วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

326. สมดุลสามมณฑล : กรอบวิเคราะห์นำมนุษยชาติสู่ทางรอด--๑

326.  Balancing Tri-sphere : An analytical framework guiding humanity’s survival path--1

Collaborative Research in Southeast Asia: Towards a sustainable humanosphere
Mario Lopez, The Focus, IIAS, The Newsletter, No.66, Winter 2013, pp.23-25
การวิจัยร่วมในอุษาคเนย์: สู่มนุษยมณฑลที่ยั่งยืน
            มาริโอ โลเปซ
ดรุณี ตันติวิรมานนท์ แปล
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา, อุษาคเนย์  มีการผนวกรวมตัวกันด้านเศรษฐกิจ, โดยมีอาเซียน ทำหน้าที่เป็นหมุดดุมแห่งการก่อตัวของภูมิภาคในระดับสถาบัน.  การผนวกรวมนี้ดำเนินไปพร้อมกับการจัดตัวใหม่ของระบบเศรษฐกิจภูมิภาค, กระตุ้นให้ต้องการพลังงาน, อาหารและน้ำ เพิ่มขึ้นอย่างแข็งขัน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมืองอย่างมีนัยสำคัญ.  การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วเช่นนี้ท้าทายให้นักวิจัยเกาะติดสถานการณ์ของภูมิภาคในระดับประเทศ ในขณะที่ตายังคงจับอยู่ที่มุมมองกว้างใหญ่กว่า.  ในขณะที่การผนวกตัวดำเนินไป, ความต้องการและการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น ได้นำนักวิจัยให้ตรวจสอบประเด็นข้ามพรมแดน เช่น ความมั่นคง, ความเสื่อมโทรม/การพลิกโฉมทางสิ่งแวดล้อม และ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมือง.   ความซับซ้อนของประเด็นต่างๆ ได้กระตุ้นให้เกิดวาระร่วมมือทางงานวิจัย เพื่อพัฒนาไม่เพียงการวิเคราะห์ระดับจุลภาคและมหภาคของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค, แต่ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย และ นำข้อเสนอแนะต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ด้วย.
                ประเด็นเหล่านี้ ได้จูงใจให้เกิดพันธมิตรสหสาขาวิชา (multidisciplinary alliances) เพื่อสร้างแนวทาง “ผูกพัน” (engaged) อำนวยให้ปรับตัวเข้ากับพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของเอเชียอุษาคเนย์.  แนวทางเหล่านี้ อยู่ในรูปของพลวัตของปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งแวดล้อม, เทคโนโลยี, สถาบัน และสังคม; การตรวจสอบเรื่องชาติพันธุ์, ศาสนา และวัฒนธรรมอันหลากหลาย; และความจำเป็นที่จะต้องบรรจุ เขตร้อนศูนย์สูตร ในฐานะเป็นจุดแยกพื้นฐานในการวิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจกับการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในภูมิภาค.  โฟกัสของจดหมายข่าว IIAS (สถาบันระหว่างประเทศเพื่อเอเชียศึกษา) ฉบับนี้ ดูที่ความร่วมมือทางการวิจัยในอุษาคเนย์ว่าได้กล่าวถึงความท้าทายที่ซับซ้อนของการสร้างภาษาใหม่ในการวิจัยร่วมกันอย่างไร ให้เข้าจังหวะกับความฉุกเฉินเร่งด่วนในเพลานี้.

แนวทางการวิจัยแบบผสมผสาน
เป็นเวลากว่า ๔๐ ปีแล้วที่ ศูนย์ศึกษาเอเชียอุษาคเนย์ (CSEAS, เกียวโต) ได้ริเริ่มแนวทางมุ่งมั่นผสมผสานสู่การศึกษาเอเชียอุษาคเนย์และได้ส่งเสริมให้เกิดการอภิปรายและเสวนาในเชิงสหสาขาวิชา.  นี่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากอุปสรรคสาหัส.  มันดำเนินไปโดยไม่ได้กล่าวว่า ในขณะที่สายธรรมชาติ/วิทยาศาสตร์ และ สายสังคมศาสตร์ พัฒนาไปในต้นศตวรรษที่ ๒๐, ความรู้ได้เริ่มแตกระแหงมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความชำนาญพิเศษของแต่ละสาขาวิชา, ซอยเป็นสาขาวิชาย่อยๆ, และ การแข็งตัวมากขึ้นของเส้นแบ่งสาขาวิชา.   แต่, ความที่เป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายมหาศาล, ทำให้เอเชียอุษาคเนย์เป็นโจทย์วิจัยที่ท้าทายเสมอมา และเลี่ยงไม่ได้ที่จูงใจให้เกิดความร่วมมือระหว่างและข้ามสาขาวิชา.   ไม่ว่าจะเพ่งเล็งการวิเคราะห์ไปที่เรื่อง ความเสี่ยงทางสังคม, ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม, โรคระบาด, ภัยพิบัติธรรมชาติ, สังคมชราภาพ, การหาพลังงาน หรือ ความมั่นคงทางการเมือง, เราไม่สามารถพึ่งแนวทางที่อยู่ในขอบเขตจำกัดของสาขาวิชาการ ที่ฝึกฝนพวกเราให้ตีกรอบ.   ถึงอย่างไร, การขยายแนวทางให้กว้างขึ้นสู่ประเด็นที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ไม่ควรจะเป็นเพียงแบบฝึกหัดทางวิชาการเพื่อถล่มเสถียรภาพของสาขาวิชาการต่างๆ ที่เราคุ้นชินกัน.  ระเบียบและวิธีการเก็บข้อมูลที่ฝึกฝนพวกเรามา สามารถเป็นพลังพลิกโฉม เมื่อหยิบยืมจากสาขาวิชาที่ได้สร้างมันขึ้นมา และ ประยุกต์ใช้มันในบริบทใหม่.   ตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือนี้ คือ ความพยายามในการเขียนแผนที่การแพร่กระจายตัวของเชื้อแบคทีเรีย (พบในหอย) ที่ทำให้อาหารเป็นพิษ ซึ่งเกิดจากการปรุงอาหารตามวัฒนธรรมต่างๆ ในหลายชนชาติของเอเชียอุษาคเนย์ โดยทีมนักจุลชีววิทยา, ผู้เชี่ยวชาญทางอาหาร และ อุตสาหกรรมอาหารที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค.  กล่องเครื่องมือเพื่อความร่วมมือจากสาขาวิชาต่างๆ สามารถใช้กะเทาะประเด็นซับซ้อนทะลวงข้ามเส้นแบ่งแยก เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยในวิธีปฏิบัติระดับภูมิภาค.
            นักวิจัยที่ CSEAS ได้หาทางระดมการแลกเปลี่ยนเชิงสหสาขาวิชาผ่านหลายโครงการขนาดใหญ่ที่ต่อเนื่องกัน เพื่อผลักดันขอบเขตของสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นอกเหนือจากการส่งเสริมความชำนาญเฉพาะทาง.   ในปี ๒๕๕๐, ด้วยงบพิเศษจากกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่น, โครงการขนาดใหญ่ หัวเรื่อง “การแสวงหามนุษยมณฑลที่ยั่งยืนในเอเชียและอาฟริกา” (In Search of Sustainable Humanosphere in Asia and Africa”) (2007-11 / ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ก็ได้เริ่มขึ้น.  โปรแกมนี้ ได้ใช้แนวทางองค์รวม ซึ่งนักวิจัยที่เข้าร่วม เรียกว่า “มนุษยมณฑลที่ยั่งยืน”.   คำนี้มีความหมายในทั้งมิติเวลา และ พื้นที่ ซึ่งโอบรวมวงจรการไหลเวียนของวัตถุและพลังงานทั้งมวลของโลก และ ระบบการปกครองสู่ความยั่งยืนของมัน.   มนุษยมณฑล ประกอบด้วย ภูมิมณฑล (Geosphere), ชีวมณฑล (Biosphere) และ สังคมมนุษย์ (Human Societies).
            ภูมิมณฑลประกอบด้วยองค์ประกอบเชิงธรณีวิทยาของระบบโลก รวมทั้งชั้นบรรยากาศ, น้ำ และผืนดิน.  ชีวมณฑล รวมสรรพชีวิตทุกๆ รูปแบบบนโลก, รวมทั้งกระบวนการสืบพันธุ์, แปรเปลี่ยน ตลอดจนวิวัฒนาการที่กำลังเกิดขึ้น.   เมื่อเวลาผ่านไป, สังคมมนุษย์ได้อภิวัฒน์และอุบัติผ่านกระบวนปฏิสัมพันธ์กับทั้งสองมณฑล, นำไปสู่รูปแบบเฉพาะของการอยู่ร่วมกัน.   สังคมมนุษย์ของเราเช่นนี้, สามารถมองว่าเป็นระบบเทคนิค ซึ่งพลังงาน, วัตถุดิบ และ ข้อมูล, ลื่นไหลและวนเวียนอยู่ในระหว่างสามมณฑลนี้.   โดยรวม, มนุษยมณฑล เป็น สิ่งแวดล้อมเชิงนิเวศและสังคมที่ๆ คนท้องถิ่นอาศัยอยู่ และ ก็เป็น พื้นฐานเชิงทฤษฎีที่สำคัญเพื่อการสืบค้นเชิงสหสาขาวิชา ข้ามสาขาวิชา สู่เอเชียอุษาคเนย์, อุษาเอเชีย และอาฟริกาแถบศูนย์สูตร.  ด้วยวิธีการสืบค้นดังกล่าว มีแถบศูนย์สูตรเป็นปฐม, โครงการมีจุดประสงค์ทบทวนและก้าวข้ามกระบวนทัศน์ที่มีอยู่เดิม ที่อุบัติขึ้นในแถบอบอุ่น (temperate zone).  ซูกิฮารา คาโอรุ ใช้กรอบคิดแนวนี้ บอกให้พวกเราคิดถึงประสบการณ์ของการพัฒนาของเอเชียอุษาคเนย์ภายในบริบทที่กว้างกว่าของมนุษยมณฑล.

การพัฒนาสหสาขาวิชาศึกษาผ่านการเสวนาร่วมมือ
การเสวนาแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ได้เกิดขึ้นระหว่างนักวิจัยจากสาขาวิชาต่างๆ ในโปรแกม มีอานิสงค์ให้เกิดผลงานจำนวนหนึ่ง และ ทิศทางใหม่ในการทำวิจัย.  ในแง่ของการทำให้ความเข้าใจลักษณะเฉพาะของสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ (ของทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพดิน) ของเอเชียอุษาคเนย์ให้ได้ลุ่มลึกขึ้น, ชีวมวลของภูมิภาคจึงมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างความเข้าใจระหว่างสังคมมนุษย์และการจัดการสิ่งแวดล้อม.  ในแง่ประวัติศาสตร์, สังคมชีวมวลในเอเชียอุษาคเนย์แถบศูนย์สูตร—พวกที่มีประชากรน้อยแต่เดิมมา ที่วิถีชีวิตต้องพึ่งผลผลิตเชิงวนเกษตร (agro-forestry)—เป็นพวกที่แสดงให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่น, พัฒนาวิธีปฏิบัติที่ยั่งยืน และ สร้างโยงใยโครงข่ายของชุมชนข้ามภูมิภาคในแถบศูนย์สูตร.   ในช่วง ๕๐ กว่าปีก่อน, รัฐชาติ ได้รื้อจัดกระบวนใหม่, และด้วยการกำหนดลำดับการพัฒนาก่อนหลังและนโยบาย, ข้อบังคับของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ, และการผนวกตัวเข้ากับระบบการผลิตของทุนนิยมโลก.  ปฏิวัติเขียวในเอเชียอุษาคเนย์ในยุค ทศวรรษ 1960s / ๒๕๐๐ เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว เป็นเพียงหนึ่งในตัวเริ่มต้น ที่นำไปสู่สวนพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และ การจัดโครงสร้างใหม่ของการผลิตอุตสาหกรรมในภูมิภาค.   ตอนนี้ เรามีผืนดินขนาดใหญ่ที่ถูก “ขัดเกลาเชิงชีว” (bio-refined), ผลคือ รูปแบบหนึ่งของการ “แย่งชิง” (dispossession), ซึ่งเปลี่ยนกระบวนการจัดวางรูปแบบของระบบนิเวศทั้งหมดทั่วภูมิภาค.   ถึงอย่างไร, การจัดกระบวนใหม่เหล่านี้ ไม่ควรจะมองว่า เป็นผลกระทบจากสังคมมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นถ่ายเดียว, ควรถามว่า การกระทำของเรา เป็นอย่างไร ถึงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราอาจไม่สามารถหวนกลับไปได้.  แต่, นักวิจัยสามารถเสนอทางออกที่เอาจริงเอาจังเพื่อผนวกรวม พื้นที่ๆ ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้กลับเข้ามาใหม่.
            มิซูโน คูซูเกะ และทีมวิจัยของเขา ได้แสดงให้เห็นชัดเจนในโครงการที่ ริอู, อินโดนีเซีย, ว่า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถมุ่งไปที่เสนอข้อแนะนำสู่วิถีพัฒนาระยะยาว ที่ไม่ใช่มุ่งเพียงด้านเศรษฐกิจถ่ายเดียว.  พวกเขากำลังสืบค้นในกรอบทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (ด้วยการวัดชีวมวล, ประเมินระดับของความหลากหลายทางชีวภาพ และ ผลกระทบของอุตสาหกรรมและวนเกษตร).  ในอีกด้านของงานวิจัยนี้, ในกรอบของวิทยาศาสตร์สังคม, ก็ทำการตรวจสอบว่า ประชาชนคิดอะไร และ ประชาชนตอบสนองต่อสิ่งท้าทายอย่างไร; จุดประสงค์ คือ ประเมินปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจก, บริษัท, รัฐบาลท้องถิ่น และ รัฐ.  การรวบรวมผลงานวิจัยเข้าด้วยกันจากโครงการวิจัยร่วมนี้ ช่วยให้เราเห็นแนวทางที่มีศักยภาพในการสร้างมนุษยมณฑลของเราขึ้นใหม่ ด้วยการผนวกสาระข้อมูลสะท้อนจากป่าแถบศูนย์สูตร.
            อิชิกาวะ โนโบรุ ได้ชูศักยภาพต่างๆ ในการวิจัยร่วมนี้.  โครงการของเขาใน ซาราวัก, มาเลเซีย, แสดงถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้แนวทางหลากมิติเพื่อให้ได้วิธีวิเคราะห์ภูมิทัศน์ของนิเวศที่แปรเปลี่ยน ดังที่พบในหมู่เกาะของเอเชียอุษาคเนย์.  การเพาะปลูกเชิงเดี่ยวและการแปลงป่าแถบศูนย์สูตรให้เป็นที่ดินเกษตร สามารถมีผลที่ไม่อาจหวนคืนสภาพเดิมได้หากก้าวข้ามพิกัด สู่การจัดรูปกระบวนซึ่งจำเป็นต้องใช้ความชำนสญในการสังเกตของสาขาวิชาต่างๆ.  โครงการดังกล่าวทั้งสอง แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างสาขาวิชา สามารถช่วยสร้างแนวทางที่เป็นองค์รวมมากขึ้น ที่ช่วยฉายภาพให้ชัดยิ่งขึ้นว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของเอเชียอุษาคเนย์ และ เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐิกจโลกในวงกว้างอย่างไร.
            การแทรกแซงของมนุษย์ และการแทนที่ในระบบนิเวศที่ตามมา ไม่ใช่เพียงผิวเผิน, แต่กระทบสรรพชีวิตใต้ดินอีกมาก.  ชีวมวล—จุลชีพและสสาร—สำคัญยิ่งสำหรับการธำรงอยู่ของดิน และ การกำกับการไหลของน้ำ.  สภาวะดินดี มีค่าประมาณมิได้สำหรับแมลงและแบคทีเรีย, ซึ่งให้บริการเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจวัดได้.  ความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งแวดล้อมของเรา เชื่อมโยงต่อกันอย่างลึกล้ำกับสายพันธุ์ต่างๆ ที่แบ่งปันกันอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์.  เช่น สังคมมนุษย์มีความสัมพันธ์อันบอบบางกับปลวก และมด ที่เป็นส่วนสำคัญของชีวมวลสัตว์บกในเอเชียอุษาคเนย์.  เนียวก๊กบุ๊น นักกีฏวิทยา ผู้ทำงานเรื่องชุมชนมดและความสัมพันธ์ของมันกับการผลิตทางเกษตรในเอเชียอุษาคเนย์, ได้แสดงให้เห็นชัดขึ้นว่าจำเป็นต้องทบทวนมุมมอง “สามัญสำนึก” ที่ฝังหัว เกี่ยวกับปลวก ว่าเป็นแมลงร้าย ที่ลดผลิตภาพและกัดกินที่อยู่อาศัยของมนุษย์.  ที่ชัดเจนขึ้น คือ นโยบายต่อภูมิทัศน์เกษตรของเรา จำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองของเราต่อบทบาทของสัตว์สายพันธุ์อื่น ในพื้นที่ร่วมนิเวศหนึ่งๆ.
            ผู้อ่านอาจสงสัยว่า มานุษวิทยา ถูกเบียดตกฟากในความร่วมมือนี้ไหม ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ กับ วิทยาศาสตร์สังคม.  การวิเคราะห์ใดๆ ของการแปรเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมโดยอิทธิพลอันแพร่หลายของสังคมมนุษย์จะยังพร่องอยู่หากปราศจากการตรวจสอบเชิงประวัติศาสตร์ต่อเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีและการใช้ ที่ได้มาพร้อมกับการอุบัติขึ้นของรัฐชาติยุคใหม่ในภูมิภาค.  หัวข้อที่ปักหมุดอยู่ในบทความทั้งหมดใน โฟกัสฉบับนี้ คือ ความจำเป็นยิ่งยวดในการรวมบทวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม.  ล้อก่าเส็ง แสดงให้เห็นความจำเป็นนี้ ในบทอภิปรายเกี่ยวกับน้ำท่วม—ประเด็นตลอดปีตลอดชาติทั่วภูมิภาค—และ การจัดการน้ำท่วมของรัฐสิงคโปร์ มีรากเหง้าอยู่ในบริบทประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม (และข้ามชาติ) ในมุมกว้างกว่า.
 
การกำหนดตัวชี้วัดใหม่เพื่อรับมือกับพลวัตในภูมิภาค
ดัชนีต่างๆ, เช่น ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี GDP), ผลผลิตมวลรวมแห่งชาติ (จีเอ็นพี  GNP), หรือ ดัชนีพัฒนามนุษย์ (HDI) ของสหประชาชาติ, มีอยู่มาก่อนนานพอสมควร.  ขอให้เก็บคำวิจารณ์ที่ข้องใจไว้ก่อนที่ว่า ดัชนีเหล่านี้วัดสถานภาพของโลกได้ถูกต้องขนาดไหน, ตอนนี้ ก็ยังไม่มีความพยายามที่พร้อมเพรียงกันเท่า (จีดีพี) ในการวัดปริมาณกิจกรรมของมนุษย์และจัดวางในบริบทของการไหลเวียนของบรรยากาศ-กระแสน้ำของโลก และ ประเมินความยั่งยืนของภูมิมณฑล, ชีวมณฑล และ มนุษยมณฑลในลักษณะองค์รวมผสมผสาน.  หลายส่วนของเอเชียอุษาคเนย์แถบศูนย์สูตร เป็นที่อยู่อาศัยของบางระบบนิเวศที่หลากหลายและเปราะบางที่สุดของโลก.  ภูมิภาคนี้ มีทรัพยากรชีวมวลมหาศาล ที่ธำรงอยู่ได้ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่อุดมสมบูรณ์.  แต่เราสามารถวัดศักยภาพดังกล่าวของภูมิภาคนี้ไหม—รวมทั้งที่ๆ พบในแถบศูนย์สูตรของอาฟริกา และ อเมซอน—ด้วยดัชนีที่มีอยู่ปัจจุบัน, ซึ่งเน้นหนักไปที่การวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ, ความยั่งยืน และการพัฒนามนุษย์?  ซาโตะ ทากาฮิโร และทีม, ทำงานภายในกรอบคิดของระบบนิเวศเกษตรศูนย์สูตร, นำเสนอทางเลือกเพื่อประเมินปฏิสัมพันธ์ระหว่างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และ สวัสดิภาพของสังคมมนุษย์.  ด้วยการเปรียบเทียบพิกัดการรองรับ (carrying capacity) ระหว่างแถบอบอุ่น (temperate zone) และแถบศูนย์สูตร (tropical zone), ทำให้เห็นร่องรอยว่า พื้นที่ส่วนไหนเหมาะที่สุดเพื่อรองรับอนาคตของสังคมมนุษย์ ใน, ที่เป็นอยู่ตอนนี้, โลกที่จัดโครงสร้างใหม่แล้ว เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง.  ด้วยการรวมสายพันธุ์หลากหลาย, ระบบนิเวศ และ พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งหมด เข้าไปวิเคราะห์ด้วย จะสามารถสร้างการอภิปรายในระดับสูงขึ้น เพื่อให้ข้อมูลแก่นักกำหนดนโยบาย และเตรียมสังคมอนาคตให้รับมือได้กับการเปลี่ยนแปลงที่รอคอยพวกเราอยู่.

การหล่อเลี้ยงอนาคตร่วม
เพื่อทำตามสัญญาที่จะเสนอทางออกที่มีความยืดหยุ่น สามารถรับมือกับความต้องการระดับภูมิภาคและระดับโลก—ว่าจะมุ่งไปที่ความต้องการหลากด้านของเอเชียอุษาคเนย์ใหม่ หรือ สู่การพัฒนากรอบวิจัยที่สามารถนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว—จำเป็นจะต้องมีปณิธานชัดเจนจากความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมมือกันระหว่างสาขาวิชา.  อันนี้เป็นความต้องการมากกว่าอาณัติเชิงสถาบันที่รวมทีมนักวิจัยต่างๆ ให้เป็น “โอเอซีส” (บ่อน้ำกลางทะเลทราย) ของภูมิภาค.  ในที่สุด จะต้องมีการเปลี่ยนโครงสร้างของกระบวนการเชิงปัญญา ที่จะชี้นำวาระของเราให้จัดลำดับก่อนหลังของทางออกที่เป็นรูปธรรม.   สิ่งเหล่านี้ สามารถช่วยก่อตั้งการใช้สิ่งแวดล้อมและแหล่งพลังงานอย่างยั่งยืน, สนับสนุนสังคมชีวมวล, และผลักดันให้เกิดวิถีการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สอดคล้องกับลักษณะการพัฒนาสังคมในปัจจุบัน.  ด้วยความพยายามร่วมมือข้ามและผ่านสาขาวิชาด้วยความมุ่งมั่น, เราขยายขอบเขตของข้อตกลงเชิงวิเคราะห์ และ รวมผู้เล่นบทระดับโลกมากขึ้น ผู้สามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายในด้านต่างๆ.  นี่จะสามารถบรรลุได้ด้วยการก้าวให้ออกจากกรอบคิดกระแสหลัก และ ปรับสาขาวิชาการของเราใหม่.  การทำเช่นนั้น จะอนุญาตให้เราสนับสนุนความคิดเห็นและนักวิจัยใหม่ๆ ผู้จะสามารถรับการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายข้างหน้าได้.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น