วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

143. เมื่อนายแพทย์ทวงศักดิ์ศรีของ "หมอ" เยียวยาชีวิตคน...แทน "นายช่าง" สั่งยาและใช้เครื่องมือกำจัดโรค


“What’s Good for You Is Good for the Planet”
By Dean Ornish, MD


         “อะไรที่ดีสำหรับคุณ ย่อมดีสำหรับพิภพโลกด้วย”
         โดยนายแพทย์ ดีน ออร์นิช 
         คลิปวีดีโอจาก <http://www.youtube.com/watch?v=QYmInK5xo6g> (TEDxSF), 17 พย 2012
         ถอดคำบรรยายและแปลโดย โครงการ "น้ำท่วมกินผัก...จุดเปลี่ยนประเทศไทย"


โภชนบำบัดและการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิต เป็นยารักษาโรค
เบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็ง ฯลฯ

It’s great to be here today.   I want to thank all the organizers for the chance to be here today, particularly the xxx.  
ผมมีความยินดีที่ได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้.  ผมขอขอบคุณผู้จัดทั้งหลายสำหรับโอกาสที่ให้ผมมาอยู่ที่นี่ วันนี้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...  
We tend to think of the advances of medicine as being a new drug or new laser, something really high-tech and expensive and we often have a hard time believing that the simple choice that we make in our life can shake and make such a powerful difference but they do.   And in our work, we’ve been using very high-tech expensive state-of-the-art measures to prove the power of these very simple and low-tech and low-cost interventions.  
เรามักจะคิดว่า ความก้าวหน้าของการแพทย์ คือ ยาใหม่ๆ หรือ เลเซอร์ใหม่ๆ, อะไรที่มันไฮเทค/ล้ำยุค และราคาแพง   และเรามักจะทำใจเชื่อได้ยากว่า การตัดสินใจเลือกทำอะไรง่ายๆ ในชีวิตของเรา จะสามารถเขย่า และทำให้เกิดความแตกต่างที่ทรงพลังได้  แต่มันทำได้จริงๆ. ในงานของเรา, เราต่างงุ่นอยู่กับการใช้มาตรการไฮเทค ราคาแพง ยอดเยี่ยม เพื่อพิสูจน์อิทธิพลของสิ่งง่ายๆ เหล่านี้ ที่เป็นการแทรกแซงด้วยวิธีการโลวเทค (เทคโนโลยีระดับต่ำ) และราคาต่ำ.  
And since this is a conference on global health, I want to begin with that.  And you know many people don’t know that the more people are dying today in most parts of the world from heart disease, diabetes and other chronic conditions than aids, tuberculosis and malaria combined.  And what’s happening is that it’s drying and diverting a lot of resources from the things that really do need drugs like aids, TB and malaria to things that could be largely prevented or even reversed through simply changing life style.   And what’s happening is that countries are beginning to eat like us, live like us and all too often die like us.   And the irony is that the diet that we found that can reverse and even prevent most of these conditions is the way that most of these countries were eating before they began to copy us.  And so this is still the steep part of the curve the intervention now can make a powerful difference.  And what’s personally sustainable is globally sustainable.  What’s good for you is good for the planet and here’s why.   
เนื่องจากนี่เป็นการประชุมสุขภาพโลก, ผมขอเริ่มต้นจากจุดนั้นเลย.  คุณรู้ไหมว่า หลายคนไม่รู้ว่า คนจำนวนมากขึ้นกำลังตายลงทุกวันนี้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ด้วยโรคหัวใจ, เบาหวาน และ ภาวะเรื้อรังอื่นๆ มากกว่า เอดส์, วัณโรค และมาเลเรียรวมกัน.  แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น คือ มันกำลังดูดซับ และผันเปลี่ยนทิศทางการจัดสรรทรัพยากรมากมาย จากยาที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เช่น เอดส์, วัณโรค และ มาเลเรีย ไปสู่การรักษาโรคที่ส่วนใหญ่เราสามารถป้องกัน หรือ แม้แต่ผันทิศกลับได้ โดยเพียงเปลี่ยนลีลาชีวิตของเรา.   สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือ หลายๆ ประเทศกำลังเริ่มกินเหมือนพวกเรา, ดำรงชีวิตเหมือนพวกเรา และก็มักจะตายเหมือนพวกเราด้วย.   แล้วสิ่งที่น่าหัวร่อ คือ โภชนาการที่เราได้ค้นพบว่า สามารถผันคืน หรือ แม้แต่ป้องกันไม่ให้เกิดอาการเหล่านี้ คือ วิถีที่ประเทศส่วนใหญ่เหล่านี้ กินกันอยู่ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเลียนแบบพวกเรา.   ดังนั้น นี่ยังเป็นส่วนลาดชันของเส้นกราฟในการแทรกแซงปัจจุบัน ที่จะสามารถสร้างความแตกต่างที่ทรงพลังได้.  แล้วอะไรที่ยั่งยืนในระดับบุคคล ก็ย่อมยั่งยืนในระดับโลกด้วย.  อะไรที่ดีสำหรับคุณ  ย่อมดีสำหรับผืนพิภพ และนี่คือเหตุผล.
You know it’s easy to get overwhelmed with all the crises that are facing us now, the energy crisis, the global warming crisis and the healthcare crisis like what can I do as one person but something as simple as what we choose to eat everyday can make a difference.   In the energy crisis, for example, 20 percent of the fossil fuel that we burn each day goes to make processed foods which you know themselves are not so great for us.    It takes ten times more energy to eat in a higher food chain when you’re eating meat as opposed to plant-based diet.   It takes ten times more resources to make that possible.    Michael Pollen are calculated that a quarter-pounder-with-cheese takes 26 ounces of petroleum released at 13 pounds of carbon footprint which is equivalent to burning seven pounds of coal so next time you’re having a burger, imagine you’re eating seven pounds of coal in term of impact to the planet. 
คุณรู้ไหมว่า มันง่ายที่เราจะรู้สึกท่วมท้นจากวิกฤตต่างๆ ที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้, วิกฤตพลังงาน, วิกฤตโลกร้อน และ วิกฤตระบบการรักษาสุขภาพ  แล้วผมจะทำอะไรได้ในฐานะคนๆ หนึ่ง   แต่บางอย่างที่ง่ายๆ เช่น การเลือกกินในทุกๆ วัน สามารถจะสร้างความแตกต่างได้.   เช่น ในวิกฤตพลังงาน, 20% ของเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ที่เราเผาผลาญในแต่ละวัน  ใช้ไปกับการแปรรูปอาหาร ที่คุณก็รู้อยู่ว่า พวกมันไม่ดีนักสำหรับพวกเรา.   มันใช้พลังงานมากกว่าถึงสิบเท่าเพื่อกินอาหารที่อยู่ในระดับสูงของห่วงโซ่อาหาร เมื่อคุณกินเนื้อสัตว์ ซึ่งตรงข้ามกับอาหารที่ใช้พืช.   มันต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าถึงสิบเท่า เพื่อทำให้มันเป็นไปได้เช่นนั้นได้.   ไมเคิล พอลเลน ได้คำนวณว่า แฮมเบอร์เกอร์ชีสกับเนื้อ ¼ ปอนด์ ต้องใช้ปิโตรเลียมถึง 26 ออนซ์ ซึ่งปล่อยรอยเท้านิเวศคาร์บอน 13 ปอนด์ ซึ่งเท่ากับการเผาถ่านหิน 7 ปอนด์   ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณกินแฮมเบอร์เกอร์ ขอให้จินตนาการไปด้วยว่า คุณกำลังกินถ่านหิน 7 ปอนด์ ในเชิงผลกระทบต่อผืนพิภพ.
So, this doesn’t mean you shouldn’t eat meat, no, but even if you just have a meatless Monday, know that it’s investing meaning interactions as Adam was saying before, it’s part of what makes them powerful and makes them sustainable. 
นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ควรกินเนื้อสัตว์, ไม่ใช่, แต่หากแม้ว่าคุณจะไม่กินเนื้อสัตว์ในวันจันทร์, ก็ขอให้รู้ว่า มันเป็นการลงทุนเชิงปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย ดังที่ อดัม เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่า, มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้มันมีพลัง และทำให้มันยั่งยืน.
From a global warming crisis, many people are surprised to learn that livestock consumption accounts for more global warming than all forms of transportation combined you know.  It’s responsible for 18 percent of the total greenhouse emissions compared to the entire global transportation system that’s only responsible for 13 percent of that.   Livestock is responsible for even more of the most toxic part of gas.  It’s methane for example, from cow fart, is 23 times more toxic to the ozone layer than even carbon dioxide.    And nitric oxide is actually almost 300 times more toxic to the ozone layer than CO2.    So these simple changes can make powerful difference in not only how long we live but how well we live.
สำหรับวิกฤตโลกร้อน, หลายคนประหลาดใจที่เรียนรู้ว่า การบริโภคปศุสัตว์ มีส่วนทำให้โลกร้อนมากกว่าการขนส่งทุกรูปแบบทั้งหมดรวมกัน.   มันมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 18% ของทั้งหมด เมื่อเทียบกับระบบการขนส่งทั่วโลกทั้งหมดรวมกัน ซึ่งมีส่วนเพียง 13%.   การปศุสัตว์ยังมีส่วนรับผิดชอบในก๊าซส่วนที่เป็นพิษมากที่สุด.  ยกตัวอย่าง  มีเทน จากการผายลมของวัว มีพิษสงทำลายชั้นโอโซนมากกว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า.  และก๊าซไนตริกออกไซด์ แท้จริง มีพิษสงต่อชั้นโอโซนมากว่า CO2 ถึง 300 เท่า. ดังนั้น การเปลี่ยน (นิสัย) ง่ายๆ เหล่านี้ สามารถทำให้เกิดความแตกต่างที่ทรงพลังได้ ไม่เพียงแต่ในแง่ที่ว่าเราจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน แต่เราจะอยู่ดีมีสุขได้ปานใดด้วย.  
From the standpoint of eating meat, you know, again, what’s good for the planet is also good for you and what’s bad for the planet is also bad for you.   Eating a lot of meat and studies come out recently shown that red meat consumption increases total cardiac mortality, cancer mortality and all-cause mortality.   I like this cartoonist.  The cows are going off to the slaughterhouse saying my consolation is that by eating us they’re killing themselves.  
จากมุมมองของการกินเนื้อสัตว์, ขอย้ำอีกที, อะไรที่ดีสำหรับผืนพิภพ ก็ย่อมดีสำหรับคุณด้วย และ อะไรที่เลวสำหรับผืนพิภพ ก็ย่อมเลวสำหรับคุณด้วย.   การกินเนื้อสัตว์มากๆ และรายงานการศึกษาที่ออกมาเร็วๆ นี้ ได้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อแดง เพิ่มการตายด้วยโรคหัวใจ, มะเร็ง และ สาเหตุต่างๆ.  ผมชอบการ์ตูนรูปนี้.  วัวกำลังเดินเข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ พูดว่า สิ่งที่ปลอบใจฉัน คือ ด้วยการกินพวกเรา พวกเขากำลังฆ่าตัวพวกเขาเองด้วย.
For the health crisis, you know, ¾ of the 2.8 trillion dollars that we spend each year on healthcare costs are really for the most part sickcare cost are chronic diseases that we can largely prevent or reverse by simply changing diet and life style.    This is one of the many studies that showed in large number of people walking half hour a day, not smoking, eating a reasonably healthy diet and keeping a healthy weight prevented 93 percent of diabetes, 81 percents of heart attacks and so on.   And these are probably   underestimation.    It’s probably more than that.   
สำหรับวิกฤตสุขภาพ, คุณรู้ไหม, ¾ ของเงิน 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ที่เราใช้จ่ายในแต่ละปีสำหรับการดูแลรักษาสุขภาพ ที่แท้ส่วนใหญ่เป็นเงินสำหรับการรักษาดูแลความป่วย เช่น โรคเรื้อรัง ที่เราสามารถป้องกันได้เป็นส่วนใหญ่ หรือ ผันเปลี่ยนมันได้ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนโภชนาการและลีลาชีวิต.  นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ งานศึกษาที่แสดงให้เห็นในคนจำนวนมากที่เดินครึ่งชั่วโมงทุกวัน, ไม่สูบบุหรี่, กินอาหารที่มีประโยชน์พอสมควร และ รักษาน้ำหนักกายในระดับที่ดี จะสามารถหลีกเลี่ยง เบาหวานได้ถึง 93%, โรคหัวใจ 81%, เป็นต้น.  และตัวเลขเหล่านี้ คงเป็นการประเมินในระดับต่ำ.  มันน่าจะสูงกว่านั้น.
How do we treat heart disease in this country?   What we generally do was a lot of drugs and surgery.   And we spend a lot of money.   We spend 60 billion dollars on angioplasty and stents in the last year that we have data on them.   It may not be a lot of money to think of the lives they save except that it doesn’t.  
เราจะรักษาโรคหัวใจในประเทศนี้ได้อย่างไร?  สิ่งที่พวกเราทำทั่วๆ ไป คือ ใช้ยามากมายและผ่าตัด.  แล้วเราก็เสียเงินมากมาย.  เราใช้เงิน 60 พันล้านดอลลาร์ใน angioplasty and stents ในปีที่แล้ว ซึ่งเรามีข้อมูลดังกล่าว.  มันอาจไม่ใช่เป็นเงินมากมาย เมื่อคิดถึงชีวิตที่รักษาไว้ได้ ยกเว้นที่มันรักษาไม่ได้.
The latest randomized trials, a total of eight of them reviewed recently in the archive of internal medicine.   They found that unless you’re under heart attack, which a vast majority of people will get angioplasty or stents or not, they don’t prolong life, they don’t prevent heart attack, they don’t even do angina.   The same is true for bypass surgery unless you are the one or two percent of the people of severe disease.  They don’t prolong life and they don’t prevent heart attack either.  That’s a hundred billion dollars for two operations that are dangerous, invasive, expensive and largely ineffective.   
การทดลองด้วยการสุ่มตัวอย่าง, ทั้งหมดแปดกรณีที่ได้รับการทบทวนเมื่อเร็วๆ นี้ ในคลังเอกสารสำคัญของการแพทย์ระบบภายใน.  พวกเขาพบว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอยู่ในภาวะหัวใจวาย, ซึ่งคนส่วนใหญ่จะได้รับการทำ angioplasty and stents หรือไม่ก็ตาม, มันไม่ช่วยยืดชีวิตของคุณ, ไม่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดหัวใจล้มเหลว, ไม่แม้แต่จะลดอาการปวดบริเวณหัวใจ/แน่นหน้าอก.  การผ่าตัด bypass ก็เช่นกัน หากคุณไม่ใช่เป็นคนหนึ่งใน 1-2% ของผู้ป่วยรุนแรง,  มันจะไม่ช่วยยืดชีวิต และไม่ช่วยป้องกันไม่ให้หัวใจวายด้วย.  นั่นคือ จำนวนเงินหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อการผ่าตัดทั้งสองชนิดที่แสนอันตราย, ที่รุกรานจู่โจม, ราคาแพง และส่วนใหญ่ ไม่มีประสิทธิผล.
Now the cartoon said I can operate you can go on a strict diet.   You’re better off because my insurance doesn’t cover strict diet and that’s been the problem that with all this talk about evidence-based medicine, reimbursement is a really much more powerful determinant on how we practice medicine.    
อันนี้ การ์ตูนบอกว่า

หมอ “ผมสามารถผ่าตัดได้, แต่คุณสามารถใช้วิธีควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดได้.”
คนไข้  “ผ่าตัดดีกว่า”
หมอ   “คุณแน่ใจหรือ?”
คนไข้  “...ประกันของผมไม่ครอบคลุมการควบคุมอาหาร”

คุณจะสบายกว่า เพราะ “ประกันของผมไม่ครอบคลุมอาหารอย่างเข้มงวด”  และนั่นเป็นปัญหา  การพูดแบบนี้ว่าต้องมีหลักฐานทางการแพทย์รับรอง, ทำให้การเบิกจ่าย เป็นตัวตัดสินที่มีอิทธิพลมากๆ ต่อปฏิบัติการวิชาชีพแพทย์ของพวกเรา.
They found the same patterns of prostate cancer.   The new internal medicine had two major studies and they showed that only 1 out of 49 men who had been treated for prostate cancer with surgery or radiation actually live long because of it.  The other 48 tended to become either impotent or incontinent or both.   So you take a guy who’s often in the prime of life in their fifties of sixties, find that they have early stage prostate cancer, scare the hell out of them they end up having operation that doesn’t really help them but it makes them, maims them in the most personal way having them wearing diapers and can’t have sex for no benefit.   
พวกเขาพบแบบแผนเดียวกันนี้ในมะเร็งต่อมลูกหมาก.  ในวงการแพทย์ภายในใหม่ มีงานการศึกษาสองชิ้นสำคัญๆ และเขาได้แสดงให้เห็นว่า มีผู้ชายเพียง 1 ใน 49 คนที่ผ่านการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการผ่าตัด หรือ ฉายรังสี แล้วยังมีชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะการรักษาดังกล่าว.  อีก 48 คน มีแนวโน้มกลายเป็นคนหมดประสิทธิภาพ หรือ มักมากในกาม หรือ ทั้งสองอย่าง.  คุณเอาชายคนหนึ่ง ที่มักจะอยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุ 50-60, พบว่า เขาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะต้น, พวกเขาจะตกใจกลัวสุดขีด แล้วก็จบลงด้วยการผ่าตัดที่ไม่ได้ช่วยเขาจริงๆ   มีแต่ทำให้เขาบาดเจ็บในส่วนสงวนที่สุด ทำให้เขาต้องใส่ผ้าอ้อม และ ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ที่ไร้ประโยชน์.
The alternative is to say well let’s just do watchful waiting.  Let’s just wait for some damage, something bad to happen.  And that’s not very good.   So the U.S. preventive service task force recently recommended that we shouldn’t even screen them for prostate cancer ‘cause it’s too hard to know that you have it and “not do anything about it”.   
ทางเลือก คือ บอกเขาว่า เอาล่ะ มาเฝ้าดูอย่างระมัดระวังกัน.  เพียงแต่คอยให้ความเสียหายบางอย่าง, อะไรที่แย่ๆ เกิดขึ้นเสียก่อน.  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งดีนัก.   ดังนั้น คณะทำงานการบริการฝ่ายป้องกันของสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ จึงได้แนะนำว่า เราไม่ควรจะทำการคัดกรองว่าใครเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่, เพราะมันยากเกินไปที่จะรู้ว่า คุณเป็นมะเร็งดังกล่าว และ “ไม่ทำอะไรกับมัน”.
But here again, there’s a third alternative as I’ll show you when you change your life style, you can slow stop or reverse the progression of early stage prostate cancer without having to do that.   
แต่ก็มีทางเลือกที่สาม ดังที่ผมจะแสดงให้คุณเห็น เมื่อคุณเปลี่ยนลีลาชีวิตของคุณ, คุณจะสามารถชะลอ, หยุดยั้ง หรือ ผันกลับ การขยายตัวของมะเร็งขั้นต้นได้ โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน.
Now, diabetes is another issue.   Type-2 diabetes is a global epidemic.   It’s a pandemic.   Already, a third of Americans are diabetic or pre-diabetic.   In the next eight years, it’s estimated to be half of American at a cost of 3.3 trillion dollars, clearly not sustainable.   Now, it turns out that life style changes are actually better than drugs at preventing diabetes.    This was a study in New England Journal a ten years ago that showed that life style actually works better than a drug to prevent diabetes.   
เบาหวานเป็นอีกประเด็น.  เบาหวานประเภท 2 เป็นโรคระบาดทั่วโลกทีเดียว.  มันเป็นโรคระบาดที่แพร่หลายกว้างขวาง.  ชาวอเมริกัน 1/3 เป็นโรคเบาหวาน หรือ ใกล้จะเป็น.  ในอีกแปดปีข้างหน้า, ประเมินว่า ชาวอเมริกันจะเพิ่มเป็นกึ่งหนึ่ง และต้องใช้เงินถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์, เห็นชัดอยู่แล้วว่ามันไม่ยั่งยืน.  แต่เมื่อเปลี่ยนลีลาชีวิตได้ มันจะให้ผลดีกว่าการใช้ยาในการหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน.  นี่เป็นงานศึกษาในวารสารนิวอิงแลนด์ เมื่อสิบปีที่แล้ว ที่แสดงให้เห็นว่า (การปรับเปลี่ยน) ลีลาชีวิต ที่แท้ ดีกว่าการใช้ยาในการหลีกเลี่ยง/ป้องกันโรคเบาหวาน.
The life style changes are also better than drugs at treating diabetes.   This was in a New England Journal year and a half ago.    They had two drugs for lowering blood sugar and they found that it didn’t work nearly as well to prevent the complications of diabetes as doing it through life style.   And the complications of diabetes are pretty awful, you know, heart attack, rugs, amputations, blindness, kidney failure and so on.   But if you get someone’s blood sugar down through diet and life style, you can prevent all of these complications, both the human cost as well as the economic cost  and my colleagues and I at the non-profit preventive medicine research institute have trained about 55 hospitals and clinics around the country including 24 in West Virginia, Nebraska and Pennsylvania and we found that in looking at large numbers of these patients we can get their blood sugar down to a level that we can prevent all these costs and complications simply by changing diet and life style at a fraction of the costs and the only side effects are good ones.   
การเปลี่ยนลีลาชีวิต ดีกว่าการใช้ยาในการรักษาโรคเบาหวาน.  นี่ปรากฏอยู่ในวารสารนิวอิงแลนด์ เมื่อปีครึ่งที่แล้ว.  พวกเขาใช้ยาสองตัวในการลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และพวกเขาพบว่า มันทำงานไม่ได้ดีเท่ากับการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิต ในการป้องกันความซับซ้อนของเบาหวาน.   และความซับซ้อนของเบาหวาน น่ากลัวมาก, มี หัวใจวาย,  rugs,  การตัดแขนขา, ตาบอด, ไตวาย เป็นต้น.  แต่หากคุณทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของบางคนลดต่ำลงด้วยการคุมอาหาร และ ลีลาชีวิต, คุณสามารถจะป้องกันไม่ให้เกิดความซับซ้อนเหล่านี้ทั้งหมดได้, ทั้งในเชิงต้นทุนมนุษย์ และ ต้นทุนทางเศรษฐกิจ และเพื่อนร่วมงานของผม และ ผม ที่สถาบันวิจัยการแพทย์เพื่อการป้องกัน ที่ไม่ค้ากำไร ได้ฝึกฝนอบรม โรงพยาบาลประมาณ 55 แห่ง และ คลินิกทั่วประเทศ ซึ่งรวม 24 แห่งในเวสต์เวอร์จิเนียร์, เนบราสกา และ เพนซิลเวเนีย  และเราพบว่า จากการดูผลความก้าวหน้าในผู้ป่วยจำนวนมาก เราสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของพวกเขา ลดลงถึงระดับที่เราสามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายดังกล่าว และ อาการซับซ้อนได้  เพียงแค่ปรับเปลี่ยนโภชนาการ และ ลีลาชีวิต ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเพียงเศษเสี้ยวของกระแสหลัก และมีแต่ผลข้างเคียงที่ดี.
So what are we doing?  Well, it’s what we eat, how we respond to stress.  How much exercise we get just walking a half an hour a day and how much love and intimacy and social support we have.  But it’s really goes back to very radical concept, radical in a sense of getting to the root of something which is what is the cause and you know we spent so much time in medicine mopping up the floor and the sink is overflowing without turning off the faucet.    And it’s a simple idea but it’s a powerful one because if we can treat the cause what we find the cause, by the way are the life style choices that we make each day for the most part.    And we can make difference choices otherwise the doctor said take his cholesterol and drugs take his pressure pills, take these tools for lowering your blood sugar.  
ดังนั้น เรากำลังทำอะไรหรือ?  เอาล่ะ, มันคือสิ่งที่เรากิน, วิธีการที่เราตอบสนองต่อความเครียด.  เราออกกำลังกายมากแค่ไหน จากการเดินครึ่งชั่วโมงแต่ละวัน และ เรามีความรัก ความใกล้ชิด และ การเกื้อกูลทางสังคมมากแค่ไหน.  แต่ จริงๆ แล้ว มันสาวกลับไปถึงกรอบคิดแบบถอนรากถอนโคน, หมายถึง ไปถึงรากเหง้าของบางอย่าง ที่เป็นต้นเหตุ และ คุณรู้ว่า เราได้ใช้เวลามากมายในการแพทย์ เพื่อเช็ดถูพื้น และ น้ำในอ่างก็ล้นอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีการปิดก๊อก.   มันเป็นความคิดพื้นๆ แต่ ทรงพลัง เพราะหากเราสามารถทำการรักษาที่ต้นเหตุในสิ่งที่เราพบว่าเป็นสาเหตุ, ด้วยการเลือกลีลาชีวิตที่เราต้องกระทำทุกๆ วัน สำหรับกิจกรรมส่วนใหญ่.  แล้วเราก็สามารถทำให้เกิดความแตกต่างด้วยทางเลือกนี้   มิฉะนั้น หมอจะบอกให้กินยาลดคอเลสเตอรอล และ ยาลดความดันของเขา, ใช้เครื่องมือเหล่านี้ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด.
“And how long do I have to take them?”   “Take them forever.”   It’s like how long do I have to mop the floor.   Well, forever.   Why don’t we turn off the faucet?  Why don’t we treat the underlying cause?  And then when we do that we find that our bodies have a remarkable capacity in most cases to begin healing and much more quickly than we had once realized because the biological mechanisms are explicitly sensitive and highly dynamic.    And it’s not just life style.    It’s prevention but it’s also life style as treatment.  
“แล้วผมต้องใช้เจ้าพวกนี้นานเท่าไร?”  “ใช้ตลอดไป.”  มันเหมือนกับว่า ผมต้องเช็ดถูพื้นไปนานแค่ไหน.   ก็ตลอดไปไง.  ทำไมเราไม่ปิดก๊อกเล่า?  ทำไมเราไม่รักษาที่สาเหตุเบื้องฐาน?   และพอเราทำเช่นนั้น เราพบว่า ร่างกายของเราในกรณีส่วนใหญ่ มีสมรรถนะน่าทึ่ง ที่จะเริ่มเยียวยาตัวเอง และ ฟื้นคืนได้รวดเร็วมากกว่าที่เราเคยตระหนัก เพราะ กลไกทางชีวภาพ มีความละเอียดอ่อน และมีพลวัตสูงยิ่ง.   และนี่ไม่เพียงเป็นลีลาชีวิต.  มันเป็นการป้องกัน แต่มันก็เป็นลีลาชีวิตด้วยในฐานะรักษาโรค.
Now I began doing this work 35 years ago when I was a medical student.   And I took ten men and women with bad heart disease, put them in a hotel for a month.  And we use what was then a new test called Thallium to measure blood flow and you can see around ten o’clock there in the upper left, there a black area where blood flow should be going.   A month later, in the same patient in the same area, you can see, there’s much more blood going there.   But only had 10 patients.  There was no control group.    So, I went back to school, finished medical school and before starting my internship, to a second study, this time we had a randomized control group for comparison.  And we found that the people who made these changes got better and the people that didn’t got worse.  
ผมเริ่มทำงานนี้เมื่อ 35 ปีก่อน เมื่อผมยังเป็นนักศึกษาแพทย์.   ผมได้ทดลองกับชายและหญิงสิบคน ที่เป็นโรคหัวใจรุนแรง, จัดให้พวกเขาพักอยู่ที่โรงแรมหนึ่งเดือน.   แล้วเราใช้เครื่องมือ ที่ขณะนั้นจัดเป็นของใหม่ เรียกว่า ธอลเลียม เพื่อใช้วัดอัตราการไหลของเลือด  และคุณสามารถดูมันตรงตำแหน่ง 10 นาฬิกา ทางด้านซ้ายบน, ตรงนั้น เป็นพื้นที่สีดำ ที่เลือดควรจะไหลไป.   เดือนหนึ่งผ่านไป, ในคนไข้คนเดียวกัน ในพื้นที่เดียวกัน, คุณสามารถเห็นได้ว่า, เลือดไหลผ่านไปที่นั่นมากขึ้น.   แต่มีเพียงคนไข้ 10 รายเท่านั้น.  ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบควบคุม.  ดังนั้น พวกเรากลับไปที่คณะ, เรียนจบการแพทย์ และก่อนที่จะเริ่มภาคปฏิบัติ, ได้ทำการศึกษาครั้งที่สอง,  ครั้งนี้ เราได้จัดให้มีกลุ่มควบคุมด้วยการสุ่ม เพื่อการเปรียบเทียบ.  แล้วเราก็พบว่า คนที่ปรับเปลี่ยนลีลาชีวิต ฟื้นคืนได้เร็วกว่า ดีกว่า และคนที่ไม่เปลี่ยน ก็แย่ลง.
The differences are highly significant and we published that in the Journal of the AMA.   Went to Boston and finished my medical training, moved to San Francisco in 1984, began life style hard trial and we use quantitative arteriography to measure the blockage and you can see in the upper left where the artery was narrowing in one of the main artery that feeds the heart ‘cause it’s clogged.   Just a year later, it’s wider.   And because the blood flow is a fourth power function of the diameter, the actual blood to the heart was increased by two to three hundred percent which we measured using what we called cardiac pet scan.   The lower left picture was the beginning.  Blue and black is no blood flow.   A year later the lower right is again white, maximum blood flow.  You can see these dramatic changes.   And what we found overall is that the control group who was making moderate changes got worse after one year and even worse after five years.  That’s what usually happens.  What we found is that it’s getting worse and worse these patients actually said some reversal after one year and even more after five years as the first time it was shown.  
ความแตกต่างมีนัยสำคัญสูง และเราได้ส่งบทความลงพิมพ์ในวารสาร AMA.  ได้ไปที่บอสตัน และ สำเร็จการฝึกเป็นแพทย์, ย้ายไปที่ซานฟรานซิสโก ในปี 1984, ได้เริ่มต้นทำจริงจังเรื่องลีลาชีวิต และเราใช้เครื่องวัดเส้นโลหิตแดงใหญ่เชิงปริมาณ เพื่อวัดการอุดตัน  และคุณสามารถเห็นได้ในด้านซ้ายบน ที่ๆ เส้นเลือดแดงกำลังตีบแคบลง  มันเป็นหนึ่งในบรรดาเส้นเลือดแดงหลักๆ ที่หล่อเลี้ยงหัวใจ  ที่เป็นเหตุให้มันอุดตัน.   หนึ่งปีต่อมา, มันขยายกว้างขึ้น.   และเพราะการไหลของเลือดเป็นยกกำลัง ¼ ของเส้นผ่าศูนย์กลาง , เลือดที่ไหลสู่หัวใจจริงๆ เพิ่มขึ้นถึง 200-300% ซึ่งเราวัดได้ด้วยการใช้สิ่งที่เราเรียกว่า เพ็ต (แค็ด?) สแกนหัวใจ.   ในส่วนล่างของรูป เป็นจุดเริ่มต้น.   สีน้ำเงินและดำ หมายถึงไม่มีเลือดไหลไป.  หนึ่งปีผ่านไป  ตรงด้านขวาล่าง เริ่มมีสีขาว, เลือดไหลผ่านเต็มอัตรา.   คุณสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้.   ส่วนในกลุ่มควบคุมทั้งหมด ที่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เราพบว่ามีอาการแย่ลง หลังจากหนึ่งปี และยิ่งแย่ลง หลังจากห้าปี.  นั่นเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้น.   สิ่งที่เราพบ คือ มันแย่ลงๆ      คนไข้เหล่านี้ บอกว่า มีการผันกลับบ้างหลังจากหนึ่งปี และ มากขึ้น หลังจากห้าปี อันเป็นครั้งแรกที่มันแสดงอาการ.
Now put a human face in this I want to show you one-minute clip from a new documentary called “Escaped Fire”.   It came out last month in theaters around the country.   It’s available on iTune, Amazon, and so on.   The film makers want this to be for the medicine what the “Inconvenient Truth” for global warming.   So, take a look.
ตอนนี้ ลองใส่หน้าคนเข้าไป  ผมต้องการแสดงคลิ๊ปสารคดีหนึ่งนาทีให้คุณชม เป็นสารคดีใหม่ ชื่อ “Escaped Fire”.   มันเพิ่งออกฉายเดือนก่อนในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ.  มันมีอยู่ใน iTune, Amazon, ฯลฯ.  ผู้สร้างภาพยนตร์นี้ ต้องการให้เป็น “ยาขมของความจริง” สำหรับเป็นยาแก้ภาวะโลกร้อน.  มาชมกัน.
          “25 years ago, I had 5 restaurants in San Francisco.  It was a great live.  I smoked 6 cigars a day, 10 cups of coffee, a lot of wine.  It was wonderful.   And I had a massive heart attack.   Was in a hospital for 2 weeks.  I can hardly just about walk 3 steps and I had to stop and rest.  I was popped 20 or 30 Nitro a day.  But then Dean Ornish was starting this program to see if he can reverse heart disease with life style change.   And he went to my doctor, asked if he can approach me.   He asked how long this program is gonna be.  He said it was a year.  And my doctor told him he wouldn’t recommend taking me ‘cause he didn’t think I would live a year.   So, he figured out I was gonna die ‘cause I was in such bad shape.   I, now, 25 years later and I am in pretty good shape.”
          25 ปีก่อน, ผมมีร้านอาหารห้าแห่งในซานฟรานซิสโก.  ผมมีชีวิตที่รุ่งโรจน์.  ผมสูบซิการ์วันละ 6 มวน, กาแฟ 10 ถ้วย, ดื่มไวน์มากมาย.   มันอัศจรรย์จริงๆ.  แล้วผมก็เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน.  ได้ไปอยู่ในโรงพยาบาลสองสัปดาห์.  ผมจะเดินสักสามก้าวก็ยังลำบากมาก และผมต้องหยุด และ พักผ่อน.   ผมต้องอัด 20 หรือ 30 Nitro ทุกวัน.  แต่แล้ว ดีน ออร์นิช ก็เริ่มโปรแกมนี้ เพื่อดูว่า เขาจะผันกลับโรคหัวใจด้วยการเปลี่ยนลีลาชีวิตได้ไหม.  เขาไปหาหมอของผม, ถามว่า จะเข้าหาผมได้ไหม.  เขาถามว่า โปรแกมนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน.  เขาบอกว่า หนึ่งปี.  และหมอของผม ซึ่งบอกเขาว่า เขาไม่แนะนำให้เอาผม เพราะเขาไม่คิดว่าผมจะมีชีวิตเกินหนึ่งปี.   ดังนั้น เขาคิดว่า ผมจะต้องตาย เพราะผมอยู่ในสภาพที่แย่มากๆ.   ผม, ตอนนี้, ผ่านมา 25 ปีแล้ว และผมยังแข็งแรงดี.”
          His doctor, unfortunately, passed away.   But you know, this is the guy who hasn’t had chest pain now in 25 years.   He literally couldn’t walk across the street.   That’s why I am so passionate doing this work.   This is the kind of things we see all the time in thousands and thousands of patients.   So we wondered if this maybe could help prostate cancer as well.  
หมอของเขา, โชคไม่ดี, จากโลกนี้ไปแล้ว.  แต่คุณรู้ไหม, นี่เป็นชายที่ไม่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกถึงบัดนี้ เป็นเวลานาน 25 ปีแล้ว.  (ตอนนั้น) เขาไม่สามารถเดินข้ามถนน.  นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงกระตือรือร้นทำงานนี้นัก.  นี่คือสิ่งที่เราเห็นตลอดเวลาในผู้ป่วยนับพันแล้วพันเล่า.   เราสงสัยว่า มันอาจจะช่วยผู้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ด้วย.
So we did a study in collaboration with Dr. Peter Carroll who the chair of the urology here at UCSF.  And the late Dr. Bill Fair who at that time the chair of urology at Sloan-Kettering in New York.  And we took men who had biopsy proven prostate cancer who elected not to be treated for reasons unrelated to the study so that we can divide them randomly into two groups, asked one group to make life style changes but not the other and see what without being confounded by the usual chemo and radiation and surgery.   And we found that PSA level a marker for prostate cancer went up and got worse for the group that didn’t change and went down and got better in the group that did and the difference were highly significant and they were in direct proportion to the degree of change in life style which is the same we found in heart disease.  
ดังนั้น เราจึงทำการศึกษาโดยร่วมมือกับ ดร.ปีเตอร์ แคร์รอล หัวหน้าภาควิชาระบบปัสสาวะที่นี่ ที่ UCSF.  และอดีต ดร. บิล แฟร์ ผู้ซึ่งตอนนั้น เป็นหัวหน้าภาควิชาระบบปัสสาวะที่ สโลน-เค็ตเตอร์ริง ในนิวยอร์ก.  เรารับชายที่ตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการตัดชิ้นเนื้อ และตัดสินใจไม่รักษาด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกับการศึกษานี้  แล้วเราสุ่มแบ่งพวกเขาออกเป็นสองกลุ่ม,  ได้บอกให้กลุ่มหนึ่งเปลี่ยนลีลาชีวิต  แต่ไม่ได้บอกอีกกลุ่ม   แล้วเฝ้าติดตามผลที่ไม่ได้ถูกทำให้สับสนด้วยวิธีการปกติ ของการทำคีโม และฉายรังสี และการผ่าตัด.   แล้วเราก็พบว่า ระดับ PSA อันเป็นตัววัดมะเร็งต่อมลูกหมาก เพิ่มขึ้นสูง และแย่ลง ในกลุ่มที่ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลง   ส่วนในอีกกลุ่ม พบว่า ระดับลดลง และอาการดีขึ้น   ผลต่างมีนัยสำคัญสูง และ เป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับการปรับเปลี่ยนลีลาชีวิต ซึ่งคล้ายๆ กับที่เราพบในการรักษาโรคหัวใจ.
The more people change, the more they improve.   We look at the effect of when we added their serum to the standard line of prostate tumor cell growing a tissue culture; the tumor growth was inhibited 70 percent versus 9 percent.   And one of the coolest slide.   The more people change their life style, the more it directly inhibits the growth of prostate tumor growing in tissue culture.  
คนปรับเปลี่ยนมากเท่าไร, (อาการของ) พวกเขาก็ดีขึ้นเท่านั้น.  เราดูที่ผลกระทบจากการทดลองเติมเซรุ่มของพวกเขา ในมาตรฐานเซลเนื้องอกของต่อมลูกหมาก ที่เพาะเนื้อเยื่ออยู่.  พบว่า การเติบโตของเนื้องอกถูกระงับ 70% เมื่อเทียบกับ 9%.  และหนึ่งในสไลด์ที่น่าทึ่งที่สุด.  คนเปลี่ยนลีลาชีวิตมากเท่าไร, ก็จะมีผลระงับการเติบโตของเนื้องอกต่อมลูกหมากโดยตรงในตัวอย่างเพาะเนื้อเยื่อ.
And Trujang Kuhanna with his lab here at UCSF.  We did MR Spectrograph showing tumor activity shown in red here was diminishing in this patient after a year as well as the PSA going down.    So, take it as a whole, this is the really first and only randomized trial showing that the progression of men with early stage prostate cancer can be slowed and stopped and often even reversed simply by making changes in diet and life style.    So we wonder what some of the mechanisms might be able to help explain that.   And we found that gene expression was changing over 500 genes in just 3 months, in effect, turning on and up-regulated the good genes that protect us, down-regulating the bad genes that cause inflammation and oxidative states and also the raz-oncogenes that promote prostate, breast and colon cancer.   They’re down-regulated and turn off hundreds of them just in 3 months.  And this is what’s called a heat map.  You can see on the right, the oncogenes.   Red is mostly turn on.  Three months later green was mostly turn off.  
ทรูจาง คูฮันนา กับห้องแล็บของเขาที่นี่ ที่ UCSF.  เราทำ MR Spectrography แสดงให้เห็น การขยายตัวของเนื้องอก ที่มีสีแดงตรงนี้ กำลังลดหดลง ในผู้ป่วยคนนี้ หลังจากหนึ่งปี รวมทั้ง ระดับ PSA ก็ลดลงด้วย.  เอาล่ะ เมื่อดูภาพรวม, นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ และ เป็นเพียงปฏิบัติการสุ่มเพียงกรณีเดียว ที่แสดงให้เห็นความก้าวหน้าในชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากขั้นต้น ว่า สามารถทำให้มันขยายตัวช้าลง และ หยุด และ แม้แต่ผันกลับ เพียงด้วยการเปลี่ยนแปลงโภชนาการและลีลาชีวิต.   ดังนั้น เราสงสัยว่า จะมีกลไกอะไรที่อาจช่วยอธิบายปรากฏการณ์นี้.   แล้วเราก็พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพันธุกรรม/ยีนส์ กว่า 500 ยีนส์ ภายในเวลาเพียง 3 เดือน,  ผลคือ, มันได้ปลุก และเพิ่มปริมาณยีนส์ที่ดีที่ช่วยปกป้องพวกเรา, ลดยีนส์ที่ไม่ดี ที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ และ สภาวะอ๊อกซิเดชั่น   และ raz-oncogenes ที่เป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้.   พวกนี้ถูกคุมให้ลดลง และ กำจัดพวกมันออกไปหลายร้อย ภายในเวลาเพียง 3 เดือน.   และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า แผนที่ความร้อน.   คุณเห็นมันได้ที่ด้านขวา, ยีนส์เนื้องอก.   สีแดงถูกปิดลงเป็นส่วนใหญ่. สามเดือนต่อมา สีเขียวถูกปิดตัวลงเป็นส่วนใหญ่.  
We made a study with Dr. Elizabeth Blackburn who won a Nobel Prize for discovering Telomerase** which is the enzyme that repairs and lengthen damaged telomere, the end of our chromosomes that control how long we live, and also Dr. Elizabeth Apple who will be presenting today.   And what we found was that the Telomerase could increase by 30 percent in just 3 months.  And no study has shown that. 
เราได้ทำการศึกษาร่วมกับ ดร. อลิซาเบธ แบลคเบิร์น ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสำหรับการค้นพบ เทโลเมอเรส** ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ซ่อมแซม และ ทำให้ เทโลเมียร์ที่ชำรุด งอกยาวขึ้น, เทโลเมียร์ เป็นส่วนท้ายสุดของโครโมโซมของเราที่ควบคุมอายุขัยของเรา, และกับ ดร.อลิซาเบธ แอ๊ปเปิล ด้วย ผู้จะมาบรรยายในวันนี้ด้วย.   และสิ่งที่เราพบคือ เทโลเมอเรส สามารถเพิ่มขึ้น 30% ในเวลาเพียง 3 เดือน.  และไม่มีการศึกษาใดๆ ที่แสดงให้เห็นเช่นนั้น.
They were about to publish the 5-year follow-up and show that Telomerase themselves actually get longer when you make these changes.  And this will be the first study that shows that as well.  This isn’t a drug that could lengthen your Telomerase which could be multi-billion drug overnight but it’s the same life style changes the do all of these things.   It’s not one for diabetes, another one for heart diseases and so on. 
ผลงานนี้ กำลังจะถูกตีพิมพ์เป็นรายงานการติดตามห้าปี และแสดงให้เห็นว่า เทโลเมอเรสเอง จริงๆ แล้ว ก็งอกยาวขึ้น เมื่อคุณปรับเปลี่ยนดังกล่าว.  และนี่จะเป็นการศึกษาครั้งแรกที่แสดงให้เห็นเช่นนั้นด้วย.   นี่ไม่ใช่เป็น  ยาที่จะสามารถทำให้เทโลเมอเรสของคุณยาวขึ้นได้ ซึ่งถ้าเป็นยา ก็คงจะกลายเป็นยาราคาหลายพันล้านเพียงชั่วข้ามคืน  แต่มันเกิดขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนลีลาชีวิตเดียวกัน.  มันไม่ใช่มีอันหนึ่งสำหรับเบาหวาน, อีกอันสำหรับโรคหัวใจ ฯลฯ.
And we found again, the more closely people the more life style people made, the longer the Telomerase got.    We also found that angiogenesis*** changes.   This is the first study to show that.  We found that we could down-regulated VEGF which tumor secretes to cause blood vessels to grow and feed them.  Drugs like Avastin and Nexavar inhibit that job for the cost of hundred thousand dollar a year per person to take.   This is again, for free.  It’s just a life style changes so the more we look, the more mechanism we can invoke to explain why these changes are so powerful and why they make such a great difference. 
แล้วเราก็พบอีกว่า, คนยิ่งอยู่ใกล้ชิดกัน และ (ปรับเปลี่ยน) ลีลาชีวิต, เทโลเมอเรสก็ยิ่งยาวขึ้น.  เราพบอีกว่า angiogenesis*** (การเกิดของเส้นเลือดแดง) เปลี่ยน.  นี่เป็นการศึกษาชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นเช่นนั้น.  เราพบว่า เราสามารถจะคุมให้ VEGF ลดลง, ซึ่งเป็นสารที่หลั่งจากเนื้องอก ที่ทำให้หลอดเลือดเติบโตไปเลี้ยงพวกมัน.   ยา เช่น Avastin และ Nexavar เป็นตัวระงับการทำงานดังกล่าว ต้องเสียเงินหลายหมื่นดอลลาร์ต่อปี ต่อคนที่ใช้ยานี้.  นี่อีก, ฟรี.  มันเป็นเพียงแค่ปรับเปลี่ยนลีลาชีวิต  ดังนั้น ยิ่งเรามองหามากเท่าไร, ก็พบกลไกที่เราสามารถนำมาใช้อธิบายว่า ทำไมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จึงมีพลังมาก และทำไม พวกมันจึงสร้างความแตกต่างมหาศาลได้.
So our genes are predisposition but our genes are not our fate.  I find that very empowering.  We also found that this is not only medically effective but also cost effective.  Mutual of Omaha**** found they save 30,000 dollars per patient in the first year.   Highmark Blue Cross Blue Shield***** found they could cut cost by 50 percent in the first year, invited and additional 20 to 30 percent in year 2 and 3. 
ยีนส์ของเราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ยีนส์ของเราไม่ใช่พรหมลิขิต.  ผมพบว่า นี่เป็นเรื่องที่เสริมสร้างอำนาจยิ่ง.  เราพบอีกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องความมีประสิทธิผลทางการแพทย์ แต่มีประสิทธิผลในเชิงต้นทุนด้วย.  บริษัทประกันภัย Mutual of Omaha**** พบว่า ได้ประหยัดเงินถึง 30,000 ดอลลาร์ต่อคนไข้หนึ่งคนในปีแรก.  Highmark Blue Cross Blue Shield***** พบว่า พวกเขาสามารถลดต้นทุนถึง 50% ในปีแรก, ได้ลดอีก 20-30% ในปีที่สอง และ สาม.
And finally a year and a half ago, after sixteen year of review, Medicare agreed to cover our program which is a real game changer because again, reimbursement of such a primary determinant of medical practice.  You change reimbursement; you change medical practice and even medical education. 
สุดท้าย ในหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา, หลังจากทบทวนอยู่ถึง 16 ปี, Medicare ได้ตกลงยินยอมที่จะครอบคลุมโปรแกมของเรา นับเป็นจุดผกผันของเกมจริงๆ เพราะ อีกครั้ง, การเบิกค่ารักษาด้วยการรักษาขั้นปฐมแบบนี้.  เมื่อคุณเปลี่ยนการเบิกจ่าย, คุณเปลี่ยนปฏิบัติการรักษาทางแพทย์ และแม้แต่การศึกษาแพทย์.
So, we’re in the process now of training hospitals and clinics in sites around the country.  If you’re interested in learning more about our work, go to our web site or if you’re interested in being trained in this.    And our role and our goal is we train a team of six people, a doctor, a nurse, a stress management specialist, essentially yoga meditation teacher, exercise physiologist, a dietitian and a psychologist who work together as a team with the doctor as a quarterback.  And it enables us to reclaim our role as healers and not simply as technicians. 
ด้วยเหตุนี้, เรากำลังอยู่ในกระบวนการฝึกอบรมโรงพยาบาลและคลินิกในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ.  หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับงานของเรา, เชิญดูในเว็บไซต์.  บทบาทและเป้าหมายของเรา คือ การฝึกอบรมทีมที่มีหกคน ประกอบด้วยหมอ, พยาบาล, ผู้เชี่ยวชาญในการจัดการความเครียด หรือ ครูฝึกสมาธิแนวโยคะ, นักสรีระศาสตร์ด้านออกกำลังกาย, นักโภชนาการ และนักจิตวิทยา   พวกเขาจะทำงานเป็นทีม โดยหมอทำหน้าที่เหมือน ผู้นำกลุ่มที่เล่นอยู่ในกองหลัง.  มันจะช่วยทำให้พวกเราทวงคืนบทบาทในฐานะผู้เยียวยา และไม่ใช่เพียงช่างเทคนิคธรรมดาๆ.
But Vinod Khosla who’ll also be speaking later today was quoted a controversial statement that we doctors are gonna be replaced by an iPhone app before too long.  And if all we are is just a collection of algorithm then that’s true.   But we’re more than that.   It allows us to get re-enchanted with medicine and to reclaim our role as healers and not just technicians.  We train the St. Vincent de Paul homeless shelter here in San Francisco.   There are more than 20,000 patients who have now gone through clinic in the last year and a half. 
แต่ วิโนด โกสลา ผู้จะพูดต่อไปในวันนี้ ได้ถูกอ้างว่าได้กล่าวประโยคที่ขัดแย้งกันว่า พวกเราเหล่าแพทย์ จะถูกแทนที่ด้วย iPhone app อีกไม่นาน.  และหากพวกเรา เป็นเพียงกลุ่มที่รวมขั้นตอนวิธีการที่แน่นอน มันก็จะเป็นจริงเช่นนั้น.  แต่พวกเราเป็นมากกว่านั้น.  มันอนุญาตให้เราได้กลับไปหลงใหลกับวิทยาการทางแพทย์อีกครั้ง และให้เราทวงคืนบทบาทในฐานะผู้เยียวยา และไม่ใช่แค่ช่างเทคนิค.  เราได้ฝึกอบรม บ้านพักชั่วคราวของคนไร้บ้านที่ เซนต์ วินเซนต์ เดอ พอล ที่นี่ในซานฟรานซิสโก.  มีคนไข้กว่า 20,000 คนที่ได้รับการรักษาผ่านคลินิก (ที่เราฝึก) ในหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา.
And now with the Medicare reimbursement, it’s financially stable and we can now clone this around the country without needing ongoing philanthropy to support them.  The other epidemic beside heart disease and obesity and diabetes is depression and loneliness.  And study after study has shown that people who feel lonely and depressed are many times more likely to get sick and die prematurely than those who have a sense of love and connection to the community.  We found we could cut depression score by half simply by changing diet and life style, comparable or even better than what you get with antidepressants.  
แล้วตอนนี้ ด้วยการเบิกจ่ายของ Medicare, มันทำให้เกิดความเสถียรด้านการเงิน และตอนนี้ เราก็สามารถจะขยายจากเซลเดียวนี้ ให้กระจายไปทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการบริจาค สนับสนุนจากคนใจบุญ.  โรคระบาดอื่นนอกเหนือจากโรคหัวใจ, โรคอ้วน และ โรคเบาหวาน คือ โรคซึมเศร้า และ โรคเหงาเดียวดาย.   การศึกษาแล้วการศึกษาเล่า ได้แสดงให้เห็นว่า คนที่รู้สึกเดียวดายและซึมเศร้า มีโอกาสป่วยและตายก่อนถึงเวลามากกว่าหลายเท่า เมื่อเทียบกับคนที่มีประสาทสัมผัสแห่งความรัก และ มีความเชื่อมโยงกับชุมชน.  เราพบว่า เราสามารถลดคะแนนความซึมเศร้าลงครึ่งหนึ่ง เพียงด้วยการเปลี่ยนโภชนาการและลีลาชีวิต, ซึ่งให้ผลพอๆ กัน หรือดีกว่าที่ได้จากการกินยาลดความซึมเศร้า.
And, you know, because there’s been a breakdown of the social network that uses to give us a sense of connection to a community.   Many people don’t have a job that feel secure, a neighborhood where you have several generations of neighbors living together, an extended family that you see regularly.  And we all know that these things affect our quality of life and they actually affect our survival.  And you know, Nick Prestrocus has found that the social network is so powerful that if your friends are obese, you’re 45% more likely to be obese.   If your friend’s friends are obese, 25%.  If your friend’s friend’s friends are obese, even 10% even if you’ve never met them.   
และเพราะโครงข่ายสังคมที่เคยให้ความรู้สึกของความเชื่อมโยงในชุมชนกับเรา ได้ล่มสลายลง, หลายคนไม่มีงานทำ รู้สึกไม่มั่นคง, ละแวกบ้านที่คุณมีเพื่อนบ้านหลายๆ รุ่น อาศัยอยู่ร่วมกัน, ครอบครัวขยายที่คุณเห็นเป็นประจำ.  และเราทั้งหมดล้วนรู้ว่า สิ่งเหล่านี้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของเรา และที่จริง มันก็มีผลต่อความอยู่รอดของเราด้วย.  และ คุณรู้ไหม นิค เพรสโตรคัส ได้พบว่า โครงข่ายสังคมมีพลังมากถึงกับว่า หากเพื่อนของคุณเป็นโรคอ้วน, ตัวคุณเองก็มีแนวโน้มถึง 45% ที่จะเป็นโรคอ้วนด้วย.  หากเพื่อนของเพื่อนของคุณเป็นโรคอ้วน, โอกาสของคุณ 25%.  หากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเป็นโรคอ้วน, โอกาสของคุณ 10% แม้ว่าคุณจะไม่เคยพบพวกเขา.
And you can see this in other behaviors as well.  That’s how powerful these are.   So the last thing I want to say is that anything that creates a sense of trust leads intimacy leads to healing and meaning even if the word healing comes from the root to make whole, yoga, to unite, to bring together.   These are all the ideas that we’re rediscovering.   And you find that this is part of all spiritual tradition, altruism, compassion, forgiveness and love, not to get some extra reward in the next life time but that will free us from isolation and our depression and our suffering here and now.   
และคุณสามารถเห็นแบบแผนเดียวกันในพฤติกรรมอื่นๆ ด้วย.  นั่น มันมีอำนาจขนาดนี้.  ดังนั้น สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการพูด คือ สิ่งใดที่สร้างความรู้สึกของความเชื่อใจ ไว้วางใจ จะนำไปสู่ความรู้สึกใกล้ชิดกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเยียวยา และความหมาย แม้ว่ารากศัพท์ของคำว่า เยียวยา / healing จะมาจากความหมายของการทำให้สมบูรณ์, โยคะ, การสมานเป็นหนึ่งเดียว, การเข้าหากัน.  ทั้งหมดเป็นความคิดว่า เรากำลังค้นพบใหม่.  และคุณพบว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของขนบธรรมเนียมประเพณีของจิตวิญญาณทั้งปวง, ความไม่เห็นแก่ตัว, ความเมตตากรุณา, การให้อภัย และ ความรัก, ไม่ใช่เพื่อหวังรางวัลมากๆ ในชาติหน้า แต่มันจะปลดปล่อยพวกเราให้หลุดพ้นจากการแปลกแยก ความโดดเดียว และ ความซึมเศร้าของเรา และ ความทุกข์ของเรา ที่นี่และเดี๋ยวนี้.
My dad died a few months ago.   My mom had a stroke, had a debilitating stroke shortly after.   My dog of 14 years got bitten by a rattle snake within the last few months and died.    Life is short.  Life is precious.   And what I am most interested in is not simply unclogging arteries.   Sort of seeing all these kinds of things that’s interesting as they are ‘cause we’re all gonna die.   The mortality rate is still 100%.  That’s one per person.   I got profoundly in suicide and depressed when I was in college.   That’s my doorway into this area.  
พ่อของผมเสียชีวิตเมื่อ 2-3 เดือนก่อน.  แม่ของผมเป็นอัมพฤกษ์หลังจากเส้นเลือดในสมองแตก.  สุนัขของผมอายุ 14 ปี ถูกงูพิษกัดใน 2-3 เดือนก่อน และได้ตายไปแล้ว.  ชีวิตนี้สั้นนัก.  ชีวิตมีค่ายิ่ง.  และสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุด ไม่ใช่เพียงสลายการอุดตันในเส้นเลือด.  มันเป็นการมองเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่น่าสนใจเหล่านี้ อย่างที่มันเป็น เพราะพวกเราทั้งหมดจะต้องตาย.  อัตราการตายยังคง 100% สำหรับแต่ละคน.  ผมเคยตกอยู่ในร่องอารมณ์ของการฆ่าตัวตายและ ซึมเศร้าเมื่อผมอยู่ในวิทยาลัย.  นั่นคือประตูที่นำผมมาสู่พื้นที่แห่งนี้.
For someone else, it might be a heart attack or stroke.   You know, but change is hard as mentioned earlier.   But when you’re in enough pain, the idea of change becomes more interesting.   And when I find most passionate, when I am most passionate, what I find most interesting is how we can use the experience of suffering as a doorway for transforming our life and finding meaning and then we can often get curing but we can also get healing.  Thank you very much.
สำหรับคนอื่นๆ, มันอาจเป็นเรื่องหัวใจวาย หรือ เส้นเลือดในสมองแตก.  คุณรู้ไหม, การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากดังที่ได้เกริ่นไว้ก่อนหน้า.  แต่เมื่อคุณมีความเจ็บปวดมากพอ, ความคิดของการเปลี่ยนแปลง จะกลายเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งขึ้น.  และเมื่อผมมีความกระตือรือร้นที่สุด, สิ่งที่ผมพบว่า น่าสนใจที่สุด คือ เราจะสามารถใช้ประสบการณ์ของความทุกข์อย่างไร ให้เป็นประตูสู่การแปรเปลี่ยนชีวิตของเรา และ การแสวงหาความหมาย แล้วเรามักจะไม่เพียงสามารถรักษา แต่ยังได้รับการเยียวยาด้วย.  ขอบคุณมากครับ.


หมายเหตุ  
Reading review on “Escape Fire” released Oct.5, 2012 (directors: Susan Frömke, Matthew Heineman
บทย่อ “Escape Fire” ออกฉายเมื่อ วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕

ESCAPE FIRE: The Fight to Rescue American Healthcare tackles one of the most pressing issues of our time: what can be done to save our broken medical system? The film examines the powerful forces trying to maintain the status quo in a medical industry designed for quick fixes rather than prevention, for profit-driven care rather than patient-driven care. After decades of resistance, a movement to bring innovative high-touch, low-cost methods of prevention and healing into our high-tech, costly system is finally gaining ground. ESCAPE FIRE follows dramatic human stories as well as leaders fighting to transform healthcare at the highest levels of medicine, industry, government, and even the US military. The film is about a way out, about saving the health of a nation.
ESCAPE FIRE (แนวกันไฟป่า):  การต่อสู้เพื่อกู้ระบบสาธารณสุขอเมริกัน ได้แตะประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดในยุคของเรา: ทำอะไรได้บ้างเพื่อรักษาระบบการแพทย์ที่แตกหักของเรา?   ภาพยนตร์เรื่องนี้ สอบสวนอิทธิพลที่พยายามรักษาสถานภาพของตนเองในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ออกแบบเพื่อการแก้ไขอย่างเร่งรีบแทนการป้องกัน, เพื่อการรักษาที่ขับเคลื่อนด้วยกำไร แทนการรักษาที่ขับเคลื่อนด้วยผู้ป่วย.   หลังจากการต่อต้านหลายทศวรรษ, การเคลื่อนไหวเพื่อนำวิธีการ high-touch, low-cost (การสัมผัสชั้นสูง, ต้นทุนต่ำ) ของการป้องกันและเยียวยา สู่ high-tech, costly system (ระบบ เทคโนโลยีขั้นสูง, แพงมาก) ในที่สุด ก็หยั่งรากติดดินได้.  แนวกันไฟ ESCAPE FIRE  ติดตามเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของมนุษย์ รวมทั้ง ผู้นำในการต่อสู้เพื่อแปรเปลี่ยนระบบสาธารณสุข ในระดับสูงสุดของการแพทย์, อุตสาหกรรม, รัฐบาล, และแม้แต่กองทัพสหรัฐฯ.  ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับการหาทางออก, เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพของชาติ.

Comments / เสียงสะท้อนจากผู้ชมภาพยนตร์
1 June 2012 | by bertgurg (United States) – See all my reviews
I saw Escape Fire at Full Frame Film Festival in Durham. Every viewer I spoke to after the showing was moved and excited by Escape Fire.
ผมได้ดู แนวกันไฟ / ESCAPE FIRE บนจอหนังจริงในเทศกาลภาพยนตร์ที่ เมือง Durham.  ผู้ชมทุกคนที่ผมได้พูดด้วยหลังจากการฉาย ต่างตื้นตันและตื่นเต้นกับ Escape Fire.
As someone who is working on health care reform in the context of Single Payer/Medicare for All I have recommended Escape Fire to all of my friends, family, and to my cohorts in the health care reform effort. Our group is hoping to have a showing in our area soon.
ในฐานะที่ทำงานเพื่อปฏิรูประบบสาธารณสุขในบริบทของ จ่ายเดี่ยว/ Medicare for All (ประกันสุขภาพทั่วหน้า) ผมได้แนะนำเพื่อนทั้งหมด, ครอบครัว, และเพื่อนร่วมงานในความพยายามปฏิรูประบบสาธารณสุข ให้ชม Escape Fire.   กลุ่มของเราหวังว่า จะฉายเรื่องนี้ได้ในพื้นที่ของเราเร็วๆ นี้.
I'm a veteran and was deeply touched by the way the soldiers in the movie were portrayed. It's a sad commentary that our health care system is so far behind in recognizing so-called alternative healing practices. This movie highlights their value in a very positive way.
ผมเป็นทหารผ่านศึก และ รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งในวิธีที่ทหารในภาพยนตร์แสดงออก.  เป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งที่ระบบสาธารณสุขของเราห่างไกลมากจากการยอมรับสิ่งที่เรียกว่า การเยียวยาทางเลือก.   ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นถึงคุณค่าของ (การแพทย์/เยียวยาทางเลือก) ในด้านบวกมากๆ.
Escape Fire has the potential to change the debate on health care reform. We need for it to be seen at mainstream theaters across the nation.
Escape Fire มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนการโต้เถียงเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณสุข.  เราจำเป็นต้องทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฉายในโรงภาพยนตร์กระแสหลักทั่วประเทศ.


Note:
* An oncogene is a gene that, when mutated or expressed at high levels, helps turn a normal cell into a tumor cell.
ยีนส์เนื้องอก เป็นยีนส์ที่, เมื่อกลายพันธุ์ หรือแสดงออกในระดับสูง, ช่วยเปลี่ยนเซลปกติให้กลายเป็นเนื้องอก.
Many abnormal cells normally undergo a programmed form of death (apoptosis). Activated oncogenes can cause those cells to survive and proliferate instead. Most oncogenes require an additional step, such as mutations in another gene, or environmental factors, such as viral infection, to cause cancer.
เซลผิดปกติจำนวนมากมักจะเข้าสู่รูปแบบการตายที่ได้ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว.  ยีนส์เนื้องอกที่ถูกกระตุ้น สามารถทำให้เซลเหล่านั้นอยู่รอดและเพิ่มปริมาณแทนที่จะตายไป.  ยีนส์เนื้องอกส่วนใหญ่ ต้องมีขั้นตอนเพิ่ม, เช่น การกลายพันธุ์ในยีนส์ตัวอื่น, หรือ ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม, เช่น การติดเชื้อไวรัส, ทำให้เกิดมะเร็ง.
Since the 1970s, dozens of oncogenes have been identified in human cancer. Many cancer drugs target those DNA sequences and their products.
ตั้งแต่ทศวรรษ 1970s, ยีนส์เนื้องอกนับโหล ได้ถูกระบุในมะเร็งของคน.  ยารักษามะเร็งหลายๆ ตัว พุ่งเป้าไปที่ลำดับความต่อเนื่องของ ดีเอ็นเอ และผลผลิตของมัน.
RAS - the network in the reticular formation that serves an alerting or arousal function
RAS  เป็นโครงข่ายในสร้างตาข่าย ที่ทำหน้าที่เตือนภัย หรือ ปลุกเร้า
** What are telomeres and telomerase?
อะไรคือ เมโลเมเรส และ เทโลเมอราส?    
     To better understand telomeres and telomerase, let's first review some basic principles of biology and genetics. The human body is an organism formed by adding many organ systems together. Those organ systems are made of individual organs. Each organ contains tissues designed for specific functions like absorption and secretion. Tissues are made of cells that have joined together to perform those special functions. Each cell is then made of smaller components called organelles, one of which is called the nucleus. The nucleus contains structures called chromosomes that are actually "packages" of all the genetic information that is passed from parents to their children. The genetic information, or "genes", are really just a series of bases called Adenine (A), Guanine (G), Cytosine (C), and Thymine (T). These base pairs make up our cellular alphabet and create the sequences, or instructions needed to form our bodies. In order to grow and age, our bodies must duplicate their cells. This process is called mitosis. Mitosis is a process that allows one "parent" cell to divide into two new "daughter" cells. During mitosis, cells make copies of their genetic material. Half of the genetic material goes to each new daughter cell. To make sure that information is successfully passed from one generation to the next, each chromosome has a special protective cap called a telomere located at the end of its "arms". Telomeres are controlled by the presence of theenzyme telomerase. Now that we have covered some basics, let's explore telomeres, telomerase, and their importance to you! (view animation)
     A telomere is a repeating DNA sequence (for example, TTAGGG) at the end of the body's chromosomes. The telomere can reach a length of 15,000 base pairs. Telomeres function by preventing chromosomes from losing base pair sequences at their ends. They also stop chromosomes from fusing to each other. However, each time a cell divides, some of the telomere is lost (usually 25-200 base pairs per division). When the telomere becomes too short, the chromosome reaches a "critical length" and can no longer replicate. This means that a cell becomes "old" and dies by a process called apoptosis. Telomere activity is controlled by two mechanisms: erosion and addition. Erosion, as mentioned, occurs each time a cell divides. Addition is determined by the activity of telomerase. (view animation)
     Telomerase, also called telomere terminal transferase, is an enzyme made of protein andRNA subunits that elongates chromosomes by adding TTAGGG sequences to the end of existing chromosomes. Telomerase is found in fetal tissues, adult germ cells, and also tumor cells. Telomerase activity is regulated during development and has a very low, almost undetectable activity in somatic(body) cells. Because these somatic cells do not regularly use telomerase, they age. The result of aging cells is an aging body. If telomerase is activated in a cell, the cell will continue to grow and divide. This "immortal cell" theory is important in two areas of research: aging and cancer.
     Cellular aging, or senescence, is the process by which a cell becomes old and dies. It is due to the shortening of chromosomal telomeres to the point that the chromosome reaches a critical length. Cellular aging is analogous to a wind up clock. If the clock stays wound, a cell becomes immortal and constantly produces new cells. If the clock winds down, the cell stops producing new cells and dies. Our cells are constantly aging. Being able to make the body's cells live forever certainly creates some exciting possibilities. Telomerase research could therefore yield important discoveries related to the aging process.
     Cancer cells are a type of malignant cell. The malignant cells multiply until they form a tumor that grows uncontrollably. Telomerase has been detected in human cancer cells and is found to be 10-20 times more active than in normal body cells. This provides a selective growth advantage to many types of tumors. If telomerase activity was to be turned off, then telomeres in cancer cells would shorten, just like they do in normal body cells. This would prevent the cancer cells from dividing uncontrollably in their early stages of development. In the event that a tumor has already thoroughly developed, it may be removed and anti-telomerase therapy could be administered to prevent relapse. In essence, preventing telomerase from performing its function would change cancer cells from "immortal" to "mortal".(view animation)
     Knowing what we have just learned about telomeres and telomerase, it can be said that scientists are on the verge of discovering many of telomerase's secrets. In the future, their research in the area of telomerase could uncover valuable information to combat aging, fight cancer, and even improve the quality of medical treatment in other areas such as skin grafts for burn victims, bone marrow transplants, and heart disease. Who knows how far this could go? (from web site: http://www4.utsouthwestern.edu/cellbio/shay-wright/intro/facts/sw_facts.html)
*** angiogenesis - Cancer cells (probably like all tissues) secrete substances that promote the formation of new blood vessels — a process called angiogenesis
**** = Mutual of Omaha Insurance Co
***** =  Highmark Blue Cross Blue Shield, Highmark Health Insurance Co



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น