วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

329. สมดุลสามมณฑล : กรอบวิเคราะห์นำมนุษยชาติสู่ทางรอด--๔

329.  Balancing Tri-sphere : An analytical framework guiding humanity’s survival path--4

Formulating New Plantation Studies
Ishikawa Nuboru, pp.28-29
สาขาวิชาใหม่--สวนพืชเศรษฐกิจ
ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล

ความเห็นต่างที่ว่า อะไรเป็นองค์ประกอบในอาณาจักรสังคมและอาณาจักรธรรมชาติ ยังคงสร้างความลำบากใจในการสื่อสารระหว่างนักวิจัยในสองสาขาวิชานี้อย่างต่อเนื่อง.  การไหลมาบรรจบกันของภูมิมณฑล, ชีวมณฑล, และ สังคมมนุษย์ ภายใต้ระบบทุนนิยมโลก มีความสำคัญเกินกว่าการกล่าวเอียงไปทางใดทางหนึ่งนอกจากต้องใช้แนวทางข้ามสาขาวิชา.  เราไม่อาจอยู่อย่างโดดเดี่ยว และ แยกจากกัน เมื่อสืบสอบความสัมพันธ์ระหว่างระบบธรรมชาติ และ ระบบสังคม.  ในบทความนี้ ผมขอแนะนำคำท้าทายของเราต่อมุมมองกระแสหลักที่มีคนเป็นศูนย์กลางในสังคมวิทยา ด้วยการตรวจสอบความเชื่อมโยง และ ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่าง ธรรมชาติ และ อธรรมชาติ.  เราทำเช่นนี้ในส่วนหนึ่งของเอเชียอุษาคเนย์ ที่กำลังอยู่ภายใต้การจัดเรียงตัวใหม่ ท่ามกลางการแย่งชิงชีวมวลและที่ดิน.

ความทับซ้อน การตัดไม้ซุง-สวนพืชเศรษฐกิจ ในบอร์เนียว
The logging-plantation nexus in Borneo
แถบศูนย์สูตรของเอเชียอุษาคเนย์ มีชีวมวลเข้มข้นสูง เพราะมีปัจจัยรวมกันของพลังแสงอาทิตย์ล้นหลาม และ ฝนตกหนัก.  การหมุนเวียนของน้ำและความร้อน ทำให้ป่าฝนศูนย์สูตร เป็นปฐมภูมิอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการเจริญงอกงามหมุนเวียนและ การแปลงทรัพยากรธรรมชาติและเกษตรกรรมให้เป็นสินค้า.  ตั้งแต่ยุคพาณิชย์จนถึงปัจจุบัน, ชีวมวลของบอร์เนียวได้เชื่อมโยงกับโลกภายนอกมานานแล้ว ผ่านห่วงโซ่สินค้ามากมาย, เช่น, เครือข่ายกระบวนการแรงงานและการผลิต ที่เชื่อมโยงกับผู้คน และ ภูมิประเทศไกลโพ้น.
          เป็นเวลากว่ากึ่งศตวรรษ, ห่วงโซ่สินค้าโลกรอบๆ บอร์เนียว ได้บรรจบเจอกันเป็นไม่กี่สภาวะที่แตกต่าง แต่เกื้อกูลกัน ของการจัดสรรใช้ทรัพยากรการตัดไม้ซุง และ การทำสวนพืชเศรษฐกิจจาก ซาบาห์ ในทศวรรษ 1960s (๒๕๐๓-), ต่อไปที่ กาลิมันตัน และ ในที่สุดก็ถึง ซาราวัค ในทุกวันนี้, มีวิวัฒนาการของความสัมพันธ์ ระหว่างการตัดไม้ซุง และ การอุบัติขึ้นของอุตสาหกรรมสวนพืชเศรษฐกิจ.  การพัฒนาทับซ้อนของ การตัดไม้ซุง-สวนพืชเศรษฐกิจ เป็นหลักแสดงการขยับตัวจากการแปลงเป็นสินค้า ที่มาจากการเจริญงอกงามหมุนเวียนของชีวมวล สู่อีกสภาวะหนึ่ง ที่พึ่งการผลิตที่แผ่ขยายกว้างของพืชที่ปลูกขึ้นมาใหม่.   ด้วยการผลาญล้างถางป่า, การพลิกโฉมหน้านิเวศที่ไม่อาจหวนคืนได้นั้น ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานในการก่อตัวของสังคม.  จุดมุ่งหมายของการจัดสรรใช้ ได้ขยับตัวจากชีวมวลบนที่ดิน สู่ตัวที่ดินเอง.

การวิจัยสหสายพันธุ์, สหภูมิประเทศ, และ สหสาขาวิชา
ซาราวัคเป็นชายแดนทรัพยากรสุดท้ายในเกาะบอร์เนียว.  ดังนั้น, มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำการตรวจสอบพลวัตของความสัมพันธ์ มนุษย์/ธรรมชาติ ภายใต้การแปรโฉมนิเวศขนาดใหญ่.  ตั้งแต่ปี 2010 / ๒๕๕๓, มีโครงการ ๕ ปี ทำการบันทึกและทำความเข้าใจอย่างครอบคลุมกว้างและละเอียดถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน อำเภอ บินตูลู, ซาราวัคตอนเหนือของมาเลเซีย, ซึ่ง 57% ของที่ดินทั้งหมด (12,166.2 ตร กม) ได้ถูกผันเปลี่ยนเป็นแปลงสวนพืชเศรษฐกิจ ในปี ๒๕๕๔.  เราได้สืบสอบจุดพลิกผันด้วยการหาจุดวิกฤตสมดุลระหว่าง ภูมิมณฑล, ชีวมณฑล และ ชุมชนท้องถิ่น ประเมินข้อได้ข้อเสีย และ การถักทอเข้าใหม่ เพื่อความยั่งยืนและความอยู่รอดได้.
          นี่เป็นโครงการทะเยอทะยานที่ระดมพลนักวิจัย ๒๐ คน ที่ต่างเชี่ยวชาญเฉพาะทางใน มานุษยวิทยา, ภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์เอเชียอุษาคเนย์, ประวัติศาสตร์โลก, พื้นที่ศึกษา, นิเวศการเมือง, เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม, ภาษา-สังคมศาสตร์, นิเวศพืช, นิเวศสัตว์, วนนิเวศ, น้ำ, มัจฉาศาสตร์, ธรณีสัณฐานวิทยา และ การประเมินวงจรชีวิต ให้มาร่วมมือทำงานวิจัยกัน.  เพื่อให้นักวิจัยเหล่านี้ทำงานในสาขาของตน และร่วมมือกันได้ในโครงการย่อย, เราได้เลือกลุ่มน้ำที่ระบบแม่น้ำ ๒ สาย, เกมีนา และ ตาเตา, มาบรรจบกัน ให้เป็นหน่วยการวิเคราะห์.  ในเชิงนิเวศ, ลุ่มน้ำนี้ ประกอบด้วยภูมิทัศน์ของแปลงสวนปาล์มน้ำมัน และ Acacia mangium, เขตสัมปทานตัดไม้ซุง, ป่าทุติยภูมิ, ไร่นาหมุนเวียน และ ป่าพรุ/ป่าชายเลน.  ลุ่มน้ำนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มสังคมต่างๆ: มาเลย์, Melanau, Vale Segan, จีน, Iban, Kanya, Kenyah, Punan Bah, Bekatanb,  Tatau, Lugat และ Penan. กลุ่มชาติพันธุ์เกือบทั้งหมดของซาราวัค อาศัยอยู่ปนเปกัน, ตั้งแต่ต้นน้ำ เรื่อยลงมาจนถึงชายฝั่ง.
          การทำงานในพื้นที่ๆ มีความเป็นเอกภาพ แต่ต่างก็มีพื้นที่เชิงนิเวศ-สังคมของตนเองที่แตกต่างกัน ทำให้เราสามารถตรวจสอบจุลจักรวาล ของซาราวัค, ซึ่งกำลังแปรเปลี่ยนการจัดเรียงตัว และในเวลาเดียวกัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วย.  เหนือกว่านั้น, แนวการร่วมมือข้ามสาขาวิชา ได้ช่วยให้ทีมนักวิจัยของเราสังเกตเห็นความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ของสายพันธุ์อันหลากหลายได้ด้วย.
          ดังนั้น ความเข้มแข็งของโครงการนี้ อยู่ที่ยุทธศาสตร์ในการรวมสาขาวิทยาศาสตร์ต่างๆ.  ในด้านหนึ่ง, วิทยาศาสตร์ด้านธรรมชาติรับมือกับการลื่นไหลของสสารวัตถุ เช่น น้ำ, ก๊าซ และ แร่ธาตุ ผ่านกระบวนการทางกายภาพและชีววิทยา ที่เกิดขึ้นใน และ นอกสวนพืชเศรษฐกิจ.  ในอีกด้าน, วิทยาศาสตร์ด้านสังคม มองเข้าไปถึงคำอธิบายที่สมเหตุสมผล และ ที่ไม่สมเหตุสมผล ระหว่างระบบเศรษฐกิจธรรมชาติ และ ระบบเศรษฐกิจสวนพืชพาณิชย์, ผลกระทบของโครงข่ายถนน ที่เชื่อมดินแดนทุรกันดาร กับ เมือง ตลอดจนเนินเขาและที่ราบ และ การจัดเรียงตัวใหม่ของสัมพันธภาพ ท้องถิ่น-โลก ผ่านห่วงโซ่สินค้า.
             เช่น ทีมนักวิจัยนิเวศ วิเคราะห์ระบบนิเวศของป่าธรรมชาติ และ ป่าปลูก ในบริเวณลุ่มน้ำที่มีภูมิประเทศปนเปหลากหลาย ที่สามารถสังเกตได้เป็นลำดับต่อเนื่องกัน.  นักนิเวศสัตว์ ได้เลือกแปลงเพื่อวิจัยสหสาขาวิชา เพื่อทำแผนที่โครงสร้างเชิงพื้นที่ของความหลากหลายทางชีวภาพ.  มีการติดตั้งกล้องซุ่มดักนับร้อย เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของสัตว์ ทั้งในและนอกสวนพืชพาณิชย์ ตลอดจนเขตสัมปทานไม้ซุง.  ในขณะที่นักนิเวศด้านระบบนิเวศ เน้นที่การลื่นไหลของไนโตรเจน และอณูของสารอินทรีย์ในป่าและแม่น้ำ, นักวิทยาศาสตร์ด้านน้ำ ดูที่วัฏจักรของน้ำในมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศ, ป่าและแม่น้ำ, ในบริเวณหลายสิบตารางกิโลเมตร ในระดับกลาง.  นักวิจัยเหล่านี้ทำหน้าที่ตรวจสอบวัฏจักรของสสารวัตถุในธรรมชาติ, ที่ๆ ถ่ายเทระบบเคมีภาวะ จากระบบชีวภาพ สู่ระบบธรณีวิทยา, ล้วนสังเกตเห็นได้ในภูมิประเทศผสมปนเปเหล่านี้.
          ทีมนักวิจัยวัฒนธรรม-สังคม มุ่งไปที่การแปรเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจธรรมชาติดั้งเดิม (การเพาะปลูกหมุนเวียน/ไร่เลื่อนลอย, การล่ากิน-เก็บกินผลผลิตจากป่า) สู่ ค่าแรงทำงานนอกระบบเกษตร (ที่ค่ายตัดไม้ซุง และ ในเมือง), และ สู่เกษตรสร้างรายได้ (ปาล์มน้ำมันรายย่อย).  เราได้ทำการสัมภาษณ์ครัวเรือนเป็นชุดๆ ในหัวข้อ เช่น หน้าที่และพื้นที่ๆ เครือญาติครอบครัวขยายครอบคลุม, การวนเวียนอพยพของแรงงาน และ การลื่นไหลของเงินส่งกลับบ้าน.
          นอกจากการอุบัติขึ้นของความต่อเนื่องของชนบท-เมืองแล้ว, ขอบเขตของ ธรรมชาติ/อธรรมชาติ ได้อ่อนตัว เป็นรูพรุนมากขึ้น และสามารถกำกับปรุงแต่งได้.  เราได้ชูหลายคำถามที่ใหญ่กว่าเกี่ยวกับ เศรษฐศาสตร์การเมืองของการใช้ทรัพยากร.  ระบบสวนพาณิชย์ ได้รับการสนับสนุนจากการรับรองมาตรฐานและการเงินของระบบนานาชาติ.  ป่าที่ปลูกปาล์มน้ำมัน และ Acacia mangium ในฐานะที่เป็นแหล่งพลังงานใหม่ ถูกพิจารณาว่า เป็นคุณูปการต่อการลดการปล่อยคาร์บอน.  ภาคการเงินจึงแสวงหาเครื่องมือ เพื่อพิเคราะห์ชีวมวลแถบศูนย์สูตร ภายใต้ข้อเสนอใหม่ REDD (Reducing Emission from Deforestation and Degradation, การลดการปล่อยก๊าซจากการทำลายป่าและป่าเสื่อมโทรม) และ REDD Plus initiative.   ผลคือ พลวัตกระบวนการต่อรองภายในธรณีประตูของ ธรรมชาติ/อธรรมชาติ ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ.
          ในระหว่างการวางแผนทำงานวิจัยนี้, เราได้สร้างเครื่องมือเพื่อเก็บข้อมูลใหม่, มาตรวัดและหน่วยการวิเคราะห์ที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ ธรรมชาติ/อธรรมชาติ แบบเชื่อมโยงกัน, ข้ามสาขาวิชา.  ในทำนองเดียวกัน, เราได้ตั้งใจฝืนความรู้สึกของพวกเราเองด้วยการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่มีคำศัพท์เฉพาะทางวิชาการ, พื้นเพทางวิชาการ, วิธีวิทยา และ หนทางของพวกเขาเองในการทำวิจัย.  ในการทำเช่นนี้, เราได้กำหนด “จุดพบกัน” หลายๆ แห่ง เพื่อให้นักวิจัยจากสาขาวิชาเฉพาะทางต่างๆ ได้มาทำงานร่วมกันในพื้นที่.  ต่อไปนี้ เป็นโครงการย่อย ที่นักสังคมศาสตร์ และ นักธรรมชาติศาสตร์ ได้ร่วมทำงานด้วยกัน.

หมูป่า, ปลา, นกนางแอ่น และ ปาล์มน้ำมัน
การขยายตัวของป่าปลูก, ความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสัตว์อื่นๆ ได้เปลี่ยนไป, แม้ว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้คาดไว้.  มันได้กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับชาวบก ดายัค บางคนที่จะเจอหมูป่า ที่รุกสวนพืชพาณิชย์ที่เก็บเมล็ดปาล์มล้นหลาม.  ชาวบ้านเห็นเก้งถี่ขึ้นด้วยในป่าที่เหลือจากการตัดไม้ซุง ที่มาเล็มต้นอ่อนที่ขึ้นใหม่.  การรักษาดินโป่ง (แหล่งสะสมแร่ธาตุตามธรรมชาติที่ๆ สัตว์จากระบบนิเวศที่ขาดแร่ธาตุสารอาหาร สามารถจะมาเติมแร่ธาตุให้ตัวเองได้) ในเขตกันชนเพื่อลดผลกระทบจากการสัมปทาน พบว่า ได้นำไปสู่การอนุรักษ์สัตว์ในป่าได้ดีกว่า.  เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายทางชีวภาพ และ จำนวนสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตในบริเวณนิเวศอลหม่าน, และ วิธีการที่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น (เช่น การล่า-การเก็บกิน) ได้ค่อยๆ แปรเปลี่ยน, นักมานุษยวิทยา และ นักภูมิศาสตร์ กลุ่มหนึ่ง ได้ตรวจสอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ “บ้านยาว” (long houses).  ในอีกด้าน, นักนิเวศสัตว์ ได้ตั้งกล้องซุ่มเพื่อดักถ่ายภาพสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อเป็นการวัดความหลากหลายทางชีวภาพ.  เพื่อเช็คข้อมูลนิเวศและหลักฐานดังกล่าวข้ามสาขาวิชา, นักสังคมศาสตร์ ได้เก็บคำพูดของชาวบ้านเกี่ยวกับธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งแวดล้อมของพวกเขา.
จำนวนปลาในแม่น้ำได้ลดลง.  มีแต่ปลาดุก เช่น ikan tapah ที่แข็งแรงพอที่จะรอดอยู่ในน้ำที่มาจากเขตสัมปทานไม้ และ สวนพาณิชย์.  ทำไมหรือ?  เพราะมันเป็นเมือกนะซิ!
ความเห็นข้างต้นเป็นสิ่งที่ทีมนักมานุษยวิทยามักได้ยินจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบ้านยาว ที่หัวแม่น้ำ.  เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่าง ภูมิมณฑล, ชีวมณฑล, และ ชุมชนมนุษย์, จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับผลกระทบของการพัฒนาสวนพาณิชย์ ไม่เพียงต่อระบบนิเวศ แต่ยังต่อวิถีอาหารของประชาชนด้วย.   นักนิเวศวิทยา, ได้เก็บตัวอย่างน้ำมากมายตามลำแม่น้ำ, ซึ่งจะช่วยไขความกระจ่างถึงผลกระทบของการดำเนินงานของอุตสาหกรรมเกษตรต่อป่าและระบบนิเวศ.  พวกเขาทำเช่นนี้ด้วยการร่วมมือกับนักมัจฉาศาสตร์, ผู้ทำการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพในน้ำจืด.
          ผลิตผลป่าที่มีมูลค่ามากที่สุดชนิดหนึ่งในพื้นที่ (ที่มีประวัติศาสตร์การค้ามากว่า ๔๐๐ ปีแล้ว)  คือ รังนกนางแอ่น.  อันที่จริง, รังนกนี้ เป็นจุดพบกันที่สำคัญสำหรับนักมานุษยวิทยาด้านวัฒนธรรม, นักประวัติศาสตร์ (โลก และ จีน) และ นักนิเวศนก, ให้สังเกตการจัดเรียงตัวใหม่ของห่วงโซ่สินค้า และ โครงข่ายอาหาร ท่ามกลางการรุกคืบของสวนพาณิชย์.   ในบริเวณป่าชายเลน/ป่าพรุบริเวณชายฝั่งที่ปากแม่น้ำเกมีนาเราได้สร้างบ้านไร่นกนางแอ่นเป็นห้องทดลอง, ได้เก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการวางไข่, กกไข่ และ ทำรัง.  บ้านไร่นี้ทำให้เราสามารถเก็บมูลนก เพื่อตรวจสัดส่วนไอโซโทปของไนโตรเจน, ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญ, ที่ช่วยไขโครงข่ายอาหารของนกนางแอ่นภายในและภายนอกบริเวณสวนพาณิชย์ได้.  นักมานุษยวิทยา และ นักประวัติศาสตร์ยังได้ร่วมกันแกะรอยห่วงโซ่สินค้าที่เชื่อม บินตูลู กับภูมิภาคนี้ และ ที่ไกลโพ้นออกไป.  นี่จะนำเราไปสู่ถนนย่านธุรกิจของ Sheung Wan ในฮ่องกง และแม้แต่ย่านคนจีนในเมืองนิวยอร์ก.
          น้ำมันปาล์มมีธรรมชาติพิเศษอย่างหนึ่ง.  ในฐานะที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม, เนื้อผลสดๆ ต้องแปรรูปใน ๒๔ ชม., ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการอ๊อกซิเดชั่น, การเปลี่ยนแปลงจุลภาคที่ระดับโมเลกุล, ที่จริง เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารในพื้นที่วิจัยของเรา, ที่ๆ สังคมริมน้ำดั้งเดิมได้ถูกแปรโฉมเป็นผืนดินที่เต็มไปด้วยโครงข่ายถนนเพื่อการขนส่งทลายผลปาล์มสู่โรงงานแปรรูป.  ด้วยการรุกคืบของถนน, ชาวบ้านหลายคนได้ย้ายไปอยู่ริมถนน, ซึ่งห่างไกลจากบ้านยาวของพวกเขา ที่สร้างอยู่ริมน้ำตามประเพณีดั้งเดิม.  ตอนนี้ จะเห็นกระท่อมชั่วคราว เรียงรายยาวเหยียด, และ การเพาะปลูกปาล์มน้ำมันรายย่อยได้กลายเป็นเรื่องปกติ.  ผู้เชี่ยวชาญสาขาเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม, ภูมิศาสตร์มนุษย์, มานุษยวิทยาวัฒนธรรม และ การประเมินวงจรชีวิต, ต่างพากันให้ความสนใจพิเศษต่อพลวัตของการขยายปาล์มน้ำมันเข้าสู่ดินแดนชั้นใน ที่ๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์เครือญาติตั้งอยู่บนเครือข่ายสังคมแม่น้ำ.

การแสวงหาคำอธิบายที่ดีกว่าของระบบสังคมและธรรมชาติ
ประเด็นการอธิบายระหว่างวัฏจักรสสารวัตถุ กับ การเคลื่อนไหวของทุน, คน, เทคโนโลยี, และสถาบัน มีความสำคัญอย่างไร?  อะไรเป็นผลพวงของความเชื่อมโยงที่เปลี่ยนไป, ไม่ใช่เพียงในท้องถิ่น, แต่รวมถึงข้ามทวีป และ ระดับโลกด้วย?  เราจะหาจุดเชื่อมระหว่างแหล่งที่ๆ ไม่ใกล้ และ ดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกันในธรรมชาติและสังคม ได้อย่างไร?  ความท้าทายยิ่งประการหนึ่งในโครงการวิจัยของเรา คือ ใช้วิธีสังเกตในการตรวจสอบว่า ระบบธรรมชาติ และ ระบบสังคม อธิบายตัวเองอย่างไร และ พวกเขาถูกแปรเปลี่ยนโดยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในการใช้ที่ดินขนาดใหญ่อย่างไร.
          ทั้งสังคมศาสต์ และ ธรรมชาติศาสตร์ ได้ทำการศึกษามานานแล้ว ถึงความเชื่อมโยงจากภายในขอบเขตของสาขาวิชาของตนเอง: จากชุมชน, ภูมิภาค และ รัฐชาติ ถึง จักรวรรดิ์, หรือ จากกลุ่มบ้าน ไปถึง ภูมิทัศน์.  เราได้จัดระดับ และ ปรับระดับหน่วยของการวิเคราะห์ในแง่เวลาและพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของระบบ และ สถานที่ไกลโพ้น เชื่อมต่อกันอย่างไร.  แต่ การกระทำเช่นนี้ เรามักจะไม่ได้เชื่อมข้ามสาขาวิชาของเราเองกับของคนอื่น.  ด้วยเหตุนี้, โครงการนี้ ไม่ได้แค่มุ่งนำเสนอ หรือ ตอกย้ำความเชื่อมโยงเหล่านี้, แต่ทำความเข้าใจพวกมันในบริบทของภูมิทัศน์อุตสาหกรรมชีวภาพที่กำลังอุบัติขึ้น.  การแสวงหาสมการเพื่อให้ป่าปลูก ที่มีฐานเหมาะสมเชิงนิเวศและสังคม-เศรษฐกิจ อยู่ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นได้ เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดและปฏิบัติได้ด้วย.

          สิ่งที่เราเห็นในการพลิกโฉมสังคมที่มีชีวมวลมากของเอเชียอุษาคเนย์ คือ ลักษณะร่วมกับแถบศูนย์สูตรทั่วโลก.  งานวิจัยในหมู่เกาะแถบศูนย์สูตรของเอเชียอุษาคเนย์ จะเป็นพื้นที่ทดสอบสำคัญที่แนวทางสหสาขาวิชาการ อาจพบร่องรอยสู่คำตอบที่ทรงคุณค่า.  ความห่วงใยเบื้องต้นของเรา คือ ความยืดหยุ่นของชุมชนท้องถิ่น ที่ประกอบขึ้นด้วย ประชาชน, สัตว์ และ พืช และ หายุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับสภาวะการเมือง-ภูมิศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น และ ผลกระทบเชิงนิเวศที่ตามมา, ด้วยเหตุนี้ จะนำเสนอทางเลือกสู่ความอยู่รอด และ ความยั่งยืน.

http://www.iias.nl/the-newsletter/article/formulating-new-plantation-studies-naturenon-nature-relations-borneo?utm_source=emailcampaign214&utm_medium=phpList&utm_content=HTMLemail&utm_campaign=[IIAS]+The+Newsletter+|+No.+66+|+Winter+2013, 01-04-2014



                                                                                                                                                         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น