
pal Romney is up to? Big business/corporations are paying for his campaign.
What do you think they want in return? No regulation. What is the first Agency
they'll defund: EPA. Go to 350.org. That's progressive environmentalism. And
our President would be a progressive environmentalist too if he didn't have to
fight Congressional climate deniers and ecological obstructionism at every
turn. Remember the push for alternative energies? Do you really think Solyndra
was that big a deal in the scheme of things? Let's look at Defense Contractors
and oil companies for tax dollars wasted by the hundreds of billions and
runaway pollution of every kind. Fukushima anyone?
0 /
Tom_Larsen • 2 hours ago • parent −
First, it depends a bit on which
point I was making. But as an example the Sierra Club is one mainstream environmental
group that fits the bill. Second, as a progressive environmental organization,
McKibbon's 350.org, does not explicitly criticize capitalism as the
"fundamental" (as Commoner indicates) source of environmental
problems (and per Commoner "poverty, injustice, racism, public health,
national security, and war.").
Third, I do not support Romney
nor Obama because neither party of the duopoly supports the environment - IN
FACT - (rhetoric doesn't count). Both are equally strong champions of capitalism.
Both are neo-liberals.
Look at their records, not their
words - and wake up!
On Obama: http://wearemany.org/v/2010/01...
On capitilism:
Here's a great lecture recorded for Alternative Radio:
http://podcast.lannan.org/2012...
3 /
G_Orez • 2 hours ago • parent
Fukushima indeed. And just who
was it that signed on to the first new nuclear plants in the U.S. in decades?
And just whose Defense Secretary
is arguing against significant military cuts?
3 /
rodentx2 • 6 hours ago
Going beyond "the environment,"
this, too, was reported:
With "60 Minutes"
cameras rolling, an international group of prominent scientists has signed The
Cambridge Declaration on Consciousness proclaiming that animals are conscious
and aware to the same degree that humans are. The declaration was signed at the
Francis Crick Memorial Conference in the presence of Stephen Hawking, and
included such signatories as Christof Koch, David Edelman, Edward Boyden,
Philip Low, Irene Pepperberg, and many more.
To many of us, animal consciousness
may seem obvious. But the news item here is the open acknowledgment by the
scientific community. The declaration also makes mention of animal emotions.
The affirmation of animal consciousness and the emotional lives of animals
means we can no longer ignore how our actions affect animals. We can no longer
say we didn't know. The declaration calls to the forefront our moral obligation
to question how we treat those with whom we share the earth.
They are our evolutionary kin,
our brothers and sisters, too, not just "property,"
"resources," "livestock," "game,"
"pests," etc, etc, etc. 3.9 billion years of evolution of sentient
life on Earth, and we have the cosmic arrogance to ask, "Is there life on
other planets? Are we alone?" I should not have to argue, shame on
humanity: "They are owed honor, respect, and dignity, too."
Yet--liberals, progressives, humanists, environmentalists, etc--consider animal
rights "infra dig"--"Humans first. Humans always. Humans only. Life, joy, freedom, peace--for
humans only. 'Humane treatment'--for sub-humans.'" When faced with the
challenge of Animal Rights, the "human spirit" disgracefully
implodes. "Humans first...." The environment, it seems, has room only
for humans. "...Humans always. Humans only."
3 /
Ron Helton • 6 hours ago
I have heard of Rachel Carson but
not Dr. Commoner.
What a tragedy that his message
was not taken by heart by all of America in the 70's. Now look where we are.
Corporations having conventions (ALEC) with state legislators to cram
legislation down our throats for their benefit. The world's economies in
shambles. And rampant pollution in the ocean and on land.
Simply unacceptable.
Is it too late to rein in these
corporate robber barons?
2 /
Daria Rizzi • 3 hours ago • parent
It's too late for the Artic Ice.
Melting at record rate, will release methane gas, that's currently stuck in the
permafrost, into the atmosphere, will raise sea levels, flood coastal areas and
create billions of refugees. And this will happen whether we stop everything
we're doing now, or not. We're late to this party. Drastic measures have
recently been pushed to the back burner. And if the corporations win, i.e.,
Romney, it'll get much worse. Think XL Tar Sands Pipelines.
0 /
Mairead • 10 hours ago
He had a long innings, evidence
that the good don't always die young.
4 /
ceti • 10 hours ago
Marxist historian Eric Hobsbawm
also just died at 95. Both had common roots and both were intellectual and
moral mentors of the 20th century, from both sides of the pond.
4 /
Charlene Avis Richards • an hour ago
And the Citizens Party is still
alive today....:
http://en.wikipedia.org/wiki/B...
http://www.votecitizens.org/
0 /
Rick Granick • 7 hours ago
I attended an election night
party in 1980. I was probably the only person there who had voted for Barry.
Most of the attendees had voted for someone named Ronald something.
0 /
lonelooney • 9 hours ago
I'm amazed he was so optimistic.
At least he won't have to see what will happen because our govenment ignored what
he said.
I was sad that I had to choose between him and John Anderson
in 1980.
1 /
Malthus2 • 3 hours ago −
He was a good man, but
unfortunately he did not seem to grasp the population problem very well. Since
the 1970's the world's population has doubled with both poor and industrial
nations growing, especially the U.S. Too bad he and Dr. Ehrlich did not come to
an agreement on the need for ubiquitous contraception to stem the epidemic. The
consequences for humanity are horrible at best.
0 /
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น